ทันทีที่หลิงหยุนตื่นขึ้นมาเขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน จึงเริ่มรู้สึกหิว เพราะอาหารมื้อสุดท้ายที่ตกถึงท้องของเขานั้น ก็คือเมื่อวานตอนเย็นก่อนเริ่มการประลอง..
“นี่เจ้ารู้สึกหิวเป็นเหมือนกันรึข้าคิดว่าเจ้าไม่ต้องกินอะไรก็อยู่ได้..”
“ข้ายังไม่ได้เป็นเซียน..”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าตื่นมาเจ้าคงต้องหิว..ข้าได้เตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว เจ้านั่งรอที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปยกมาให้..”
อาหารที่เย่ซิงเฉินยกมาบริการหลิงหยุนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นอาหารชั้นเลิศ ไม่ว่าจะเป็นสตูวไก่ ปลาทะเลนึ่ง ล็อบสเตอร์ แม้กระทั่งปูคิงส์แครป และน้ำแกงอีกสองสามอย่าง..
“ข้าไม่เกรงใจแล้วนะ..”
หลิงหยุนพูดจบก็เริ่มลงมือกินอย่างตะกละตะกลามทันที..ส่วนเย่ซิงเฉินก็ได้แต่นั่งมองหลิงหยุนกินพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
หลังจากที่หลิงหยุนกินจนอิ่มแปล้..ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นซึ่งพระอาทิตย์เริ่มจะตกดินแล้ว..
“นี่เจ้ากินหมดจริงๆรึ!”
“ไม่มีอาหารตกถึงท้องของข้ามาเกือบสองวันแล้วข้าย่อมต้องหิวมากเป็นธรรมดา..”
…..
หลิงหยุนนั่งมองเย่ซิงเฉินเก็บโต๊ะล้างถ้วยล้างชาม ทำให้เขานึกไปถึงว่า.. ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานั้น เย่ซิงเฉินคือผู้ที่คอยดูแลแม่ของตนมาโดยตลอด จึงรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น..
การได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆในป่ากลางหุบเขาที่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้ ทำให้หลิงหยุนเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่มีเรื่องเข้ามารบกวนจิตใจให้เขาต้องครุ่นคิดมากนัก เวลานี้หลิงหยุนจึงรู้สึกสบายอกสบายใจยิ่งนัก..
แต่ถึงอย่างนั้น..ชีวิตที่สงบเงียบ และมีความสุขเช่นนี้ ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆในชีวิตของเขาเท่านั้น เพราะยังมีเรื่องวุ่นวายของโลกภายนอกที่รอให้เขากลับไปสะสางอีกมากมาย
หลังจากที่เย่ซิงเฉินเก็บล้างภาชนะเรียบร้อยแล้วนางจึงเอ่ยถามหลิงหยุนทันที..
“หลิงหยุน..ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ฝึกบ่มเพาะตนเช่นเจ้านั้น หากอยู่ในขั้นสร้างรากฐานปราณ จะสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานานจริงหรือไม่”
“ถูกต้อง!”
หลิงหยุนพยักหน้าและในเมื่อเย่ซิงเฉินได้ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวซึ่งเป็นวิชาฝึกบ่มเพาะตนอย่างหนึ่งเช่นกัน หลิงหยุนจึงต้องการที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้นางเข้าใจ..
“สิ่งสำคัญสำหรับผู้ฝึกบ่มเพาะตนนั้นก็คือการสร้างรากฐานปราณการสร้างรากฐานปราณก็คือการผสานรวมกาย ปราณ และจิตวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียว ตราบใดที่สามรวมเป็นหนึ่งได้ ธรรมกายาจะปรากฏ ลมหายใจของคนผู้นั้นก็คือชี่ของสวรรค์ โลก และจักรกวาลที่กว้างใหญ่ จิตของคนผู้นั้นจึงทรงพลัง..”
“เมื่อเป็นเช่นนี้..จึงจะเรียกว่ามีรากฐานปราณที่แข็งแกร่งได้!”
“เช่นเดียวกับตึกสูงระฟ้า..ที่จำเป็นต้องสร้างรากฐานเสียก่อน จึงจะสามารถสร้างอาคารที่สูงขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ในการฝึกฝนบ่มเพาะตน จึงได้เรียกการฝึกฝนขั้นนี้ว่าขั้นสร้างรากฐานลมปราณ..”
“หากรากฐานลมปราณมั่นคงขั้นกำลังภายในก็จะมั่นคงไปด้วย และหากฝึกบ่มเพาะตนไปสักระยะ ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะปฏิเสธอาหารที่เคยกิน เพราะอาหารเหล่านั้นจะต้องผ่านลำไส้และการย่อย ทำให้เกิดสิ่งสกปรกและไม่บริสุทธิ์ขึ้นในร่างกาย และยากต่อการกำจัดในภายหลัง ผู้ฝึกบ่มเพาะตนที่ฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ จึงไม่ยอมแตะต้องอาหาร..”
หลิงหยุนนั่งมองเย่ซิงเฉินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะอธิบายต่อว่า “เวลานี้เจ้าเองก็ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาบ่มเพาะเช่นกัน และเวลานี้เส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูของเจ้าก็เปิดเชื่อมถึงกันแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นเซียงเทียน-9 เมื่อนั้นจิตหยั่งรู้ของเจ้าจะเป็นจิตหยั่งในขั้นพลังชี่ และพลังเหนือธรรมชาติที่เจ้าใช้จะเป็นพลังเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามันคืออะไร..”
เย่ซิงเฉินนั่งฟังหลิงหยุนอธิบายด้วยแววตาเป็นประกายและเปี่ยมไปด้วยความหวัง เวลานี้หลิงหยุนได้จุดปราย และเปิดประตูเส้นทางบ่มเพาะให้กับเย่ซิงเฉินแล้ว!
หลังจากที่อธิบายให้เย่ซิงเฉินฟังไปอย่างละเอียดแล้วหลิงหยุนก็เริ่มพูดธุระของตนเองต่อ..
“ซิงเฉิน..เวลานี้เหตุการณ์ภายนอกเป็นเช่นใดบ้าง ในเมืองปักกิ่งเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือไม่?”
หลิงหยุนรู้ดีว่าแม้เย่ซิงเฉินจะอาศัยอยู่ในป่าลึกกลางหุบเขาเช่นนี้แต่นางมักจะติดต่อกับเครือข่ายอยู่เนืองๆ ทำให้ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของโลกภายนอกได้ทั้งหมด..
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวเป็นแน่! เจ้าขุดรากถอนโคนสองตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซันกับตระกูลเฉินเช่นนั้น ไม่เพียงแค่ปักกิ่งที่สั่นสะเทือน แต่เวลานี้ทั่วทั้งประเทศก็สั่นสะเทือน!”
หลิงหยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่และนิ่งฟังเย่ซิงเฉินเล่ารายละเอียด และข่าวคราวทั้งหมดที่รับรู้มาให้ตนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
เวลานี้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้สิ้นชื่อแล้วอย่างแท้จริง!
เดิมที่ตระกูลใหญ่ในประเทศจีนนั้นมีทั้งหมดแปดตระกูลซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือตระกูลฉินแห่งเขาฉินหลิง แต่หากนับเฉพาะภายในปักกิ่งเวลานี้ ซึ่งได้ตัดรายชื่อของตระกูลซันกับตระกูลเฉินออกไปแล้ว ก็จะเหลือตระกูลใหญ่เพียงแค่ห้าตระกูลเท่านั้น
ซึ่งคือตระกูลหลงตระกูลเย่ ตระกูลหลิง ตระกูลเกา และตระกูลหลี่!
ในเมื่อตระกูลซันกับตระกูลเฉินถูกตระกูลหลิงทำลายจนสิ้นชื่อเช่นนี้ตระกูลหลิงจึงได้เลื่อนขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสามแทนที่ทั้งสองตระกูลในทันที..
ส่วนตระกูลเกานั้น..ก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้น ตระกูลเกาก็ได้ประกาศชัดว่าตนนั้นเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิง ในเมื่อตระกูลหลิงเลื่อนขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสาม ตระกูลเกาจึงเลื่อนขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสี่ในทันทีเช่นกัน..
ทันทีที่รู้ข่าวว่าตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้ล่มสลายแล้วตระกูลหลี่ก็เป็นตระกูลแรกที่ส่งคนของตนเองไปบ้านตระกูลหลิง และตระกูลเกาก่อนผู้ใด..
ส่วนตระกูลหลงกับตระกูลเย่นั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีใดๆ เหมือนเช่นเคย ทั้งสองตระกูลทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
หลังจากที่เย่ซิงเฉินรายงานสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้หลิงหยุนฟังจนหมดแล้วหลิงหยุนก็เพียงแค่พยักหน้า และถามถึงเรื่องภายในตระกูลหลิงของตนทันที
“แล้วเรื่องภายในตระกูลหลิงของข้าล่ะตอนนี้ท่านปู่กับท่านพ่อเป็นเช่นใดบ้าง?”
เวลานี้เรื่องที่หลิงหยุนกังวลใจมากที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ภายในตระกูลหลิงเอง..
“ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่เจ้าคาดการไว้ตั้งแต่แรก..เวลานี้ผู้ที่เป็นเสาหลักในการจัดการภารกิจต่างๆในตระกูลหลิง ก็คือหลิงเย่วลุงสองของเจ้า ตั้งแต่สิ้นสุดการประลอง เขาก็วุ่นวายอยู่กับการจัดการเรื่องราวต่างๆ และดูเหมือนว่าเรื่องของหลิงเจิ้นจะไม่มีผลกระทบต่อจิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย..”
“ส่วนผู้หญิงภายในบ้านตระกูลเฉินกับตระกูลซันนั้นทุกคนก็ได้เดินทางออกจากปักกิ่งทั้งหมดแล้ว หากข้าคาดการไม่ผิด.. ผู้หญิงพวกนั้นคงจะแยกย้ายกันกลับไปบ้านเดิมของตนเอง..”
“และตามข้อตกลงของหนังสือท้าประลอง..ตระกูลหลิงจะได้เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน และธุรกิจต่างๆทั้งหมดของตระกูลซันกับตระกูลเฉิน ส่วนเรื่องการโอนทรัพย์สินและกิจการนั้น ข้าเองก็ยังไม่ได้รับข่าวเรื่องนี้..”
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้ใดก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ในเวลานี้ก็คือ..ตระกูลหลิงของเจ้าได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้งอย่างแท้จริงแล้ว! ต่อให้ตระกูลหลงกับตระกูลเย่จะแอบขัดขวางอย่างลับๆ ก็คงทำได้ยากนัก!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเพราะเข้าใจความหมายในคำพูดของเย่ซิงเฉินดี!
การต่อสู้บนโลกใบนี้ไม่มีวัตถุประสงค์อะไรมากไปกว่าการให้ได้มาซึ่งเงินทองอำนาจ และชื่อเสียง ผู้ชนะย่อมได้ครอบครองสิ่งเหล่านี้.. หลังจากที่ตระกูลซันกับตระกูลเฉินล่มสลาย..ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่ทั้งสองตระกูลครอบครองอยู่นั้น นอกเหนือจากที่ทั้งสองตระกูลแอบโอนออกไปอย่างลับๆแล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่ก็จะต้องตกเป็นของตระกูลหลิงทั้งหมด..
แต่จะว่าไปแล้ว..ทรัพย์สินและธุรกิจเหล่านั้น ก็ล้วนแล้วแต่เคยเป็นของตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนแทบทั้งสิ้น!
แม้เงินทองจะเป็นปัจจัยสำคัญแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คืออำนาจ!
เวลานี้..ตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้ล่มสลายอย่างแท้จริงแล้ว และนั่นได้นำไปสู่สุญญากาศของอำนาจเบื้องบนในประเทศนี้ และสุญญากาศทางอำนาจนี้ก็ต้องการผู้ที่จะมาเติมเต็ม
อำนาจกับเงินทองป็นคนละเรื่องกัน..เงินทองอาจจะสามารถแย่งชิงกันได้ในเวลาสั้นๆ แต่การแย่งชิงอำนาจนั้นใช่ว่าจะสามารถทำได้ภายในเวลาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ตรงกันข้าม..การแย่งชิงอำนาจจะต้องรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้เสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงแรงสั่นสะเทือนที่จะมีมากกว่านี้
แม้กระทั่งเงินทองและทรัพย์สินของตระกูลซันกับตระกูลเฉินเองก็เช่นกัน ด้วยจำนวนทรัพย์สินที่มหาศาลของทั้งสองตระกูล ใช่ว่าจะสามารถจัดการทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายสี่ห้าวันได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสี่ห้าเดือน หรือหนึ่งปีเลยทีเดียว..
ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา..แต่เรื่องใดๆ ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการที่ตระกูลหลิงได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง!
ครั้งนี้ดูเหมือนตระกูลหลงกับตระกูลเย่จะไม่ยื่นมือเข้ามาขอส่วนแบ่งแต่หากสองตระกูลใหญ่ทำเช่นนั้นจริง หลิงหยุนย่อมไม่ทางยินยอมเป็นแน่ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสองตระกูลใหญ่..
“ข้ารู้มาเพียงแค่ว่าตั้งแต่กลับไปท่านปู่หลิงกับท่านลุงหลิงก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง แต่ก็ยังไม่ได้รับรายงานอะไรที่มากไปกว่านี้..” “แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะลุงสองของเจ้าก็สามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยดี ข้าว่าพวกเขาทั้งคู่คงต้องการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เพื่อรักษาเยียวยาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น..”
“เรื่องนี้คงต้องรอเจ้ากลับไปจัดการด้วยตัวเอง..”
“อืมม..”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับตอบไปว่า“คงต้องเป็นเช่นนั้น!”
“หลิงหยุน..ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าอีกครั้ง เวลานี้ตระกูลหลิงจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งแล้ว และจะเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของประเทศนี้ “
“จากนี้ไป..ตระกูลหลิงจะไปในทิศทางใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
เย่ซิงเฉินเอ่ยแสดงความยินดีกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม..
“ขอบใจเจ้ามาก!นี่คือสิ่งที่ข้ารอคอย..”
….. หลังจากที่หลิงหยุนทำลายตระกูลซันกับตระกูลเฉินจนสิ้นชื่อไปแล้วถึงเวลาที่เขาจะต้องสร้างตระกูลหลิงให้เป็นตระกูลที่มั่นคงแข็งแกร่งอย่างแท้จริง และเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มทำก่อนเรื่องใด..
เพราะเวลานี้เขาได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้วและเมื่อใดก็ตามที่เข้าสู่ระดับกลางขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) หลิงหยุนก็จะสามารถใช้กระบี่เหินของตนเองเหาะเหินเดินอากาศได้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะได้ท่องไปในท้องนภาเล่นได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ
แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น..ยังมีเรื่องที่หลิงหยุนจะต้องสะสางจัดการอีกมากมาย และเขาจำเป็นต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนจนเต็มอิ่มเวลานี้จิตใจของหลิงหยุนจึงค่อนข้างแจ่มใส และความคิดก็ปลอดโปร่ง เรื่องหนึ่งจึงผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที..
“ซิงเฉิน..” “ก่อนวันประลอง..ตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้ทำการฝังระเบิดมากมายไว้ใต้พื้นดิน หากไม่ใช่เพราะแวมไพร์ทั้งห้าตนของข้าจัดการสังหารคนจุดชนวนระเบิดตาย ป่านนี้หุบเขาทั้งหุบเขาคงจะต้องถูกแรงระเบิดถล่มราบไปแล้ว..”
เย่ซิงเฉินได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจไม่น้อยก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ตระกูลซันกับตระกูลเฉินยอมทำทุกวิถีทางที่จะสังหารเจ้าให้ได้จริงๆสินะ!”
“หลิงหยุน..นับว่าเจ้าโชคดีมาก! เฉินจิ้งเฉวียนมันคงรู้ตัวว่ามันเองไม่อาจสังหารเจ้าได้ มันจึงเลือกที่จะใช้วิธีระเบิดร่างของเจ้าแทน ด้วยแรงระเบิดจำนวนมหาศาลเช่นนั้น มันต้องมั่นใจว่าต่อให้มันตายไป เจ้าเองก็คงยากที่จะรอดชีวิตออกมาได้เช่นกัน!”
หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง.. เพราะหากเกิดระเบิดขึ้นจริงๆ ข้าคงไม่ได้มานั่งอยู่กับเจ้าตอนนี้!” หลังจากที่ความทรงจำตลอดสิบแปดปีของหลิงหยุนได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเขาผ่านความฝันในคืนนั้น ทำให้หลิงหยุนมีความรู้ และเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกใบนี้ได้มากขึ้น ในคืนนั้นเขาจึงได้รู้ว่าหากชนวนระเบิดถูกจุดขึ้นเมื่อใด ก็จะมีแรงระเบิดที่รุนแรงมหาศาลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างช้าๆ“ไม่แน่ว่า.. พวกมันทั้งสองตระกูลอาจจะมั่นใจว่าต้องเป็นฝ่ายชนะข้าก็เป็นได้! ส่วนระเบิดพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่การเตรียมการอย่างรอบคอบของพวกมันเท่านั้น..”
“แต่จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษที่เฉินจิ้งเฉวียนประมาทข้าจนเกินไปมันคงคิดไม่ถึงว่าข้าจะมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ และคิดไม่ถึงว่าข้าจะมีไพ่ในมืออีกมากมาย..”
เย่ซิงเฉินตอบกลับยิ้มๆ“ไพ่ในมือของเจ้ามีมากมายถึงเพียงนั้น อย่าว่าแต่เฉินจิ้งเฉวียนเลย แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้..”
อย่าว่าแต่เย่ซิงเฉินไม่รู้แม้แต่หลงฮ่าวหลานกับเย่ชิงซินที่เฝ้าดูการต่อสู้ของหลิงหยุนมาโดยตลอดนั้น ก็ยังไม่ได้เห็นไพ่ที่อยู่ในมือทั้งหมดของเขาเช่นกัน!
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร..
เย่ซิงเฉินจึงพูดขึ้นว่า“เจ้าวางใจได้.. เรื่องระเบิดพวกนั้นข้าจะสั่งให้คนไปจัดการขุดออกมาให้หมด..!”
“ขอบใจเจ้ามาก!”
“นี่เจ้ารู้สึกหิวเป็นเหมือนกันรึข้าคิดว่าเจ้าไม่ต้องกินอะไรก็อยู่ได้..”
“ข้ายังไม่ได้เป็นเซียน..”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าตื่นมาเจ้าคงต้องหิว..ข้าได้เตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว เจ้านั่งรอที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปยกมาให้..”
อาหารที่เย่ซิงเฉินยกมาบริการหลิงหยุนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นอาหารชั้นเลิศ ไม่ว่าจะเป็นสตูวไก่ ปลาทะเลนึ่ง ล็อบสเตอร์ แม้กระทั่งปูคิงส์แครป และน้ำแกงอีกสองสามอย่าง..
“ข้าไม่เกรงใจแล้วนะ..”
หลิงหยุนพูดจบก็เริ่มลงมือกินอย่างตะกละตะกลามทันที..ส่วนเย่ซิงเฉินก็ได้แต่นั่งมองหลิงหยุนกินพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
หลังจากที่หลิงหยุนกินจนอิ่มแปล้..ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นซึ่งพระอาทิตย์เริ่มจะตกดินแล้ว..
“นี่เจ้ากินหมดจริงๆรึ!”
“ไม่มีอาหารตกถึงท้องของข้ามาเกือบสองวันแล้วข้าย่อมต้องหิวมากเป็นธรรมดา..”
…..
หลิงหยุนนั่งมองเย่ซิงเฉินเก็บโต๊ะล้างถ้วยล้างชาม ทำให้เขานึกไปถึงว่า.. ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานั้น เย่ซิงเฉินคือผู้ที่คอยดูแลแม่ของตนมาโดยตลอด จึงรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น..
การได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆในป่ากลางหุบเขาที่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้ ทำให้หลิงหยุนเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่มีเรื่องเข้ามารบกวนจิตใจให้เขาต้องครุ่นคิดมากนัก เวลานี้หลิงหยุนจึงรู้สึกสบายอกสบายใจยิ่งนัก..
แต่ถึงอย่างนั้น..ชีวิตที่สงบเงียบ และมีความสุขเช่นนี้ ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆในชีวิตของเขาเท่านั้น เพราะยังมีเรื่องวุ่นวายของโลกภายนอกที่รอให้เขากลับไปสะสางอีกมากมาย
หลังจากที่เย่ซิงเฉินเก็บล้างภาชนะเรียบร้อยแล้วนางจึงเอ่ยถามหลิงหยุนทันที..
“หลิงหยุน..ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ฝึกบ่มเพาะตนเช่นเจ้านั้น หากอยู่ในขั้นสร้างรากฐานปราณ จะสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานานจริงหรือไม่”
“ถูกต้อง!”
หลิงหยุนพยักหน้าและในเมื่อเย่ซิงเฉินได้ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวซึ่งเป็นวิชาฝึกบ่มเพาะตนอย่างหนึ่งเช่นกัน หลิงหยุนจึงต้องการที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้นางเข้าใจ..
“สิ่งสำคัญสำหรับผู้ฝึกบ่มเพาะตนนั้นก็คือการสร้างรากฐานปราณการสร้างรากฐานปราณก็คือการผสานรวมกาย ปราณ และจิตวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียว ตราบใดที่สามรวมเป็นหนึ่งได้ ธรรมกายาจะปรากฏ ลมหายใจของคนผู้นั้นก็คือชี่ของสวรรค์ โลก และจักรกวาลที่กว้างใหญ่ จิตของคนผู้นั้นจึงทรงพลัง..”
“เมื่อเป็นเช่นนี้..จึงจะเรียกว่ามีรากฐานปราณที่แข็งแกร่งได้!”
“เช่นเดียวกับตึกสูงระฟ้า..ที่จำเป็นต้องสร้างรากฐานเสียก่อน จึงจะสามารถสร้างอาคารที่สูงขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ในการฝึกฝนบ่มเพาะตน จึงได้เรียกการฝึกฝนขั้นนี้ว่าขั้นสร้างรากฐานลมปราณ..”
“หากรากฐานลมปราณมั่นคงขั้นกำลังภายในก็จะมั่นคงไปด้วย และหากฝึกบ่มเพาะตนไปสักระยะ ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะปฏิเสธอาหารที่เคยกิน เพราะอาหารเหล่านั้นจะต้องผ่านลำไส้และการย่อย ทำให้เกิดสิ่งสกปรกและไม่บริสุทธิ์ขึ้นในร่างกาย และยากต่อการกำจัดในภายหลัง ผู้ฝึกบ่มเพาะตนที่ฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ จึงไม่ยอมแตะต้องอาหาร..”
หลิงหยุนนั่งมองเย่ซิงเฉินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะอธิบายต่อว่า “เวลานี้เจ้าเองก็ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาบ่มเพาะเช่นกัน และเวลานี้เส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูของเจ้าก็เปิดเชื่อมถึงกันแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นเซียงเทียน-9 เมื่อนั้นจิตหยั่งรู้ของเจ้าจะเป็นจิตหยั่งในขั้นพลังชี่ และพลังเหนือธรรมชาติที่เจ้าใช้จะเป็นพลังเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามันคืออะไร..”
เย่ซิงเฉินนั่งฟังหลิงหยุนอธิบายด้วยแววตาเป็นประกายและเปี่ยมไปด้วยความหวัง เวลานี้หลิงหยุนได้จุดปราย และเปิดประตูเส้นทางบ่มเพาะให้กับเย่ซิงเฉินแล้ว!
หลังจากที่อธิบายให้เย่ซิงเฉินฟังไปอย่างละเอียดแล้วหลิงหยุนก็เริ่มพูดธุระของตนเองต่อ..
“ซิงเฉิน..เวลานี้เหตุการณ์ภายนอกเป็นเช่นใดบ้าง ในเมืองปักกิ่งเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือไม่?”
หลิงหยุนรู้ดีว่าแม้เย่ซิงเฉินจะอาศัยอยู่ในป่าลึกกลางหุบเขาเช่นนี้แต่นางมักจะติดต่อกับเครือข่ายอยู่เนืองๆ ทำให้ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของโลกภายนอกได้ทั้งหมด..
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวเป็นแน่! เจ้าขุดรากถอนโคนสองตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซันกับตระกูลเฉินเช่นนั้น ไม่เพียงแค่ปักกิ่งที่สั่นสะเทือน แต่เวลานี้ทั่วทั้งประเทศก็สั่นสะเทือน!”
หลิงหยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่และนิ่งฟังเย่ซิงเฉินเล่ารายละเอียด และข่าวคราวทั้งหมดที่รับรู้มาให้ตนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
เวลานี้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้สิ้นชื่อแล้วอย่างแท้จริง!
เดิมที่ตระกูลใหญ่ในประเทศจีนนั้นมีทั้งหมดแปดตระกูลซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือตระกูลฉินแห่งเขาฉินหลิง แต่หากนับเฉพาะภายในปักกิ่งเวลานี้ ซึ่งได้ตัดรายชื่อของตระกูลซันกับตระกูลเฉินออกไปแล้ว ก็จะเหลือตระกูลใหญ่เพียงแค่ห้าตระกูลเท่านั้น
ซึ่งคือตระกูลหลงตระกูลเย่ ตระกูลหลิง ตระกูลเกา และตระกูลหลี่!
ในเมื่อตระกูลซันกับตระกูลเฉินถูกตระกูลหลิงทำลายจนสิ้นชื่อเช่นนี้ตระกูลหลิงจึงได้เลื่อนขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสามแทนที่ทั้งสองตระกูลในทันที..
ส่วนตระกูลเกานั้น..ก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้น ตระกูลเกาก็ได้ประกาศชัดว่าตนนั้นเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิง ในเมื่อตระกูลหลิงเลื่อนขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสาม ตระกูลเกาจึงเลื่อนขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสี่ในทันทีเช่นกัน..
ทันทีที่รู้ข่าวว่าตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้ล่มสลายแล้วตระกูลหลี่ก็เป็นตระกูลแรกที่ส่งคนของตนเองไปบ้านตระกูลหลิง และตระกูลเกาก่อนผู้ใด..
ส่วนตระกูลหลงกับตระกูลเย่นั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีใดๆ เหมือนเช่นเคย ทั้งสองตระกูลทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
หลังจากที่เย่ซิงเฉินรายงานสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้หลิงหยุนฟังจนหมดแล้วหลิงหยุนก็เพียงแค่พยักหน้า และถามถึงเรื่องภายในตระกูลหลิงของตนทันที
“แล้วเรื่องภายในตระกูลหลิงของข้าล่ะตอนนี้ท่านปู่กับท่านพ่อเป็นเช่นใดบ้าง?”
เวลานี้เรื่องที่หลิงหยุนกังวลใจมากที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ภายในตระกูลหลิงเอง..
“ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่เจ้าคาดการไว้ตั้งแต่แรก..เวลานี้ผู้ที่เป็นเสาหลักในการจัดการภารกิจต่างๆในตระกูลหลิง ก็คือหลิงเย่วลุงสองของเจ้า ตั้งแต่สิ้นสุดการประลอง เขาก็วุ่นวายอยู่กับการจัดการเรื่องราวต่างๆ และดูเหมือนว่าเรื่องของหลิงเจิ้นจะไม่มีผลกระทบต่อจิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย..”
“ส่วนผู้หญิงภายในบ้านตระกูลเฉินกับตระกูลซันนั้นทุกคนก็ได้เดินทางออกจากปักกิ่งทั้งหมดแล้ว หากข้าคาดการไม่ผิด.. ผู้หญิงพวกนั้นคงจะแยกย้ายกันกลับไปบ้านเดิมของตนเอง..”
“และตามข้อตกลงของหนังสือท้าประลอง..ตระกูลหลิงจะได้เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน และธุรกิจต่างๆทั้งหมดของตระกูลซันกับตระกูลเฉิน ส่วนเรื่องการโอนทรัพย์สินและกิจการนั้น ข้าเองก็ยังไม่ได้รับข่าวเรื่องนี้..”
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้ใดก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ในเวลานี้ก็คือ..ตระกูลหลิงของเจ้าได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้งอย่างแท้จริงแล้ว! ต่อให้ตระกูลหลงกับตระกูลเย่จะแอบขัดขวางอย่างลับๆ ก็คงทำได้ยากนัก!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเพราะเข้าใจความหมายในคำพูดของเย่ซิงเฉินดี!
การต่อสู้บนโลกใบนี้ไม่มีวัตถุประสงค์อะไรมากไปกว่าการให้ได้มาซึ่งเงินทองอำนาจ และชื่อเสียง ผู้ชนะย่อมได้ครอบครองสิ่งเหล่านี้.. หลังจากที่ตระกูลซันกับตระกูลเฉินล่มสลาย..ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่ทั้งสองตระกูลครอบครองอยู่นั้น นอกเหนือจากที่ทั้งสองตระกูลแอบโอนออกไปอย่างลับๆแล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่ก็จะต้องตกเป็นของตระกูลหลิงทั้งหมด..
แต่จะว่าไปแล้ว..ทรัพย์สินและธุรกิจเหล่านั้น ก็ล้วนแล้วแต่เคยเป็นของตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนแทบทั้งสิ้น!
แม้เงินทองจะเป็นปัจจัยสำคัญแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คืออำนาจ!
เวลานี้..ตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้ล่มสลายอย่างแท้จริงแล้ว และนั่นได้นำไปสู่สุญญากาศของอำนาจเบื้องบนในประเทศนี้ และสุญญากาศทางอำนาจนี้ก็ต้องการผู้ที่จะมาเติมเต็ม
อำนาจกับเงินทองป็นคนละเรื่องกัน..เงินทองอาจจะสามารถแย่งชิงกันได้ในเวลาสั้นๆ แต่การแย่งชิงอำนาจนั้นใช่ว่าจะสามารถทำได้ภายในเวลาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ตรงกันข้าม..การแย่งชิงอำนาจจะต้องรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้เสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงแรงสั่นสะเทือนที่จะมีมากกว่านี้
แม้กระทั่งเงินทองและทรัพย์สินของตระกูลซันกับตระกูลเฉินเองก็เช่นกัน ด้วยจำนวนทรัพย์สินที่มหาศาลของทั้งสองตระกูล ใช่ว่าจะสามารถจัดการทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายสี่ห้าวันได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสี่ห้าเดือน หรือหนึ่งปีเลยทีเดียว..
ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา..แต่เรื่องใดๆ ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการที่ตระกูลหลิงได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง!
ครั้งนี้ดูเหมือนตระกูลหลงกับตระกูลเย่จะไม่ยื่นมือเข้ามาขอส่วนแบ่งแต่หากสองตระกูลใหญ่ทำเช่นนั้นจริง หลิงหยุนย่อมไม่ทางยินยอมเป็นแน่ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสองตระกูลใหญ่..
“ข้ารู้มาเพียงแค่ว่าตั้งแต่กลับไปท่านปู่หลิงกับท่านลุงหลิงก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง แต่ก็ยังไม่ได้รับรายงานอะไรที่มากไปกว่านี้..” “แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะลุงสองของเจ้าก็สามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยดี ข้าว่าพวกเขาทั้งคู่คงต้องการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เพื่อรักษาเยียวยาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น..”
“เรื่องนี้คงต้องรอเจ้ากลับไปจัดการด้วยตัวเอง..”
“อืมม..”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับตอบไปว่า“คงต้องเป็นเช่นนั้น!”
“หลิงหยุน..ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าอีกครั้ง เวลานี้ตระกูลหลิงจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งแล้ว และจะเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของประเทศนี้ “
“จากนี้ไป..ตระกูลหลิงจะไปในทิศทางใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
เย่ซิงเฉินเอ่ยแสดงความยินดีกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม..
“ขอบใจเจ้ามาก!นี่คือสิ่งที่ข้ารอคอย..”
….. หลังจากที่หลิงหยุนทำลายตระกูลซันกับตระกูลเฉินจนสิ้นชื่อไปแล้วถึงเวลาที่เขาจะต้องสร้างตระกูลหลิงให้เป็นตระกูลที่มั่นคงแข็งแกร่งอย่างแท้จริง และเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มทำก่อนเรื่องใด..
เพราะเวลานี้เขาได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้วและเมื่อใดก็ตามที่เข้าสู่ระดับกลางขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) หลิงหยุนก็จะสามารถใช้กระบี่เหินของตนเองเหาะเหินเดินอากาศได้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะได้ท่องไปในท้องนภาเล่นได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ
แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น..ยังมีเรื่องที่หลิงหยุนจะต้องสะสางจัดการอีกมากมาย และเขาจำเป็นต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนจนเต็มอิ่มเวลานี้จิตใจของหลิงหยุนจึงค่อนข้างแจ่มใส และความคิดก็ปลอดโปร่ง เรื่องหนึ่งจึงผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที..
“ซิงเฉิน..” “ก่อนวันประลอง..ตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้ทำการฝังระเบิดมากมายไว้ใต้พื้นดิน หากไม่ใช่เพราะแวมไพร์ทั้งห้าตนของข้าจัดการสังหารคนจุดชนวนระเบิดตาย ป่านนี้หุบเขาทั้งหุบเขาคงจะต้องถูกแรงระเบิดถล่มราบไปแล้ว..”
เย่ซิงเฉินได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจไม่น้อยก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ตระกูลซันกับตระกูลเฉินยอมทำทุกวิถีทางที่จะสังหารเจ้าให้ได้จริงๆสินะ!”
“หลิงหยุน..นับว่าเจ้าโชคดีมาก! เฉินจิ้งเฉวียนมันคงรู้ตัวว่ามันเองไม่อาจสังหารเจ้าได้ มันจึงเลือกที่จะใช้วิธีระเบิดร่างของเจ้าแทน ด้วยแรงระเบิดจำนวนมหาศาลเช่นนั้น มันต้องมั่นใจว่าต่อให้มันตายไป เจ้าเองก็คงยากที่จะรอดชีวิตออกมาได้เช่นกัน!”
หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง.. เพราะหากเกิดระเบิดขึ้นจริงๆ ข้าคงไม่ได้มานั่งอยู่กับเจ้าตอนนี้!” หลังจากที่ความทรงจำตลอดสิบแปดปีของหลิงหยุนได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเขาผ่านความฝันในคืนนั้น ทำให้หลิงหยุนมีความรู้ และเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกใบนี้ได้มากขึ้น ในคืนนั้นเขาจึงได้รู้ว่าหากชนวนระเบิดถูกจุดขึ้นเมื่อใด ก็จะมีแรงระเบิดที่รุนแรงมหาศาลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างช้าๆ“ไม่แน่ว่า.. พวกมันทั้งสองตระกูลอาจจะมั่นใจว่าต้องเป็นฝ่ายชนะข้าก็เป็นได้! ส่วนระเบิดพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่การเตรียมการอย่างรอบคอบของพวกมันเท่านั้น..”
“แต่จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษที่เฉินจิ้งเฉวียนประมาทข้าจนเกินไปมันคงคิดไม่ถึงว่าข้าจะมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ และคิดไม่ถึงว่าข้าจะมีไพ่ในมืออีกมากมาย..”
เย่ซิงเฉินตอบกลับยิ้มๆ“ไพ่ในมือของเจ้ามีมากมายถึงเพียงนั้น อย่าว่าแต่เฉินจิ้งเฉวียนเลย แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้..”
อย่าว่าแต่เย่ซิงเฉินไม่รู้แม้แต่หลงฮ่าวหลานกับเย่ชิงซินที่เฝ้าดูการต่อสู้ของหลิงหยุนมาโดยตลอดนั้น ก็ยังไม่ได้เห็นไพ่ที่อยู่ในมือทั้งหมดของเขาเช่นกัน!
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร..
เย่ซิงเฉินจึงพูดขึ้นว่า“เจ้าวางใจได้.. เรื่องระเบิดพวกนั้นข้าจะสั่งให้คนไปจัดการขุดออกมาให้หมด..!”
“ขอบใจเจ้ามาก!”