Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 891-892

บทที่ 891 : เทพแห่งมาร!
หวังเฟยฮู๋เข้าใจคำเตือนของหลิงหยุนที่ซ่อนอยู่ในประโยคคำพูดดีเขารู้ว่าหลิงหยุนไม่ได้กลัวว่าเขาจะโกหกเลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่สอบถามจากเขาแล้ว หลิงหยุนก็ต้องไปสอบถามข้อมูลจากยอดฝีมืออีกสองคนอยู่ดี และหากคำบอกเล่าไม่ตรงกับที่เขาเล่า แน่นอนว่าเขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน!
เวลานี้มีเขามีเพียงแค่สองทางเลือกเท่านั้นคือ..จะรักษาชีวิต หรือจะทิ้งชีวิต ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากนี้แล้ว..
หวังเฟยฮู๋แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่จะยอมพลีชีพเพื่อตระกูลซันและไม่มีทางที่เขาจะยอมตายเพื่อรักษาความลับให้กับตระกูลซันอย่างแน่นอน!
“ข้า..ข้าจะบอกเล่าทุกอย่างที่ข้าได้รู้ได้เห็นมาให้เจ้าฟังทั้งหมด.. ข้ายินดีบอกทุกอย่างจริงๆ!”
จากนั้น..หวังเฟยฮู๋ก็ทิ้งกายพิงต้นไม้ใหญ่อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เขาพยายามนั่งในท่าทางที่สบายที่สุดก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องต่างๆ ให้หลิงหยุนฟัง..
“พวกเราทั้งสามคนมาที่นี่..จุดประสงค์ก็เพื่อคุ้มครองหลี่จิ่วเจียง..”
“แต่จุดประสงค์หลักก็คือมาหาข่าวคราวเกี่ยวกับตัวท่านแล้วรายงานทุกอย่างให้ตระกูลซันทราบในทันที..”
“ท่านสังหารคนตระกูลซันไปมากมายครั้งนี้ตระกูลซันจึงได้เชิญยอดฝีมือระดับปรมาจารย์มาเพื่อจัดการกับท่าน อีกทั้งยังร่วมมือกับตระกูลเฉินด้วย พวกเขาจะต้องสังหารท่านให้ได้โดยเร็วที่สุด!”
“..”
หวังเฟยฮู๋นั้นอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-4ซึ่งนับว่าอยู่ในด่านกลางของขั้นเซียงเทียนแล้ว ดังนั้นฐานะของเขาในตระกูลซันจึงนับว่าสูงส่งพอที่จะเข้าร่วมประชุมลับกับคนสำคัญในตระกูลซันได้ จึงรู้เรื่องราวภายในตระกูลซันได้เป็นอย่างดี
หวังเฟยฮู๋เล่าไปนานกว่ายี่สิบนาที..และระหว่างที่เล่านั้น เขาก็ได้ตอบคำถามที่หลิงหยุนอยากรู้ไปอีกมากมายก่อนจะสรุปทิ้งท้ายไว้เพียงสั้นๆ
“เรื่องราวและข่าวคราวของตระกูลซันเวลานี้ก็เป็นอย่างที่ข้าเล่าไป หากท่านไม่เชื่อ ก็ลองถามพวกเขาสองคนดูได้..”
หลิงหยุนนิ่งฟังเงียบและแสยะยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “ไม่ต้อง.. ข้าเชื่อเจ้า!”
ความจริงแล้วเหตุการณ์ในตระกูลซันเวลานี้หลิงหยุนก็พอระแคะระคายมาก่อนหน้านี้แล้ว และหากเขาอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลซันมากกว่านี้ เขาสอบถามจากท่านปู่หลิงชี่ หรือไม่ก็ลุงสองหลิงเย่วไม่ดีกว่าหรือ
เจ็ดตระกูลใหญ่ในประเทศจีนล้วนแล้วแต่ตั้งรกรากอยู่ในปักกิ่งมานานหลายปี คนตระกูลหลิงจึงย่อมจะรู้จักตระกูลซันได้ดีกว่าหวังเฟยฮู๋อย่างแน่นอน!
“เอ่อ..ไม่ทราบว่าคุณชายหลิงจะยอมปล่อยพวกเราไปหรือไม่” ดวงตาแดงก่ำของหวังเฟยฮู๋จ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง..
หลิงหยุนตอบเสียงเบา“ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนี้.. ไว้คิดเมื่อไหร่ข้าจะบอกเจ้าเอง!”
“เจสเตอร์!”
เจสเตอร์ที่เฝ้าอยู่สวนหลังบ้านเมื่อได้ยินหลิงหยุนร้องเรียก ก็รีบพุ่งมาหาอย่างรวดเร็ว
“เจ้านายที่เคารพ..มีอะไรให้เจสเตอร์บริวารที่จงรักภักดีรับใช้หรือนายท่าน”
หลิงหยุนเหลือบมองพร้อมตอบกลับไปเสียงเบา“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องมาพิธีรีตรองแบบชาวตะวันตกกับข้าอีกอีก.. พูดจาให้ข้าฟังเข้าใจได้ง่ายๆหน่อย”
เจสเตอร์ยักไหล่แล้วผายมือออกพร้อมกับโค้งตัวลงตอบไปว่า “เจ้านายที่เคารพ.. นี่เป็นมารยาทที่บริวารควรกระทำต่อเจ้านาย”
“เจ้านำตัวพวกมันสามคนไปขังไว้ที่ห้องเก็บของแล้วก็เฝ้ามันไว้ให้ดีด้วยล่ะ!”
หลิงหยุนคร้านที่จะต่อปากต่อคำกับเจสเตอร์และได้จัดการสกัดจุดหวังเฟยฮู๋อีกสองสามจุด และบอกกับเขาว่า
“เจ้าคงต้องอยู่แบบนี้ไปอีกสักสองสามวัน!”
หวังเฟยฮู๋ถูกหลิงหยุนสกัดจุดอีกครั้งเลือดลมจึงเริ่มเดินสะดุด และเขาถึงกับไอออกมาสองสามครั้ง แต่ก็นึกตกใจที่ความเจ็บปวดต่างๆได้บรรเทาลง จึงรู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนไว้ชีวิตตนเองแล้ว
“ขอบคุณคุณชายหลิงที่ไว้ชีวิตข้า!”
หวังเฟยฮู๋พูดจบก็จ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า“คุณชายหลิง.. ข้าได้ยินมาว่ากระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือของท่าน ไม่ทราบว่าข่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่”
“ที่แท้ตระกูลซันก็รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นรึดูเหมือนข่าวนี้จะกระจายไปอย่างรวดเร็วมากสินะ..”
หลิงหยุนยิ้มมุมปากก่อนจะตอบไปว่า“ถูกต้อง.. กระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือของข้าจริงๆ! เจ้าถามทำไมรึ!”
แววตาของหวังเฟยฮู๋เป็นประกายด้วยความอัศจรรย์ใจก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง..
“กระบี่โลหิตแดนใต้หายสาบสูญไปนานนับพันปี..ตามตำนานเล่าขานกันว่าผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ คนผู้นั้นจะได้เป็นเทพแห่งมารคนต่อไป! คุณชายหลิง.. จากนี้ไปท่านคงจะต้องพบเจอกับปัญหาใหญ่หลวงนักแล้ว!”
“โอ้..ขนาดนั้นเชียวรึ!”
หลิงหยุนพยัชกหน้ารับรู้พร้อมตอบกลับไปยิ้มๆ“ขอบใจที่เจ้าเตือนข้าด้วยความหวังดี!”
สมบัติล้ำค่าบนโลกล้วนแล้วแต่ต้องตกเป็นของผู้ชนะและผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถครอบครองสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นได้ เหตุการณ์เช่นนี้.. หลิงหยุนคุ้นเคย และประสบพบเจอมามากเมื่อครั้งอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ เขาจึงไม่ใส่ใจนัก..
อีกทั้งหลิงหยุนเองก็รู้แล้วว่าแม่ผู้ให้กำเนิดตนเองนั้นคือธิดาพรรคมารคนก่อนเขาจึงมีความเกี่ยวข้องกับพรรคมารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นนี้แล้วเหตุใดยังจะต้องหลบๆซ่อนๆไม่กล้าประกาศว่าตนเองครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ด้วยเล่า!
หลังจากที่เจสเตอร์นำร่างของยอดฝีมือตระกูลซันทั้งสามคนกลับไปที่สวนด้านหลังแล้วหลิงหยุนก็เรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมา และกระบี่วิเศษที่ถูกมนต์คาถาสะกดไว้ก็ปรากฏขึ้นในมือซ้ายของหลิงหยุน!
ตัวกระบี่เป็นสีดำทั้งเล่มด้ามจับเป็นลวดลายแปลกประหลาด อีกทั้งยังเป็นมันเงาวาววับราวกับเคลือบไว้ด้วยแล็กเกอร์ ตัวกระบี่นั้นกว้างกว่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ และยาวกว่าหนึ่งเมตร ตัวฝักสลักเป็นรูปมังกรดำที่กำลังกางเล็บ และตัวกระบี่ก็มีไอสังหารที่ทำให้ผู้คนถึงกับขนลุกขนชันทันทีที่ได้พบเห็น!
“เทพแห่งพรรคมารคนต่อไปงั้นรึ!”
“ในเมื่อตระกูลซันใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อสังหารข้าให้ได้โดยเร็วที่สุดจากนี้ไปข้าก็จะไม่ปราณีพวกเจ้าเช่นกัน!
หลิงหยุนถือฝักกระบี่ไว้ในมือขวาและมือซ้ายถือตัวกระบี่พร้อมกับแสยะยิ้มอย่างเลือดเย็น!
“กลิ่นอายสังหารรุนแรงเหลือเกิน!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่เข้ายืนอยู่ด้านหลังหลิงหยุนเงียบๆนั้นจู่ๆ ก็ผงะถอยหลังออกไปถึงสองก้าว สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโลหิต และกลิ่นอายสังหารที่รุนแรง และสังเกตเห็นว่าขณะที่หลิงหยุนถือกระบี่เล่มนี้ รอบกายของเขามีมวลอากาศสีดำปกคลุมอยู่ด้วย!
หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแต่เพียงแค่หันศรีษะกลับมามองเหมี่ยวเสี่ยวเหมา พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน..
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว..คราวหลังยังจะกล้าล้อเลียนข้าอีกหรือไม่ ครั้งหน้าข้าจะใช้มันตีก้นเจ้า!”
“นายกล้าเหรอ!”เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่กล้าแสดงความอ่อนแอหวาดกลัวออกมาให้หลิงหยุนเห็น จึงก้าวเท้าเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับจ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว..
หลิงหยุนเก็บกระบี่เข้าฝักและหันไปยิ้มให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับตอบไปว่า “อะไรกัน! ผมก็แค่ล้อเล่น.. ทำไมต้องโกรธด้วย! หรือว่าคุณกลัวจริง?”
“นี่นาย..!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทำเสียงกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่พอใจแต่แล้วใบหน้างดงามนั้นก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดพร้อมกับพูดเสียงเบา
“หลิงหยุน..กระบี่เล่มนี้ไม่ดีเลย มันมีกลิ่นอายปีศาจรุนแรงมาก!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพูดเพราะเป็นห่วงเป็นใยเขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณไม่ต้องกังวลใจ..ผมรู้จักกระบี่เล่มนี้ดี!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเพียงแค่ยิ้มและถอนหายใจแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก..
ในเวลานั้นเอง..รถราคาแพงสองคันก็แล่นเข้ามาในบ้าน คันหนึ่งคือเฟอรารี่ของเสี่ยวเม่ยหนิง ส่วนอีกคันคือแลมโบกินีของเกาเฉินเฉิน!
ฉินตงเฉี่วยหนิงหลิงยู่ ไป๋เซียนเอ๋อ และเกาเฉินเฉิน หญิงสาวทั้งสี่คนเดินผมยาวปลิวไสวเข้ามาพร้อมกับหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมายืนอยู่ในระยะกระชั้นชิดเช่นนั้น ก็ถึงกับตาโตด้วยความตกตะลึง
“เจ้าเด็กดื้อ..เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเตรียมอาหารเที่ยงอีกรึ?”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกแต่แล้วก็อ้อนวอนฉินตงเฉี่วย “น้าหญิง.. นี่ท่านยังจะให้ข้าทำอาหารเที่ยงอีกรึ โทรสั่งที่ภัตตาคารจิงฉูให้มาส่งจะดีกว่า..”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าหากวันๆ เขาต้องทำอาหารทุกมื้อเช่นนี้ เขาคงจะไม่มีเวลาได้ฝึกฝนอะไร และคงจะต้องไปสมัครเป็นพ่อครัวแทน!
สาวงามต่างก็พากันยิ้มหนิงหลิงยู่เห็นหลิงหยุนไม่อยากทำอาหาร จึงได้แต่กระซิบกับฉินตงเฉี่วย
“น้าหญิง..ข้าทำอาหารเที่ยงให้ท่านทานเองดีมั๊ยคะ!”
ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็ใจอ่อนนางเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ..เจ้าโทรสั่งอาหารที่ภัตตาคารจิงฉูมาได้!”
หลิงหยุนดีใจอย่างมากเขารีบร้องตะโกนเอาใจฉินตงเฉี่วย “น้าหญิงคนสวย.. อาหารที่ภัตตาคารล้วนแล้วแต่ปรุงโดยพ่อครัวมืออาชีพ..”
จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นหลังจากที่ทั้งหมดนั่งลงแล้ว หลิงหยุนจึงร้องถามขึ้นว่า
“น้าหญิง..ท่านไปรับฉีเสี่ยวชิงกับครอบครัวไม่ใช่รึ เหตุใดไม่พานางมาด้วยเล่า?”
ฉินตงเฉี่วยตอบกลับไปว่า“พามาที่บ้านหลังนี้นะ! เจ้าอยากให้พวกนางมาเห็นเจ้าฆ่าคนหรือยังไง?”
หนิงหลิงยู่อธิบายต่อว่า“พี่ใหญ่คะ.. น้าหญิงให้ฉีเสี่ยวชิงกับครอบครัวไปอยู่ที่บ้านของเฉินเฉิน เพราะใหนๆ ที่นั่นก็ไม่มีใครอยู่..”
หลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมความคิดที่ดีนี้และแอบส่งสายตาเจ้าชู้ให้กับเกาเฉินเฉิน จนเธอเองถึงกับหน้าแดง..
ฉินตงเฉี่วยพึมพำออกมา“ฉีเสี่ยวชิงกับน้องสาวมีร่างกายที่เหมาะจะฝึกวรยุทธอย่างมากเลยทีเดียว น่าเสียดายจริงๆ!”
หลิงหยุนเองก็เห็นมานานแล้วว่าทั้งฉีเสี่ยวชิงและฉีเสี่ยวหงนั้น สองพี่น้องมีร่างกายที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธอย่างยิ่ง และเหมาะอย่างยิ่งที่จะบ่มเพาะตน พรสวรรค์ของทั้งคู่นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเสี่ยวเม่ยหนิงเลย..
จากนั้นฉินตงเฉี่วยก็เงยหน้าขึ้นบอกหลิงหยุน“หลิงหยุน.. สองพี่น้องนั่นอยากจะพบเจ้า โดยเฉพาะเสี่ยวหง! หากเจ้ามีเวลาก็แวะไปหาพวกนางบ้าง อย่าให้พวกนางรู้สึกว่าเราพาพวกนางไปทิ้งไว้ที่นั่น!”
หลิงหยุนตอบรับทันที“ข้าทราบน้าหญิง.. ไว้มีเวลาข้าจะรีบเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกนาง..”
ฉีเสี่ยวชิงกับฉีเสี่ยวหงนั้นไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงแต่แม่ของพวกเธอ – ฉียู่วเจินนั้น ร่างกายยังไม่ฟื้นคืนเป็นปกติดีนัก เขาในฐานะหมออมตะยังต้องเข้าไปรักษาต่ออีกสักระยะ..
“เฮ้อ..น่าหงุดหงิดจริงๆ!” จู่ๆ ฉินตงเฉี่วยก็กัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะร้องออกมาอย่างโมโห..
หลิงหยุนรีบถามขึ้นด้วยความงุนงง“น้าหญิง.. เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ ใครทำให้ท่านไม่พอใจ?”
หนิงหลิงยู่รีบอธิบาย“พี่ใหญ่คะ.. ก็กระบี่มังกรขาวที่ท่านให้น้าหญิงน่ะสิ! มันเป็นกระบี่ที่ดีมากก็จริง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีฝัก น้าหญิงจึงไม่สามารถพกติดตัวไปใหนต่อใหนได้..”
ในเมื่อไม่สามารถพกสมบัติล้ำค่าติดตัวไปได้เช่นนี้จะเกิดประโยชน์ได้อย่างไรเล่า
หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ“น้าหญิง.. เหตุใดท่านไม่พันกระบี่ไว้รอบเอวเล่า!”
ตัวกระบี่ของกระบี่มังกรขาวนั้นอ่อนจนสามารถผูกเป็นปมได้ราวกับเชือกมันไม่เพียงม้วนเป็นวงกลมได้ แต่ยังสามารถพันรอบเอวได้อย่างยืดหยุ่น..
เพราะหลิงหยุนนั้นมีแหวนพื้นที่เขาจึงไม่จำเป็นต้องเหน็บมันไว้รอบเอว แต่ฉินตงเฉี่วยนั้นดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่น..
และดูเหมือนว่าแหวนพื้นที่นั้นจะมีประโยชน์กับเขาอย่างมากเลยทีเดียว..
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังความคิดของหลิงหยุนก็ร้องออกมาอย่างโมโห“ขืนข้าพันไว้รอบเอว เสื้อผ้าของข้าคงถูกตัดขาด แล้วข้าจะกล้าออกไปใหนได้เล่า!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ..
บทที่ 892 : ไปพบเจ้าหน้าที่ระดับสูง!
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยกันแล้วทุกคนต่างก็นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ในห้องนั่งเล่น
หลิงหยุนถามหญิงสาวทุกคนในห้อง“ยันต์ที่ผมเคยให้พวกคุณไว้ยังไม่ได้ใช้กันใช่มั๊ย”
ก่อนที่หลิงหยุนจะเดินทางไปปักกิ่งนั้นเขาได้มอบยันต์ให้กับทุกคนไว้ป้องกันตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยันต์อัคนี ยันต์เตโช ยันต์บำบัด ยันต์เพชร ยันต์เกราะ และสั่งให้ทุกคนเก็บไว้ใช้ในช่วงที่เผชิญหน้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย..
ยันต์อัคนีกับยันต์เตโชนั้นเป็นยันต์ที่ใช้สำหรับจู่โจมศัตรู ส่วนยันต์เกราะกับยันต์เพชรนั้น เป็นยันต์ที่ใช้สำหรับป้องกันตัวที่ดีที่สุด ในขณะที่ยันต์บำบัดนั้น เป็นยันต์ที่ล้ำค่าที่สุดเพราะสามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บให้หายได้อย่างฉับพลัน..
ยันต์ทั้งหมดนี้แต่ละคนล้วนมีกันคนละสิบกว่าแผ่นขึ้นไป..
สาวงามต่างก็พากันพยักหน้าโดยเฉพาะฉินตงเฉี่วยที่หัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าก็รอว่าเมื่อไหร่ศัตรูจะบุกมาเสียที ข้าจะได้พิสูจน์พลังของยันต์ที่เจ้าให้!”
ในเมื่อศัตรูกล้าที่จะตอแยหลิงหยุนเช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกมันรับรู้ถึงพลังความแข็งแกร่งของหลิงหยุนแล้ว และนั่นหมายความว่าศัตรูที่จะบุกมาจัดการกับหลิงหยุนนั้น ย่อมเป็นยอดฝีมือที่ฉินตงเฉี่วยยากที่จะรับมือได้
ฉินตงเฉี่วยเป็นคนของตระกูลฉินและยังเป็นศิษย์สำนักดาบสวรรค์ด้วย นางจึงพอจะรู้ว่าอันตรายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก นางจึงพกยันต์ที่หลิงหยุนให้ติดตัวไว้ตลอดเวลา และสั่งห้ามหนิงหลิงยู่ไม่ให้ออกไปนอกบ้านหากไม่ได้รับอนุญาตจากนางอย่างเด็ดขาด..
ทั้งค่ายกลและยันต์ชนิดต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นไพ่ในมือที่หลิงหยุนจะใช้รับมือกับเหล่าศัตรู หากไม่มีสองสิ่งล้ำค่านี้ หลิงหยุนคงจะไม่โง่นั่งรออยู่ที่บ้านให้ศัตรูบุกมาเล่นงานได้โดยง่ายอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ..ถ้าเช่นนั้นก็คงจะเพียงพอสำหรับทุกคนแล้ว! แต่ข้าคงจะต้องปลุกเสกยันต์เพิ่มให้มากกว่านี้!”
ยันต์ชุดที่หลิงหยุนเพิ่งจะปลุกเสกไปนั้นเขาปลุกเสกในขณะที่อยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นปรับร่างกาย-9 แต่เวลานนี้เขาเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9 แล้ว ยันต์ที่จะปลุกเสกครั้งนี้ย่อมต้องมีพลังรุนแรงมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ระหว่างที่ร้องบอกหญิงสาวทุกคนนั้นหลิงหยุนก็ได้จดรายชื่อสมุนไพร และปริมาณที่ต้องการใช้ลงในกระดาษ จากนั้นจึงยื่นให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับกำชับว่า
“คุณต้องจัดมาตามที่ผมเขียนไว้ทั้งหมดจะมากไป หรือน้อยไปก็ไม่ได้ ระมัดระวังให้ดีด้วย!”
เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะทำการปลุกเสกยันต์สุนัขสีดำสองตัวที่อยู่ภายในสวน ก็ถึงกับเห่าหอนออกมาอย่างโหยหวน..
สุนัขดำทั้งสองตัวนั้นกินเนื้ออย่างดีทุกวันและเวลานี้ร่างกายของมันก็แข็งแรงอย่างมาก และยังได้รับพลังชีวิตภายในสวนเข้าไปทุกวันอีกด้วย ทำให้จิตใจสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้..
การที่หลิงหยุนจะปลุกเสกยันต์ย่อมหมายความว่าจะต้องใช้เลือดของพวกมันอีกครั้ง มีหรือที่พวกมันจะไม่ร้องออกมาอย่างโหยหวนเช่นนั้น
เสี่ยวเม่ยหนิงไม่ชอบการดูแลสวนแต่เธอชอบที่จะดูแลเจ้าสุนัขสีดำทั้งสองตัว เธอรู้ดีว่าขั้นตอนการปลุกเสกยันต์ของหลิงหยุนนั้น จำเป็นต้องใช้เลือดของเจ้าสุนัขดำทั้งสองตัว เธอจึงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย แต่ก็ร้องถามออกมาอย่างนึกประหลาดใจ
“เจ้าหมาสองตัวนั่นดูเหมือนจะฉลาดขึ้นทุกวันดูสิ.. เข้าใจภาษาคนด้วย!”
ทุกคนในห้องต่างก็หัวเราะออกมาอย่างนึกขันและเวลานี้หญิงสาวทุกคนต่างก็ตื่นเต้นอยากเห็นวิธีการปลุกเสกยันต์ของหลิงหยุน
ภายในบ้านของหลิงหยุนนั้นมีทั้งกระดาษสีเหลืองสำหรับเขียนยันต์พู่กัน และชาดพร้อมแล้ว รอเพียงสมุนไพรต่างๆ ที่ให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไปจัดหามาเท่านั้น
หลิงหยุนนั่งเอนกายพิงโซฟาและกำลังจ้องมองสาวงามเดินกันขวักไขว่อยู่ในห้องรับแขกอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็โทรเข้ามาพอดี และได้บอกกับหลิงหยุนว่าเขาพักผ่อนและทานอาหารเรียบร้อยแล้ว อยากจะเข้ามาหาหลิงหยุนที่บ้าน..
หลิงหยุนร้องออกมาอย่างพอใจ“นายรีบเข้ามาได้เลย.. ฉันมีงานจะให้นายไปทำอยู่พอดี!”
ตี้เสี่ยวอู๋มาถึงบ้านเลขที่-1ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที และหลิงหยุนก็พุ่งเข้าไปดึงร่างของตี้เสี่ยวอู๋เข้าไปใต้ต้นไม้ในสวนทันที
“มานี่..ฉันจะสอนเทคนิคอย่างให้กับนาย!”
พูดจบ..หลิงหยุนก็ใช้นิ้วสองนิ้วตวัดไปมาแทนกระบี่ และจี้ไปยังจุดฝังเข็มต่างๆ บนร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋ซ้ำเช่นนั้นอยู่ถึงสามรอบ แล้วจึงร้องถามตี้เสี่ยวอู๋ว่า
“นายยังจำจุดฝังเข็มบนร่างกายที่ฉันสั่งให้ไปท่องมาได้มั๊ย”
ตี้เสี่ยวอู๋นั้นท่องจำจุดฝังเข็มต่างๆบนร่างกายที่หลิงหยุนเคยสั่งไว้ได้จนขึ้นใจแล้ว จึงตอบกลับไปทันที
“จำได้!”
“เยี่ยมมาก!”
หลิงหยุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจและจากนั้นก็จี้ไปตามจุดฝังเข็มต่างๆ บนร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋อีกครั้งพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ตรงนี้นายอย่าใช้พลังมากนัก..ส่วนตรงนี้ใช้พลังมากขึ้นมาหน่อย..”
หลิงหยุนมีวิธีการสกัดจุดที่ไม่เหมือนใครความสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่การจดจำจุดต่างๆบนร่างกายได้ แต่มันคือน้ำหนัก และพลังหนักเบาที่แตกต่างกันในการจี้ลงไปในแต่ละจุดต่างหาก และนี่คือเทคนิคในการสกัดจุดซึ่งเป็นความลับของหลิงหยุน!
หลิงหยุนรีบสอนตี้เสี่ยวอู๋สกัดจุดไปแล้วเขาก็พูดต่อว่า “ตอนนี้ฉันจะสอนนายคลายจุด!”
และในเมื่อเรียนรู้การสกัดจุดได้แล้วการคลายจุดจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตี้เสี่ยวอู๋จึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“ไม่เลวนี่!ทำได้ดีทีเดียว ”
หลิงหยุนนึกพอใจอย่างมากและเอ่ยชมตี้เสี่ยวอู๋จากใจ “ครั้งนี้เป็นการสกัดและคลายจุดแบบพื้นๆ ต่อไปฉันจะสอนอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้ให้นาย!”
“เอาล่ะ..คราวนี้นายก็ไปจัดการคลายจุดให้กับกู่เหลียนซันได้แล้ว..”
ในเมื่อหลิงหยุนรับปากกู่เหลียนเฉิงไว้แล้วเขาก็ต้องรักษาคำพูด! และเขาเองก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องฆ่ากู่เหลียนซันด้วย
“ครับพี่หยุน!”
แม้ว่านี่จะเป็นการเรียนวิธีสกัดและคลายจุดเบื้องต้นแต่ตี้เสี่ยวอู๋ก็ตื่นเต้นอย่างที่สุด และแทบอดทนรอที่จะได้ไปลองวิชาด้วยตัวเองไม่ได้
“หลังจากเสร็จงานแล้ว..นายก็รีบกลับมาล่ะ ที่นี่ยังมีงานรอให้นายทำอีกมากมาย!”
หลิงหยุนร้องบอกตี้เสี่ยวอู๋ที่กำลังขับรถออกไปจากนั้นจึงหันไปมองเจ้าสุนัขดำสองตัวที่กำลังรอให้ตี้เสี่ยวอู๋มาจัดการกรีดเอาเลือดของพวกมันออกมา
เจ้าสุนัขดำใหญ่ทั้งสองตัวนั้นยืนขาตรงหลังตั้งระหว่างที่จ้องมองหลิงหยุน บ่งบอกว่ามันมีอาการกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมการปลุกเสกยันต์
ในการปลุกเสกยันต์ระดับสูงเช่นนี้แม้แต่หลิงหยุนซึ่งเป็นยอดฝีมือ ก็ยังคงต้องเตรียมการวุ่นวายมากมายหลายอย่าง
นั่นเพราะยันต์แต่ละชนิดจะต้องใช้สมุนไพรที่แตกต่างกันวิธีการเขียนยันต์ก็แตกต่างกัน หมึกที่ใช้เขียนก็แตกต่างกัน และพลังชีวิตที่ใช้ก็แตกต่างกันด้วย!
การปลุกเสกยันต์จึงนับว่าซับซ้อนยิ่งกว่าการฝังเข็มด้วยวิชาเก้าเข็มปลุกชีพมากนัก!
นี่คือการปลุกเสกยันต์ที่ต้องถ่ายเทพลังชีวิตลงไปในกระดาษสีเหลืองบางเพื่อทำให้กระดาษาบางๆนี้มีคุณสมบัติเป็นยันต์ที่ทรงพลานุภาพ และสามารถสั่งการด้วยการร้องสั่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว.. หากการปลุกเสกยันต์สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ป่านนี้ก็คงมีวางขายกันเกลื่อนกลาดตามท้องถนนแล้ว!
สาวงามภายในบ้านต่างก็จ้องกระบวนการและขั้นตอนการปลุกเสกยันต์ของหลิงหยุนด้วยดวงตาเบิกโพลง ทุกคนทั้งตกตะลึง และอยากรู้อยากเห็นไปพร้อมๆกัน อีกทั้งยังแอบศรัทธา ชื่นชม และภาคภูมิใจในตัวหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น..
หลังจากที่หลิงหยุนเตรียมขั้นตอนสำหรับการปลุกเสกยันต์เสร็จแล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกนด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“พี่หยุน..ฉันทำสำเร็จแล้ว!”
แน่นอนว่าตี้เสี่ยวอู๋กำลังดีอกดีใจและตื่นเต้นเรื่องที่เขาสามารถคลายจุดให้กับกู่เหลียนซันได้นั่นเอง..
หลิงหยุนได้แต่นึกขันและถามเสียงเบา “แล้วเขาถูกปล่อยตัวไปหรือยัง”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับทันที“ตำรวจยังไม่สามารถปล่อยตัวได้ในทันที สำนักงานรักษาความมั่นคงจะต้องใช้เวลาในการทำตามขั้นตอน น่าจะอีกประมาณสองวัน..”
“งั้นก็ดี!จบแบบนี้ฉันก็ไม่ผิดคำพูดกับกู่เหลียนเฉิง!”
หลังจากพูดจบหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปนอกบ้านพร้อมกับสั่งตี้เสี่ยวอู๋ว่า “นายไปจัดการกรีดเลือดสุนัขดำมาทำหมึกสำหรับเขียนยันต์ได้แล้ว!”
จากนั้นตลอดทั้งบ่าย..หลิงหยุน ตี้เสี่ยวอู๋ ฉินตงเฉี่วย หนิงหลิงยู่ และสาวงามคนอื่นๆ ต่างก็นั่งดูหลิงหยุนปลุกเสกยันต์อยู่นานหลายชั่วโมง
หลิงหยุนปลุกเสกยันต์เตโชยันต์บำบัด ยันต์เพชร ยันต์เกราะ และเพิ่มยันต์เทวะยาตราด้วย..
ยันต์เทวะยาตรานั้น..เป็นยันต์ที่ใช้สำหรับเพิ่มความเร็วให้กับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการต่อสู้ หรือว่าเป็นความเร็วในการหลบหนี
และในเมื่อมียันต์เตโชหลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องปลุกเสกยันต์อัคนีซึ่งเป็นยันต์ระดับที่ต่ำกว่าให้เสียทรัพยากร และพลังชีวิต..
ในเวลายามเย็นราวห้าโมงครึ่ง..หลิงหยุนจึงปลุกเสกยันต์เสร็จเรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้สูญเสียพลังชีวิตไปมากมายนัก แต่สำหรับสุนัขดำสองตัวนั้นถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรง เพราะสูญเสียเลือดไปจำนวนมาก
ในเมื่อหลิงหยุนวุ่นกับการปลุกเสกยันต์มาตลอดทั้งบ่ายเช่นนี้ฉินตงเฉี่วยจึงไม่ให้เขาเข้าครัวทำอาหารเย็น จึงได้โทรสั่งให้ภัตตาคารจิงฉูมาส่งแทน และมื้อนี้ได้เปลี่ยนเป็นเมนูอาหารเสฉวน
หลิงหยุนปลีกตัวไปนั่งสมาธิภายในสวนเพียงลำพังเขาดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไป และร่างกายก็ได้สร้างพลังหยิน และพลังหยางขึ้นมาได้เองจนเต็มพิกัดเหมือนเดิม
หลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว..ถังเมิ่งก็โทรมาหาหลิงหยุน น้ำเสียงของเขาดูกระวนกระวายใจขณะที่เล่าให้หลิงหยุนฟังว่า ถังเทียนห่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงพาตัวไปแล้ว..
“ครั้งนี้ข้อหาอะไร”หลิงหยุนถามออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจ
ถังเมิ่งตอบกลับมาด้วยความร้อนใจ“พี่หยุน.. พวกเขาบอกว่าพ่อทำการจับกุมตัวหลี่จิ่วเจียงทั้งที่ไม่มีอำนาจในการจับกุม แล้วก็ไม่ยอมทำตามขั้นตอนการจับกุมที่ถูกต้อง ครั้งนี้รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงจะไม่พอใจพ่อมาก!”
ด้วยตำแหน่งของหลี่จิ่วเจียงนั้นหากกระทำความผิดจริง ก็จะต้องมีคำสั่งจับกุมตัวออกมาจากผู้บังคับบัญชาและทีมสอบสวนพิเศษ ซึ่งเป็นทีมที่สำนักงานสอบสวนทางวินัยเป็นผู้แต่งตั้งเท่านั้น หลังจากสอบสวนจนได้ความแล้ว สำนักงานรักษาความมั่นคงจึงจะสามารถจับกุมตัวได้ ดังนั้นการที่ถังเทียนห่าวจับกุมคนในคืนนั้นโดยพลการ จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอน และไม่ถูกต้อง..
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห“อะไรนะ! หลี่จิ่วเจียงทำความผิดจริง หลักฐานก็มีครบทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคล แต่กลับไม่สามารถจับกุมตัวได้นี่นะ?! แล้วใครกันที่ไม่พอใจเรื่องนี้?”
ถังเมิ่งตอบกลับมาทันที“ก็คณะกรรมการตรวจสอบวินัย แล้วก็เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงประจำมณฑลน่ะสิ! พวกเขายังบอกว่าต้องปล่อยตัวทุกคนที่จับมาทันที แล้วตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนใหม่อย่างละเอียด..”
จากนั้นถังเมิ่งก็พูดต่อว่า“พี่หยุน.. ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือของคนที่หนุนหลังหลี่จิ่วเจียงอยู่ และอาจเป็นฝีมือของตระกูลซันก็ได้!”
หลิงหยุนแสยะยิ้มและตอบกลับไปว่า “เอาล่ะ.. ฉันเข้าใจแล้ว! ตอนนี้นายอยู่ใหน ฉันจะไปหานายเดี๋ยวนี้!”
ถังเมิ่งบอกที่อยู่ให้หลิงหยุนรู้หลังจากที่ได้บอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้กับสาวงามฟังแล้ว หลิงหยุนกับตี้เสี่ยวอู๋ก็รีบขับรถออกจากบ้านทันที
ทันทีที่พบหน้าถังเมิ่งหลิงหยุนก็ถามขึ้นทันที “ตอนนี้ลุงถังอยู่ที่ใหน”
ถังเมิ่งตอบกลับทันที“ที่สำนักงานประจำมณฑล..”
หลิงหยุนตอบกลับมาว่า“เอาล่ะ.. พาฉันไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

Comment

Options

not work with dark mode
Reset