หลังจากร้องตะโกนสั่ง..หลิงหยุนก็แสยะยิ้ม และหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที!
“ลุกขึ้นเร็วเข้า..ลุกขึ้น..”
หลังจากได้ฟังคำขู่ของหลิงหยุนทุกคนต่างก็พากันลุกขึ้นด้วยความตกใจ และรีบพากันวิ่งหนีไปที่รถของตนเองทันที
หลิงหยุนประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าตระกูลหลิงจะไม่ข่มเหงรังแกเพียงแค่นี้ก็นับว่าตระกูลหลิงเมตตามากแล้ว พวกเขายังจะกล้าหวังอะไรมากไปกว่านี้อีกรึ
ส่วนหานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิงที่ใส่เฝือกอยู่นั้นก็ได้แต่ค่อยๆ คืบคลานไปตามถนนอย่างทุลักทุเล แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ยังสามารถคลานหนีไปได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ..
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
ทุกคนในตระกูลหลิงเห็นท่าทางทุกลักทุเลของทั้งสองคนก็พากันหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความขบขัน..
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับทุกคนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เข้าบ้านกันดีกว่า.. ปัญหาจบแล้ว!”
“ท่านปู่..ท่านพ่อ.. เข้าไปคุยกันในบ้านเถิด!”
จากนั้นหลิงหยุนหลิงลี่ หลิงเสี่ยว ก็เดินนำทุกคนเข้าไปในบ้านทันที หลังจากนั้นทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายไปที่ห้องของตนเอง ส่วนหลิงหยุนก็เดินโอบเอวเกาเฉินเฉินเข้าไปในบ้านของตัวเอง..
หลิงหยุนรู้ดีว่าเรื่องของหลิงเจิ้นนั้นใช่ว่าจะจัดการได้ในทันที คงต้องอาศัยเวลาสักพัก..
หลังจากกลับเข้าไปในบ้านแล้วเกาเฉินเฉินก็ช่วยหลิงหยุนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และเมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ เธอจึงไม่ได้เข้าไปวุ่นวาย และปล่อยให้หลิงหยุนได้อยู่ตามลำพัง
–เหล่ากุ่ย..ท่านมาพบข้าที่นี่หน่อย!– และทันทีที่เหล่ากุ่ยก้าวเท้าเข้ามาหลิงหยุนก็รีบพูดธุระของตนทันที “เหล่ากุ่ย.. ท่านคงจะจำเรื่องที่ข้าต้องการก่อตั้งหน่วยข่าวกรองตระกูลหลิงได้สินะ..”
“จากนี้ไปตัวเท่านเองหลิงอี๋ และหลิงชี ต้องฟังคำสั่งของเย่ซิงเฉิน ข้ามอบหมายให้นางจัดการเรื่องนี้ให้ เดี๋ยวท่านไปจัดการคุยเรื่องนี้กับนางได้เลย..”
“ขอรับท่านผู้นำตระกูล!”เหล่ากุ่ยรับคำสั่งทันที
หลังจากที่เหล่ากุ่ยออกไปแล้วหลิงหยุนจึงหันไปบอกกับเกาเฉินเฉินว่า “เฉินเฉิน.. ผมจะไปพบลุงสองก่อน!”
แน่นอนว่าหากหลิงหยุนต้องการที่จะจัดการแก้ปัญหาภายในตระกูลหลิงคงจะไม่มีใครที่จะให้คำปรึกษาได้ดีไปกว่ามันสมองตระกูลหลิงอย่างหลิงเย่วอีกแล้ว!
….
ภายในบ้านของหลิงเย่วเวลานี้มีกลิ่นชาหอมหวลอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน..
ราวกับรู้ว่าหลิงหยุนจะต้องมาพบตน..หลิงเย่วจึงได้จัดการชงชาชั้นเลิศไว้รอต้อนรับหลิงหยุนอยู่ที่ห้องรับแขกภายในบ้าน
บนโต๊ะชานั้น..มีซองชาสีเหลืองซึ่งภายในบรรจุใบชาสีเขียวแก่ที่มีกลิ่นหอมหวาน และดอกกล้วยไม้ที่กำลังบานส่งกลิ่นหอมจางๆ ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องรับแขกนั้นผ่อนคลายขึ้นมาก..
หลังจากที่หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาเขาก็ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นสูดดม ก่อนจะค่อยๆจิบจนหมด และวางถ้วยชาลงที่เดิม
“นับเป็นชาชั้นเลิศทีเดียว!”
“นี่เป็นชาต้าหงเผาที่ดีที่สุดของเขาเทียนซินลุงสองของเจ้าเก็บมานานถึงสิบสองปีเชียวนะ! วันนี้พวกเราลุงหลานจะได้ลิ้มรสชาดชาชั้นเลิศนี้ด้วยกัน!”
หลิงเย่วเห็นหลิงหยุนจิบชาในถ้วยไปแล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม.. หลังจากที่ลุงและหลานชายนั่งคุยกันเรื่องชาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดหลิงเย่วก็เป็นฝ่ายพูดตรงเข้าเรื่องที่อยากรู้ทันที..
“หลิงหยุน..แม้เอ็ดเวิร์ดกับเจสเตอร์จะเล่าเรื่องการประลองให้ข้าฟังอยู่บ้าง แต่พวกมันดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องราวของวรยุทธมากนัก เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกครั้งจะได้หรือไม่”
หลิงหยุนพยักหน้าและได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในสนามประลองให้หลิงเย่วฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง หลิงเย่วฟังแล้วก็ได้แต่ตกใจ และตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับร้องอุทานออกมาไม่หยุด..
“ตื่นเต้น..น่าตื่นเต้นมากจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าตระกูลซันกับตระกูลเฉินจะกล้าทำถึงเพียงนี้!”
หลิงเย่วพูดขึ้นด้วยความรู้สึกทั้งหวาดกลัวตกใจ และโล่งใจ..
“หึ..หลังจากที่รู้ความจริงแล้วว่าตระกูลหลงกับตระกูลเย่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด และเป็นผู้ใส่ไฟเช่นนี้ ก็ยากที่ข้าจะอยู่ร่วมโลกกับพวกมันได้อย่างสันติ!”
หลังจากเล่าเรื่องทุกอย่างจนจบหลิงหยุนก็พูดตรงเข้าเรื่องสำคัญของตนทันที แต่หากตระกูลหลิงต้องการจะจัดการกับสองตระกูลใหญ่ในเวลานี้ ก็คงต้องเผชิญกับการสูญเสียอีกครั้งแน่..
หลิงเย่วซึ่งกำลังรินชาให้หลิงหยุนอยู่ถึงกับชะงักขึ้นมาทันทีเมื่อหลิงหยุนเป็นฝ่ายพูดเรื่องราวในอดีตขึ้นมาเช่นนี้ หลิงเย่วถือกาน้ำชาค้างไว้ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา และค่อยๆ รินชาลงในถ้วยต่อไป..
“หลิงหยุน..ขอบอกกับเจ้าตามตรง”
“ความจริงเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นทั้งข้า ท่านพ่อ และน้องสามต่างก็คาดเดาไว้ในใจเช่นกันว่า ผู้ที่ทำร้ายพ่อของเจ้าและตระกูลหลิงก็คือหลิงเจิ้น!”
หลิงเย่วเปิดใจพูดกับหลิงหยุนอย่างเปิดตรงไปตรงมา.. หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ลุงสอง.. ขอบคุณที่เปิดอกคุยกับข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ความจริงข้าเองก็คาดเดาไว้เช่นนี้ตั้งแต่ต้นเช่นกัน!”
“เฮ้อ..ข้าเองก็คิดอยู่แล้วว่าคงจะปกปิดเรื่องนี้กับเจ้าได้ไม่นาน!”
หลิงเย่วถอนหายใจและพูดต่อว่า“ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เจ้ากลับเข้าตระกูลหลิงคราแรก.. ข้าเองก็สังเกตเห็นท่าทีของเจ้าที่มีต่อลุงใหญ่เช่นกัน จะโกรธก็ไม่ใช่ แต่จะเย็นชาก็ไม่เชิงนัก อีกทั้งเจ้ายังดูระแวดระวังลุงใหญ่มากกว่าใครๆ ทำให้ข้าอดที่จะรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ได้!”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงเย่วก็ถึงกับตกตะลึงไม่น้อยและได้แต่แอบคิดในใจว่าไม่เสียแรงที่หลิงเย่วได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมันสมองของตระกูลหลิง เพราะนอกจากจะเฉลียวฉลาดแล้ว สายตาของเขายังแหลมคม สามารถจับความผิดปกติของสีหน้าท่าทางและอารมณ์ของผู้อื่นได้อย่างละเอียดอีกด้วย..
หลิงหยุนอธิบายให้หลิงเย่วฟังต่อว่าเพราะเหตุใดตนจึงสงสัยหลิงเจิ้นตั้งแต่แรก..
“ประการแรก..หลิงห่าวเป็นลูกในไส้ของหลิงเจิ้น ดั่งคำโบราณว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ.. การที่หลิงห่าวกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นกับ มีหรือที่หลิงเจิ้นผู้เป็นพ่อจะไม่ล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย..”
“ประการที่สอง..ท่านลุงสองเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจิตหยั่งรู้ของข้านั้นทรงพลังมากเพียงใด เช่นนั้นแล้ว.. ผู้คนรอบตัวข้าจะแสดงสีหน้าเช่นใดนั้น ข้าย่อมเห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน..”
หลิงหยุนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า..กลับมาตระกูลหลิงครั้งนี้ เขาจะต้องจัดการกับผู้ที่ทำให้สมาชิกตระกูลหลิงทั้งสามรุ่นต้องประสบกับหายนะใหญ่หลวงมานานหลายปี และคนผู้นั้นก็คือหลิงเจิ้น!
ไม่ว่าอย่างไรหลิงหยุนก็จะต้องสังหารหลิงเจิ้นให้ได้เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับสมาชิกตระกูลหลิงทั้งสามรุ่น ซึ่งต้องทนอยู่อย่างเจ็บปวด และอัปยศอดสูมานานถึงสิบแปดปี รวมถึงคนตระกูลหลิงที่ถูกสังหารตายไปในครั้งนั้น..
แต่สิ่งที่หลิงหยุนต้องทำในเวลานี้ก็คือ..การทำให้ทุกคนในตระกูลหลิงเห็นพ้องต้องกับตนเสียก่อน ที่เหลือก็คือการตามหาหลิงเจิ้นให้พบ และลงมือสังหารในทันที!
หลิงหยุนเชื่อว่า..หลังจากที่หลิงเจิ้นตาย ความเจ็บปวดในใจของหลิงลี่ในฐานะพ่อที่ต้องสูญเสียลูกชาย ความเจ็บปวดในใจของหลิงเสี่ยวในฐานะน้องที่ต้องสูญเสียพี่ชาย และความเจ็บปวดของหลิงหย่งในฐานะลูกที่ต้องสูญเสียพ่อนั้น เมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดเหล่านั้นจะค่อยๆเบาบาง และทุเลาลงไปเอง เพราะเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างได้..
“ลุงสอง..ท่านตอบข้าที..”
“ข้าจะอาศัยอยู่บ้านเดียวกับผู้ที่ทำร้ายพ่อของข้าและคนตระกูลหลิงทั้งสามรุ่น อีกทั้งยังเป็นคนที่จ้องจะเอาชีวิตข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่าหลิงเจิ้นพร้อมที่จะแทงข้างหลังข้าเมื่อไหร่?”
หลิงเย่วพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อืมม.. เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี และข้าเองก็รู้ว่าเจ้าระแวงเขาตั้งแต่ครั้งนั้น ข้าเองก็คิดมาตลอดว่าเรื่องของหลิงเจิ้นนั้น ช้าเร็วก็คงต้องถูกเปิดเผยออกมาจนได้..”
“เฮ้อ..เพียงแต่น้องสามของข้านั้น แม้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่หาได้ยากยิ่งนัก แต่เพราะจิตใจที่ดีของเขาตั้งแต่เด็ก จึงได้ยอมที่จะอดทนกล้ำกลืนต่อความทุกข์ใจไว้เพียงคนเดียวเช่นนี้ และคิดที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ตายไปพร้อมกับตัวเอง”
“แต่วันเวลากลับเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้เอง..แม้จะไม่มีการสอบสวนเรื่องนี้กันในตระกูล แต่ในที่สุดกลับเป็นคนนอกที่เปิดเผยเรื่องนี้กับเจ้า!”
หลังจากพูดมายืดยาวในที่สุดหลิงเย่วก็หยุดพูด และเริ่มยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พร้อมกับสังเกตดูท่าที และปฏิกิริยาของหลิงหยุน แต่กลับเห็นว่าหลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มไม่พูดอะไร หลิงเย่วจึงพูดต่อว่าง..
“หลิงหยุน..เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ตำหนิท่านปู่กับท่านพ่อของเจ้าเลยนะ!”
“ตระกูลหลิงของเราถูกปลูกฝังให้พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันจึงไม่แปลกที่พ่อของเจ้าจะตัดสินใจทำเช่นนั้น ในขณะที่ท่านปู่ของเจ้าเองแม้ต้องการจะถามหลิงเจิ้น แต่ด้วยความรักลูก.. เขาจึงเลือกที่จะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ และผ่านเลยมาจนถึงตอนนี้..”
“อีกทั้งโศกนาฏกรรมเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นก็เปรียบเสมือนหนานแหลมที่คอยทิ่มแทงจิตใจของคนตระกูลหลิงทุกคน หากไม่จำเป็น.. ก็ไม่มีผู้ใดอยากจะรื้อฟื้น หรือเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”
“แม้แต่พ่อของเจ้าเองก็คิดเช่นนั้น..”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงเจิ้นจึงรีบตอบไปว่า “ลุงสอง.. เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลใจไป ผู้ที่ทำลายตระกูลหลิงคือหลิงเจิ้น ข้าจะตำหนิท่านปู่กับท่านพ่อได้อย่างไรกัน” หลิงเย่วพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าคิดได้เช่นนี้ข้าเองก็โล่งใจ..”
จากนั้นหลิงเย่วก็เล่าต่อว่า“ในคืนที่กลับจากถล่มตระกูลซันกับตระกูลเฉินนั้น.. หลังจากที่ท่านปู่ของเจ้ากลับมา ก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องบรรพชนตามลำพังถึงสามวันสามคืน ไม่แตะต้องแม้กระทั่งข้าวและน้ำ..”
“แต่หลังจากนั้น..ท่านปู่ของเจ้าก็ได้เรียกสมาชิกตระกูลหลิงทุกคนให้ไปรวมกันที่ห้องบรรพชน จากนั้นจึงประกาศกับทุกคนต่อหน้าบรรพชนว่า.. หลิงเจิ้นได้ถูกลบชื่อออกจากตระกูลหลิงแล้ว และห้ามหลิงเจิ้นใช้แซ่หลิงอีก!”
“และที่สำคัญ..ในวันข้างหน้าหากคนตระกูลหลิงคนใดพบกับหลิงเจิ้น ให้ลงมือสังหารเขาได้ทันที!”
“…..”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปและพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เขาคิดไม่ถึงว่าหลิงลี่จะตัดสินใจทำเช่นนี้.. “และนับจากคืนนั้นมา..เหล่านักรบตระกูลหลิงก็เริ่มออกสืบหาร่องรอยของหลิงเจิ้น เพื่อจะได้รู้ว่าหลิงเจิ้นไปหลบอยู่ที่ใดกันแน่”
“ท่านปู่ของเจ้ายังบอกอีกว่า..เมื่อใดก็ตามที่เจ้ากลับมา เขาจะอนุญาตให้เจ้าไปตามหาหลิงเจิ้น และสังหารได้ทันทีที่พบ..”
“……”
หลิงหยุนนิ่งไปเนิ่นนานในที่สุดจึงเอ่ยปาถามขึ้นว่า “แล้วพี่หลิงหย่งเล่า”
“แม้แต่พ่อของเจ้ายังยากที่แบกรับเรื่องนี้ได้มีหรือที่หลิงหย่งจะสามารถทำใจยอมรับได้ง่ายๆ”
“หลิงหย่งกับท่านปู่ของเจ้านั้นมีนิสัยใจคอที่คล้ายกันเป็นคนโทสะแรง แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมา.. และที่สำคัญรักในความถูกต้อง!”
“เพียงแต่..เขาเพิ่งจะสูญเสียหลิงห่าวซึ่งเป็นพี่ชายไป เวลานี้ก็มารับรู้เรื่องของหลิงเจิ้นผู้เป็นพ่อเช่นนี้ มีหรือที่จิตใจของหลิงหย่งจะรับไหว คงต้องให้เวลาเขายอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกสักพักใหญ่ และให้เวลาค่อยๆเยียวยาความทุกข์สาหัสในใจ..”
หลิงเย่วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่หลิงหยุนไม่อยู่ให้เขาฟังอย่างละเอียดและเป็นเรื่องของคนที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งสามคนคือหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และหลิงหย่ง..
หลิงลี่ในฐานะอดีตผู้นำตระกูลหลิงและในฐานะที่อาวุโสที่สุดในตระกูล ได้ตัดสินใจที่จะลงโทษผู้ที่ทำผิดต่อตระกูล..
ในขณะที่หลิงเสี่ยวซึ่งไม่ได้มีฐานะสำคัญในตระกูลจึงได้แต่นิ่งเงียบ..
ส่วนหลิงหย่งนั้นแม้จะแสดงออกว่ายอมรับการตัดสินใจของหลิงลี่แต่ความทุกข์แสนสาหัสในจิตใจนั้น ก็ยากนักที่เขาจะทนแบกรับไว้เพียงลำพังเช่นนี้.
ส่วนหลิงเย่วนั้น..แม้แต่หลิงหยุนก็ดูไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกเช่นใดกันแน่ เพราะหลิงเย่นั้น ตลอดระยะที่พูดคุยกับตนก็มีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้น!
“แต่จะว่าไป..เรื่องของหลิงเจิ้นยังไม่สำคัญเท่าการนำพาตระกูลหลิงให้กับมารุ่งเรืองอีกครั้ง..”
“หากพวกเราตระกูลหลิงทั้งสามรุ่นไม่สามารถทำให้ตระกูลหลิงกับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง บรรพชนตระกูลหลิงที่ตายไป คงต้องเสียใจเป็นแน่!”
หลิงเย่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ถ้วยชาในมือของเขานั้นกลับถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด..
“หลิงหยุน..การที่เจ้าสามารถเอาชนะการประลองด้วยตัวคนเดียว จนสามารถนำพาตระกูลหลิงของเราขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสามได้เช่นนี้ เจ้าเปรียบเสมือนวีรบุรุษของตระกูลหลิงเลยทีเดียว!”
“จากนี้ไปในวันข้างหน้า..ไม่ว่าเจ้าจะคิดอ่านที่จะทำอะไร ก็ไม่ต้องกังวลใจอีกแล้ว พวกเราทุกคนในตระกูลพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนเจ้า!” “เพราะต่อไปในภายภาคหน้า..ภาระบนบ่าของเจ้าก็จะยิ่งหนักอึ้งมากขึ้น..”
หลิงเย่วบอกกับหลิงหยุนด้วยสีหน้าสงบนิ่งเช่นเคย..
“ลุกขึ้นเร็วเข้า..ลุกขึ้น..”
หลังจากได้ฟังคำขู่ของหลิงหยุนทุกคนต่างก็พากันลุกขึ้นด้วยความตกใจ และรีบพากันวิ่งหนีไปที่รถของตนเองทันที
หลิงหยุนประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าตระกูลหลิงจะไม่ข่มเหงรังแกเพียงแค่นี้ก็นับว่าตระกูลหลิงเมตตามากแล้ว พวกเขายังจะกล้าหวังอะไรมากไปกว่านี้อีกรึ
ส่วนหานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิงที่ใส่เฝือกอยู่นั้นก็ได้แต่ค่อยๆ คืบคลานไปตามถนนอย่างทุลักทุเล แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ยังสามารถคลานหนีไปได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ..
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
ทุกคนในตระกูลหลิงเห็นท่าทางทุกลักทุเลของทั้งสองคนก็พากันหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความขบขัน..
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับทุกคนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เข้าบ้านกันดีกว่า.. ปัญหาจบแล้ว!”
“ท่านปู่..ท่านพ่อ.. เข้าไปคุยกันในบ้านเถิด!”
จากนั้นหลิงหยุนหลิงลี่ หลิงเสี่ยว ก็เดินนำทุกคนเข้าไปในบ้านทันที หลังจากนั้นทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายไปที่ห้องของตนเอง ส่วนหลิงหยุนก็เดินโอบเอวเกาเฉินเฉินเข้าไปในบ้านของตัวเอง..
หลิงหยุนรู้ดีว่าเรื่องของหลิงเจิ้นนั้นใช่ว่าจะจัดการได้ในทันที คงต้องอาศัยเวลาสักพัก..
หลังจากกลับเข้าไปในบ้านแล้วเกาเฉินเฉินก็ช่วยหลิงหยุนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และเมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ เธอจึงไม่ได้เข้าไปวุ่นวาย และปล่อยให้หลิงหยุนได้อยู่ตามลำพัง
–เหล่ากุ่ย..ท่านมาพบข้าที่นี่หน่อย!– และทันทีที่เหล่ากุ่ยก้าวเท้าเข้ามาหลิงหยุนก็รีบพูดธุระของตนทันที “เหล่ากุ่ย.. ท่านคงจะจำเรื่องที่ข้าต้องการก่อตั้งหน่วยข่าวกรองตระกูลหลิงได้สินะ..”
“จากนี้ไปตัวเท่านเองหลิงอี๋ และหลิงชี ต้องฟังคำสั่งของเย่ซิงเฉิน ข้ามอบหมายให้นางจัดการเรื่องนี้ให้ เดี๋ยวท่านไปจัดการคุยเรื่องนี้กับนางได้เลย..”
“ขอรับท่านผู้นำตระกูล!”เหล่ากุ่ยรับคำสั่งทันที
หลังจากที่เหล่ากุ่ยออกไปแล้วหลิงหยุนจึงหันไปบอกกับเกาเฉินเฉินว่า “เฉินเฉิน.. ผมจะไปพบลุงสองก่อน!”
แน่นอนว่าหากหลิงหยุนต้องการที่จะจัดการแก้ปัญหาภายในตระกูลหลิงคงจะไม่มีใครที่จะให้คำปรึกษาได้ดีไปกว่ามันสมองตระกูลหลิงอย่างหลิงเย่วอีกแล้ว!
….
ภายในบ้านของหลิงเย่วเวลานี้มีกลิ่นชาหอมหวลอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน..
ราวกับรู้ว่าหลิงหยุนจะต้องมาพบตน..หลิงเย่วจึงได้จัดการชงชาชั้นเลิศไว้รอต้อนรับหลิงหยุนอยู่ที่ห้องรับแขกภายในบ้าน
บนโต๊ะชานั้น..มีซองชาสีเหลืองซึ่งภายในบรรจุใบชาสีเขียวแก่ที่มีกลิ่นหอมหวาน และดอกกล้วยไม้ที่กำลังบานส่งกลิ่นหอมจางๆ ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องรับแขกนั้นผ่อนคลายขึ้นมาก..
หลังจากที่หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาเขาก็ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นสูดดม ก่อนจะค่อยๆจิบจนหมด และวางถ้วยชาลงที่เดิม
“นับเป็นชาชั้นเลิศทีเดียว!”
“นี่เป็นชาต้าหงเผาที่ดีที่สุดของเขาเทียนซินลุงสองของเจ้าเก็บมานานถึงสิบสองปีเชียวนะ! วันนี้พวกเราลุงหลานจะได้ลิ้มรสชาดชาชั้นเลิศนี้ด้วยกัน!”
หลิงเย่วเห็นหลิงหยุนจิบชาในถ้วยไปแล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม.. หลังจากที่ลุงและหลานชายนั่งคุยกันเรื่องชาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดหลิงเย่วก็เป็นฝ่ายพูดตรงเข้าเรื่องที่อยากรู้ทันที..
“หลิงหยุน..แม้เอ็ดเวิร์ดกับเจสเตอร์จะเล่าเรื่องการประลองให้ข้าฟังอยู่บ้าง แต่พวกมันดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องราวของวรยุทธมากนัก เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกครั้งจะได้หรือไม่”
หลิงหยุนพยักหน้าและได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในสนามประลองให้หลิงเย่วฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง หลิงเย่วฟังแล้วก็ได้แต่ตกใจ และตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับร้องอุทานออกมาไม่หยุด..
“ตื่นเต้น..น่าตื่นเต้นมากจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าตระกูลซันกับตระกูลเฉินจะกล้าทำถึงเพียงนี้!”
หลิงเย่วพูดขึ้นด้วยความรู้สึกทั้งหวาดกลัวตกใจ และโล่งใจ..
“หึ..หลังจากที่รู้ความจริงแล้วว่าตระกูลหลงกับตระกูลเย่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด และเป็นผู้ใส่ไฟเช่นนี้ ก็ยากที่ข้าจะอยู่ร่วมโลกกับพวกมันได้อย่างสันติ!”
หลังจากเล่าเรื่องทุกอย่างจนจบหลิงหยุนก็พูดตรงเข้าเรื่องสำคัญของตนทันที แต่หากตระกูลหลิงต้องการจะจัดการกับสองตระกูลใหญ่ในเวลานี้ ก็คงต้องเผชิญกับการสูญเสียอีกครั้งแน่..
หลิงเย่วซึ่งกำลังรินชาให้หลิงหยุนอยู่ถึงกับชะงักขึ้นมาทันทีเมื่อหลิงหยุนเป็นฝ่ายพูดเรื่องราวในอดีตขึ้นมาเช่นนี้ หลิงเย่วถือกาน้ำชาค้างไว้ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา และค่อยๆ รินชาลงในถ้วยต่อไป..
“หลิงหยุน..ขอบอกกับเจ้าตามตรง”
“ความจริงเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นทั้งข้า ท่านพ่อ และน้องสามต่างก็คาดเดาไว้ในใจเช่นกันว่า ผู้ที่ทำร้ายพ่อของเจ้าและตระกูลหลิงก็คือหลิงเจิ้น!”
หลิงเย่วเปิดใจพูดกับหลิงหยุนอย่างเปิดตรงไปตรงมา.. หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ลุงสอง.. ขอบคุณที่เปิดอกคุยกับข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ความจริงข้าเองก็คาดเดาไว้เช่นนี้ตั้งแต่ต้นเช่นกัน!”
“เฮ้อ..ข้าเองก็คิดอยู่แล้วว่าคงจะปกปิดเรื่องนี้กับเจ้าได้ไม่นาน!”
หลิงเย่วถอนหายใจและพูดต่อว่า“ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เจ้ากลับเข้าตระกูลหลิงคราแรก.. ข้าเองก็สังเกตเห็นท่าทีของเจ้าที่มีต่อลุงใหญ่เช่นกัน จะโกรธก็ไม่ใช่ แต่จะเย็นชาก็ไม่เชิงนัก อีกทั้งเจ้ายังดูระแวดระวังลุงใหญ่มากกว่าใครๆ ทำให้ข้าอดที่จะรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ได้!”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงเย่วก็ถึงกับตกตะลึงไม่น้อยและได้แต่แอบคิดในใจว่าไม่เสียแรงที่หลิงเย่วได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมันสมองของตระกูลหลิง เพราะนอกจากจะเฉลียวฉลาดแล้ว สายตาของเขายังแหลมคม สามารถจับความผิดปกติของสีหน้าท่าทางและอารมณ์ของผู้อื่นได้อย่างละเอียดอีกด้วย..
หลิงหยุนอธิบายให้หลิงเย่วฟังต่อว่าเพราะเหตุใดตนจึงสงสัยหลิงเจิ้นตั้งแต่แรก..
“ประการแรก..หลิงห่าวเป็นลูกในไส้ของหลิงเจิ้น ดั่งคำโบราณว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ.. การที่หลิงห่าวกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นกับ มีหรือที่หลิงเจิ้นผู้เป็นพ่อจะไม่ล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย..”
“ประการที่สอง..ท่านลุงสองเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจิตหยั่งรู้ของข้านั้นทรงพลังมากเพียงใด เช่นนั้นแล้ว.. ผู้คนรอบตัวข้าจะแสดงสีหน้าเช่นใดนั้น ข้าย่อมเห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน..”
หลิงหยุนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า..กลับมาตระกูลหลิงครั้งนี้ เขาจะต้องจัดการกับผู้ที่ทำให้สมาชิกตระกูลหลิงทั้งสามรุ่นต้องประสบกับหายนะใหญ่หลวงมานานหลายปี และคนผู้นั้นก็คือหลิงเจิ้น!
ไม่ว่าอย่างไรหลิงหยุนก็จะต้องสังหารหลิงเจิ้นให้ได้เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับสมาชิกตระกูลหลิงทั้งสามรุ่น ซึ่งต้องทนอยู่อย่างเจ็บปวด และอัปยศอดสูมานานถึงสิบแปดปี รวมถึงคนตระกูลหลิงที่ถูกสังหารตายไปในครั้งนั้น..
แต่สิ่งที่หลิงหยุนต้องทำในเวลานี้ก็คือ..การทำให้ทุกคนในตระกูลหลิงเห็นพ้องต้องกับตนเสียก่อน ที่เหลือก็คือการตามหาหลิงเจิ้นให้พบ และลงมือสังหารในทันที!
หลิงหยุนเชื่อว่า..หลังจากที่หลิงเจิ้นตาย ความเจ็บปวดในใจของหลิงลี่ในฐานะพ่อที่ต้องสูญเสียลูกชาย ความเจ็บปวดในใจของหลิงเสี่ยวในฐานะน้องที่ต้องสูญเสียพี่ชาย และความเจ็บปวดของหลิงหย่งในฐานะลูกที่ต้องสูญเสียพ่อนั้น เมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดเหล่านั้นจะค่อยๆเบาบาง และทุเลาลงไปเอง เพราะเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างได้..
“ลุงสอง..ท่านตอบข้าที..”
“ข้าจะอาศัยอยู่บ้านเดียวกับผู้ที่ทำร้ายพ่อของข้าและคนตระกูลหลิงทั้งสามรุ่น อีกทั้งยังเป็นคนที่จ้องจะเอาชีวิตข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่าหลิงเจิ้นพร้อมที่จะแทงข้างหลังข้าเมื่อไหร่?”
หลิงเย่วพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อืมม.. เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี และข้าเองก็รู้ว่าเจ้าระแวงเขาตั้งแต่ครั้งนั้น ข้าเองก็คิดมาตลอดว่าเรื่องของหลิงเจิ้นนั้น ช้าเร็วก็คงต้องถูกเปิดเผยออกมาจนได้..”
“เฮ้อ..เพียงแต่น้องสามของข้านั้น แม้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่หาได้ยากยิ่งนัก แต่เพราะจิตใจที่ดีของเขาตั้งแต่เด็ก จึงได้ยอมที่จะอดทนกล้ำกลืนต่อความทุกข์ใจไว้เพียงคนเดียวเช่นนี้ และคิดที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ตายไปพร้อมกับตัวเอง”
“แต่วันเวลากลับเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้เอง..แม้จะไม่มีการสอบสวนเรื่องนี้กันในตระกูล แต่ในที่สุดกลับเป็นคนนอกที่เปิดเผยเรื่องนี้กับเจ้า!”
หลังจากพูดมายืดยาวในที่สุดหลิงเย่วก็หยุดพูด และเริ่มยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พร้อมกับสังเกตดูท่าที และปฏิกิริยาของหลิงหยุน แต่กลับเห็นว่าหลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มไม่พูดอะไร หลิงเย่วจึงพูดต่อว่าง..
“หลิงหยุน..เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ตำหนิท่านปู่กับท่านพ่อของเจ้าเลยนะ!”
“ตระกูลหลิงของเราถูกปลูกฝังให้พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันจึงไม่แปลกที่พ่อของเจ้าจะตัดสินใจทำเช่นนั้น ในขณะที่ท่านปู่ของเจ้าเองแม้ต้องการจะถามหลิงเจิ้น แต่ด้วยความรักลูก.. เขาจึงเลือกที่จะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ และผ่านเลยมาจนถึงตอนนี้..”
“อีกทั้งโศกนาฏกรรมเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นก็เปรียบเสมือนหนานแหลมที่คอยทิ่มแทงจิตใจของคนตระกูลหลิงทุกคน หากไม่จำเป็น.. ก็ไม่มีผู้ใดอยากจะรื้อฟื้น หรือเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”
“แม้แต่พ่อของเจ้าเองก็คิดเช่นนั้น..”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงเจิ้นจึงรีบตอบไปว่า “ลุงสอง.. เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลใจไป ผู้ที่ทำลายตระกูลหลิงคือหลิงเจิ้น ข้าจะตำหนิท่านปู่กับท่านพ่อได้อย่างไรกัน” หลิงเย่วพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าคิดได้เช่นนี้ข้าเองก็โล่งใจ..”
จากนั้นหลิงเย่วก็เล่าต่อว่า“ในคืนที่กลับจากถล่มตระกูลซันกับตระกูลเฉินนั้น.. หลังจากที่ท่านปู่ของเจ้ากลับมา ก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องบรรพชนตามลำพังถึงสามวันสามคืน ไม่แตะต้องแม้กระทั่งข้าวและน้ำ..”
“แต่หลังจากนั้น..ท่านปู่ของเจ้าก็ได้เรียกสมาชิกตระกูลหลิงทุกคนให้ไปรวมกันที่ห้องบรรพชน จากนั้นจึงประกาศกับทุกคนต่อหน้าบรรพชนว่า.. หลิงเจิ้นได้ถูกลบชื่อออกจากตระกูลหลิงแล้ว และห้ามหลิงเจิ้นใช้แซ่หลิงอีก!”
“และที่สำคัญ..ในวันข้างหน้าหากคนตระกูลหลิงคนใดพบกับหลิงเจิ้น ให้ลงมือสังหารเขาได้ทันที!”
“…..”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปและพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เขาคิดไม่ถึงว่าหลิงลี่จะตัดสินใจทำเช่นนี้.. “และนับจากคืนนั้นมา..เหล่านักรบตระกูลหลิงก็เริ่มออกสืบหาร่องรอยของหลิงเจิ้น เพื่อจะได้รู้ว่าหลิงเจิ้นไปหลบอยู่ที่ใดกันแน่”
“ท่านปู่ของเจ้ายังบอกอีกว่า..เมื่อใดก็ตามที่เจ้ากลับมา เขาจะอนุญาตให้เจ้าไปตามหาหลิงเจิ้น และสังหารได้ทันทีที่พบ..”
“……”
หลิงหยุนนิ่งไปเนิ่นนานในที่สุดจึงเอ่ยปาถามขึ้นว่า “แล้วพี่หลิงหย่งเล่า”
“แม้แต่พ่อของเจ้ายังยากที่แบกรับเรื่องนี้ได้มีหรือที่หลิงหย่งจะสามารถทำใจยอมรับได้ง่ายๆ”
“หลิงหย่งกับท่านปู่ของเจ้านั้นมีนิสัยใจคอที่คล้ายกันเป็นคนโทสะแรง แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมา.. และที่สำคัญรักในความถูกต้อง!”
“เพียงแต่..เขาเพิ่งจะสูญเสียหลิงห่าวซึ่งเป็นพี่ชายไป เวลานี้ก็มารับรู้เรื่องของหลิงเจิ้นผู้เป็นพ่อเช่นนี้ มีหรือที่จิตใจของหลิงหย่งจะรับไหว คงต้องให้เวลาเขายอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกสักพักใหญ่ และให้เวลาค่อยๆเยียวยาความทุกข์สาหัสในใจ..”
หลิงเย่วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่หลิงหยุนไม่อยู่ให้เขาฟังอย่างละเอียดและเป็นเรื่องของคนที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งสามคนคือหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และหลิงหย่ง..
หลิงลี่ในฐานะอดีตผู้นำตระกูลหลิงและในฐานะที่อาวุโสที่สุดในตระกูล ได้ตัดสินใจที่จะลงโทษผู้ที่ทำผิดต่อตระกูล..
ในขณะที่หลิงเสี่ยวซึ่งไม่ได้มีฐานะสำคัญในตระกูลจึงได้แต่นิ่งเงียบ..
ส่วนหลิงหย่งนั้นแม้จะแสดงออกว่ายอมรับการตัดสินใจของหลิงลี่แต่ความทุกข์แสนสาหัสในจิตใจนั้น ก็ยากนักที่เขาจะทนแบกรับไว้เพียงลำพังเช่นนี้.
ส่วนหลิงเย่วนั้น..แม้แต่หลิงหยุนก็ดูไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกเช่นใดกันแน่ เพราะหลิงเย่นั้น ตลอดระยะที่พูดคุยกับตนก็มีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้น!
“แต่จะว่าไป..เรื่องของหลิงเจิ้นยังไม่สำคัญเท่าการนำพาตระกูลหลิงให้กับมารุ่งเรืองอีกครั้ง..”
“หากพวกเราตระกูลหลิงทั้งสามรุ่นไม่สามารถทำให้ตระกูลหลิงกับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง บรรพชนตระกูลหลิงที่ตายไป คงต้องเสียใจเป็นแน่!”
หลิงเย่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ถ้วยชาในมือของเขานั้นกลับถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด..
“หลิงหยุน..การที่เจ้าสามารถเอาชนะการประลองด้วยตัวคนเดียว จนสามารถนำพาตระกูลหลิงของเราขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสามได้เช่นนี้ เจ้าเปรียบเสมือนวีรบุรุษของตระกูลหลิงเลยทีเดียว!”
“จากนี้ไปในวันข้างหน้า..ไม่ว่าเจ้าจะคิดอ่านที่จะทำอะไร ก็ไม่ต้องกังวลใจอีกแล้ว พวกเราทุกคนในตระกูลพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนเจ้า!” “เพราะต่อไปในภายภาคหน้า..ภาระบนบ่าของเจ้าก็จะยิ่งหนักอึ้งมากขึ้น..”
หลิงเย่วบอกกับหลิงหยุนด้วยสีหน้าสงบนิ่งเช่นเคย..