Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 833-834

บทที่ 833 : แวมไพร์โชว์ตัว!
  “ห๊ะ!แวมไพร์เหรอ?!”
  “อะไรนะแวมไพร์มีจริงด้วยเหรอนี่?!”
  “แวมไพร์จริงๆน่ะเหรอ!เป็นไปได้ยังไงกัน?”
  “หลิงหยุน..นี่นายไม่ได้จงใจพูดให้พวกเรากลัวใช่มั๊ย”
  ……….
  ทันทีที่ได้ยินว่าหลิงหยุนพาแวมไพร์กลับมาด้วยบรรดาสาวงามต่างก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงหวู่ เสี่ยวเม่ยหนิง หลินเมิ่งหาน แล้วก็เหยาลู่ที่ร้องถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ!
  หลังจากที่กงเสี่ยวลู่มู่หลงเฟยจื่อ และซูปิงหยานกลับไปแล้ว ก็ยังเหลือสาวงามอยู่ในบ้านอีกถึงเก้าคน..
  และในบรรดาสาวงามทั้งเก้าคนนั้นคนที่เคยเผชิญหน้ากับแวมไพร์มาด้วยตัวเองก็คือเกาเฉินเฉิน เธอจึงไม่มีท่าทีตกอกตกใจอะไรแม้แต่น้อย..
  ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่เองก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินได้ฟังเรื่องของแวมไพร์มาจากตี้เสี่ยวอู๋บ้างแล้ว อีกทั้งฉินตงเฉี่วยและคนตระกูลฉินต่างก็เคยรู้เรื่องที่แวมไพร์มีอยู่จริงบนโลกใบนี้มาก่อนเช่นกัน
  ด้วยความอยากรู้อยากเห็นประกอบกับความเป็นห่วงเป็นใยในตัวหลิงหยุนหนิงหลิงยู่จึงได้ไปค้นคว้าข้อมูล และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของแวมไพร์มาก่อนหน้านี้ จึงค่อนข้างรู้เรื่องของแวมไพร์ดีกว่าใครๆ
  ส่วนไป๋เซียนเอ๋อกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นดูจะสงบนิ่งกว่าใครๆ เพราะเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนพาแวมไพร์กลับมาด้วย ท่าทีของทั้งคู่ก็ไม่ต่างจากกำลังฟังคนพูดคุยเรื่องของดินฟ้าอากาศอยู่
  นั่นเป็นเพราะที่มาของหญิงสาวทั้งคนนั้นไม่ใช่ธรรมดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋เซียนเอ๋อ นางเองก็เป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อหางที่สามงอกสมบูรณ์
  ส่วนเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นก็เป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งเทพธิดาของชาวเหมี่ยวเจียง และเติบโตมากับสภาพแวดล้อมที่มีทั้งเวทย์มนต์คาถา และเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย เรื่องเหนือธรรมชาติจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับเธอเช่นกัน..
  ดังนั้นหญิงสาวทั้งห้าคนจึงไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจเพียงแต่ร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจเท่านั้น ที่เห็นว่าหลิงหยุนสามารถพากแวมไพร์กลับมาด้วย ก็เท่านั้นเอง..
  ส่วนหลงหวู่เสี่ยวเม่ยหนิง หลินเมิ่งหาน และเหยาลู่นั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอทั้งสี่คนได้ยินว่าแวมไพร์มีอยู่จริง พวกเธอคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น เมื่อได้ยินว่าแวมไพร์มีตัวตนอยู่จริง หญิงสาวทั้งสี่จึงร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าที่ตกอกตกใจอย่างมาก!
  แต่ถึงกระนั้น..พวกเธอก็ได้รับรู้เรื่องราวของไป๋เซียนเอ๋อมาก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งระหว่างที่อยู่กับหลิงหยุน พวกเธอก็ได้พบเห็นเรื่องราวน่าประหลาดใจ และเหลือเชื่อมาไม่น้อย จึงสามารถฟื้นคืนสติได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
  หลังจากที่อึ้งไปเล็กน้อยฉินตงเฉี่วยก็ร้องถามหลิงหยุนทันที
  “เจ้าเด็กดื้อ..นี่เจ้าพาแวมไพร์กลับมาด้วยจริงๆงั้นรึ! แล้วเวลานี้เจ้าเอาตัวพวกมันไปไว้ที่ใหน? รีบพาข้าไปดูเร็วเข้า!”
  หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนและตอบกลับไปยิ้ม “น้าหญิง.. ท่านไม่ต้องรีบร้อนนัก ข้าจะเรียกพวกมันออกมาเดี๋ยวนี้แล้ว!”
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ส่งกระแสจิตสั่งพอลกับเจสเตอร์ที่เฝ้าโกดังด้านหลัง ให้เข้ามาในห้องรับแขกทันที..
  เพื่อไม่ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายหลิงหยุนจึงได้ให้พอลกับเจสเตอร์ไปรออยู่ที่สวนด้านหลัง และให้ทั้งคู่ทำหน้าที่เฝ้าสองพี่น้องตระกูลเฉินไว้ แต่เวลานี้ทั้งคู่กำลังเดินเข้ามายังห้องนั่งเล่นตามคำสั่งของหลิงหยุน..
  “ไวส์เคาน์พอล..ทำความเคารพเจ้านาย!”
  “ไวส์เคาน์เจสเตอร์..ทำความเคารพเจ้านาย!”
  เมื่อพอลกับเจสเตอร์มาถึงห้องนั่งเล่นทั้งคู่ก็ทำโค้งคำนับทำความเคารพหลิงหยุนตามแบบฉบับของชาวตะวันตก..
  “ว้าว..ที่นี่มีสาวสวยมากมายทีเดียว!”
  หลังจากที่ทำความเคารพหลิงหยุนเรียบร้อยแล้วเจสเตอร์ที่เพิ่งยืดตัวตรงก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยท่าทางดีอกดีใจจนเกินงาม
  หลิงหยุนแสยะยิ้มมุกมปากเล็กน้อยแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แวมไพร์ทั้งสองตนเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าหมายความเช่นใด!
  เมื่อแวมไพร์ทั้งสองตนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วนอกเหนือจากฉินตงเฉี่วย ไป๋เซียนเอ๋อ และเกาเฉินเฉินแล้ว หญิงสาวคนอื่นๆก็ถึงกับก้าวถอยหลังไป เพราะคำว่าแวมไพร์นั้นฟังดูน่าหวาดกลัวไม่น้อยทีเดียว!
  แม้จะดูเหมือนว่าฉินตงเฉี่วยจ้องมองเหล่าแวมไพร์ด้วยสายตาเรียบเฉยที่ไม่สะทกสะท้านเช่นนั้นแต่ความจริงแล้วร่างของนางก็กำลังสั่นไม่น้อยทีเดียว และดวงตาคู่งามนั้นก็กำลังสำรวจพอลกับเจสเตอร์อย่างละเอียดละออ
  เกาเฉินเฉินยังคงยืนนิ่งไม่พูดอะไร..
  ไป๋เซียนเอ๋อผงะและถอยหลังกลับไปเพียงแค่ครึ่งก้าวดวงตาคมมีเสน่ห์อย่างนางจิ้งจอกนั้นหรี่ลงเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองแวมไพร์ทั้งสองตนด้วยแววตาเหยียดหยัน ก่อนจะจงใจก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว
  แม้ว่าทั้งสามคนจะอยู่ในร่างของมนุษย์แต่พวกเขาก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แท้จริง.. ไป๋เซียนเอ๋อจัดอยู่ในเผ่าพันธุ์ของเหล่าปีศาจ ส่วนเจสเตอร์กับพอลก็คือเผ่าพันธุ์ของผีดูดเลือด เมื่อสองเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์มาพบเจอกัน พวกมันจึงไม่ยอมลงให้กันง่ายๆ
  และหากไม่มีหลิงหยุนอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ดูเหมือนว่าคงต้องเกิดสงครามเผ่าพันธุ์ขึ้นภายในบ้านเลขที่-1 อย่างแน่นอน..
  หลิงหยุนรีบลุกขึ้นยืนและรีบคว้าร่างของไป๋เซียนเอ๋อมาข้างตัวเขาทันทีพร้อมกับกระซิบเสียงเบาว่า
  “เซียนเอ๋อ..ไม่มีอะไร แวมไพร์ทั้งสองต่างก็เป็นบริวารของข้าเอง!”
  ระหว่างที่สาวงามหลายคนยังคงอยู่ในความตระหนกตกใจนั้นหลิงหยุนก็รีบแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน..
  “นี่คือพอลกับเจสเตอร์ทั้งคู่มาจากประเทศ..”
  “พอล..เจสเตอร์.. นี่คือน้าหญิงของข้า ส่วนนี่ก็น้องสาวของข้า – หนิงหลิงยู่ แล้วนั่นก็เสี่ยวเม่ยหนิง หลงหวู่…”
  หลังจากที่แนะนำทั้งสองฝ่ายแล้วหลิงหยุนก็หันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์ว่า..
  “พวกเจ้าทั้งสองจงจำไว้ให้ดี..หญิงสาวทุกคนในที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนสำคัญของข้า หากข้าไม่อยู่.. คำสั่งของพวกนางจึงเปรียบเสมือนคำสั่งของข้า พวกเจ้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของพวกนางเช่นเดียวกับที่เชื่อฟังคำสั่งของข้า.. พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
  พอลกับเจสเตอร์รีบพยักหน้ารับคำสั่งและพูดออกมาพร้อมๆกัน “พวกเราน้อมรับคำสั่งครับเจ้านาย!”
  เสี่ยวเม่ยหนิงก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ“พี่หลิงหยุน.. นี่เป็นแวมไพร์จริงๆเหรอ! ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้น่ากลัวเหมือนในหนังเลยล่ะ? หนำซ้ำยังหล่อเหลามากด้วย..”
  สายตาของหญิงสาวคนอื่นๆในเวลานี้ก็บ่งบอกว่ากำลังคิดเช่นเดียวกับเสี่ยวเม่ยหนิง..
  หลิงหยุนหันไปมองเสี่ยวเม่ยหนิงพร้อมกับยักไหล่แล้วจึงพูดขึ้นว่าตอบว่า “หนิงน้อย.. เธออยากจะเห็นแวมไพร์กลายร่างมั๊ยล่ะ ไม่ยาก..”
  หลิงหยุนหันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์“พวกเจ้าสองคนกลายร่างให้พวกนางดูเป็นขวัญตาหน่อย!”
  จากนั้นจึงหันไปบอกกับสาวสวยทั้งหมดว่า“ทุกคนจับตาดูให้ดีล่ะ แล้วก็ไม่ต้องตกใจกลัวล่ะ..”
  “ครับเจ้านายที่เคารพ..”
  พอลกับเจสเตอร์ตอบหลิงหยุนพร้อมกันจากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มกลายร่างเป็นแวมไพร์ทันที..
  สิ่งแรกที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือฟันของทั้งคู่เขี้ยวทั้งสองข้างค่อยๆงอกยาวออกมาอย่างรวดเร็ว และริมฝีปากที่ค่อยๆอ้ากว้างขึ้นนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสด..
  “กรี๊ด…”
  ระหว่างที่พอลกับเจสเตอร์ค่อยๆกลายร่างนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังไปทั่วทั้งห้องนั่งเล่น หลงหวู่กับเสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับพุ่งตัวเข้าหาหลิงหยุนทันที..
  แคว๊ก..
  เสียงเสื้อผ้าๆค่อยๆฉีกขาดและร่างของแวมไพร์ทั้งสองตนก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ร่างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาทั้งสองคน ได้ขยายจนตัวหนาขึ้น และดูแข็งแกร่งมากขึ้น ส่วนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแวมไพร์ที่น่าสะพรึงกลัว..
  “ห๊ะ..ดวงตาของพวกเขาทั้งคู่เปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว!” หนิงหลิงยู่ที่เฝ้ามองโดยไม่พูดอยู่นาน ในที่สุดก็ร้องอุทานออกมา
  จากนั้น..ปีกสีดำของพอลกับเจสเตอร์ก็ค่อยๆงอกตามขึ้นมา และสยายออกกว้างมากกว่าสามเมตร จนบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น ทำให้ภายในห้องนั้นมืดไปถนัดตา
  “ดูสิ..ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกแล้ว.. แล้วก็มีปีกใหญ่ด้วย!”
  “ขนสีม่วงบนปีกนั่นสวยจังเลย!”
  ระหว่างที่สาวสวยต่างก็ร้องอุทานกันอย่างตื่นเต้นนั้นหลิงหยุนเองก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆว่า ทั้งพอลกับเจสเตอร์ที่ได้รับเลือดของเขาเข้าไปนั้น ดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกวัน จนแม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกมันจะเปลี่ยนไปเป็นแบบใหนกันแน่
  หลังจากที่พอลกับเจสเตอร์กลายร่างเป็นแวมไพร์เต็มตัวแล้วทั้งคู่ก็หันไปมองหน้ากันก่อนจะขยับปีก และบินขึ้นกลางอากาศโชว์
  “ว้าว..ได้กลายเป็นแวมไพร์ต่อหน้าสาวสวยแบบนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากทีเดียว!”
  เหล่าแวมไพร์นั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษยธรรมดา มักจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก และถึงแม้จะได้รับคำสั่งจากหลิงหยุนให้เชื่อฟังคำสั่งของสาวงามเหล่านี้ แต่ในสายตาของพวกมันก็ไม่ได้เห็นสาวงามเหล่านี้อยู่ในสายตานัก..
  หลิงหยุนเองก็สังเกตเห็นธรรมชาติในข้อนี้ของแวมไพร์อยู่เหมือนกันแต่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็มักจะภาคภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตนเอง และเรื่องของการรับคำสั่งกับความคิดส่วนตัว ก็เป็นคนละเรื่องกัน
  เมื่อเห็นแวมไพร์ทั้งสองตนบินอยู่กลางอากาศเช่นนั้นทั้งฉินตงเฉี่วยกับไป๋เซียนเอ๋อก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนหลังของพวกมันทันที
  หลิงหยุนได้ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยและได้แต่คิดในใจว่า ‘น้าหญิงกับเซียนเอ๋อช่างห้าวหาญเสียจริง!’
  แต่การที่หญิงสาวทั้งสองคนห้าวหาญเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลแม้ฉินตง
เฉี่วยจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน-5 แต่ความแข็งแกร่งของนางนั้นเทียบเท่าขั้นเซียงเทียน-6 อีกทั้งนางยังฝึกวิชาดาราคุ้มกายด้วย หากต้องประมือกับพอลและเจสเตอร์เวลานี้ นางก็มีโอกาสชนะค่อนข้างสูงมาก
  แต่นั่นหมายถึงการต่อสู้ในภาคพื้นดินเท่านั้นหากแวมไพร์ทั้งคู่บินขึ้นสู่เวหาแล้ว ก็แทบไม่ต้องพูดถึง..
  ส่วนไป๋เซียนเอ๋อที่ไม่เห็นพอลกับเจสเตอร์อยู่ในสายตานั้นเพราะนางมีวิชาจิ้งจอกระเริงไฟ และวิชาฝ่ามือเพลิงสวรรค์ ทั้งสองวิชานี้แม้แต่เอ็ดเวิร์ดซึ่งเป็นแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสก็ยังต้องหวาดกลัว
  แต่แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็วูบขึ้นมาในหัวของหลิงหยุน และดูเหมือนว่าจะสื่อสารไปถึงจิตใจของไป๋เซียนเอ๋อได้ ไป๋เซียนเอ๋อที่ยืนอยู่บนหลังของเจสเตอร์นั้น ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา และเปลวไฟขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอลก็ปรากฏขึ้น ทำให้อุณหภูมิภายในห้องนั่งเล่นสูงขึ้นในทันที!
  “ว้าย..”
  หญิงสาวหลายคนกรีดร้องออกมาพร้อมกัน!
  และเพียงแค่ไม่กี่วินาที..หลงหวู่ เกาเฉินเฉิน และเสี่ยวเม่ยหนิงก็ไม่สามารถทานทนต่อความร้อนของเปลวไฟได้อีก และเหงื่อก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุด
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและกำลังจะร้องห้าม แต่กลับสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านมา สายลมเย็นนี้ไม่เพียงสามารถต้านทานความร้อนจากเปลวไฟทั้งสองของไป๋เซียนเอ๋อได้ แต่ยังทำให้ภายในห้องนั่งเล่นกลับมาเย็นได้อีก..
  หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับหันไปมองหลินเมิ่งหานทันทีทั้งคู่สบตากันแต่ก็ไม่พูดอะไร
  ‘ช่างยอดเยี่ยมนัก!ต่อไปพวกนางคงช่วยข้าได้มากทีเดียว..’
  หลิงหยุนแอบดีใจอยู่เงียบๆและรีบสั่งแวมไพร์ทั้งสองตนว่า “เอาล่ะ.. พวกเจ้ารีบกลางร่างขั้นสุดท้ายได้แล้ว..”

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

Comment

Options

not work with dark mode
Reset