หลิงเย่วได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับร้องถามออกมาเสียงดัง“อะไรนะ! นี่เจ้าจะไปโรงประมูลชาวยุทธที่ตระกูลเย่จัดขึ้นงั้นรึ?!”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ใช่แล้ว!”
“นอกจากจะไปดูวิธีการและขั้นตอนต่างๆของโรงประมูลที่ตระกูลเย่จัดขึ้นแล้ว ข้ายังต้องการไปประมูลสิ่งของบางอย่างอีกด้วย อย่างเช่น.. ผ้าแพรไหมดำ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หัวเราะออกมาและพูดต่ออย่างสบายอกสบายใจ “อีกอย่าง.. รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งย่อมชนะร้อยครั้งไม่ใช่รึ!”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนหลิงเย่วก็ยิ่งมั่นใจว่าหลิงหยุนคงจะก่อตั้งโรงประมูลชาวยุทธขึ้นอย่างที่พูดเป็นแน่ และคงยากที่จะทำให้หลิงหยุนเปลี่ยนใจได้!
แววตาของหลิงเย่วเป็นประกายขึ้นมาทันทีและหลังจากที่นั่งนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดจึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า
“หลิงหยุน..เรื่องก่อตั้งโรงประมูลชาวยุทธนี้.. ดูท่าเจ้าคงจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วสินะ”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง..“ถูกต้อง!”
“ลุงสอง..ข้าขอบอกท่านลุงตามตรง การสร้างโรงประมูลชาวยุทธนี้ก็คือหนึ่งในแผนการของข้า ที่จะนำพาตระกูลหลิงให้ขึ้นมาผงาดได้อย่างมั่นคง และก็เป็นก้าวที่สำคัญอย่างมากด้วย!”
หลิงเย่วได้ฟังคำพูดหนักแน่นของหลิงหยุนจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกาศเสียงดังทันที “ดี! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแน่วแน่เช่นนี้ ข้าก็จะสนับสนุนเจ้าอย่างแต็มที่!”
และนี่คือคำมั่นสัญญาของหลิงเย่ว..
หลิงเย่วนั้นเป็นคนเฉลียวฉลาดอย่างที่หาผู้ใดเทียบได้ยากหลังจากที่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่เช่นนี้ จึงไม่ต้องการรบเร้าหลิงหยุนอีก และได้เปลี่ยนท่าทีมาเป็นการสนับสนุนแทน!
แต่ถึงกระนั้น..การที่ตระกูลหลิงจะก่อตั้งโรงประมูลชาวยุทธขึ้นมา ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องสำคัญกับตระกูลหลิงอย่างมากเลยทีเดียว!
“เพียงแต่..”
หลิงเย่วบอกกับหลิงหยุนด้วยความรู้สึกจากใจของตนจริงๆ“หลิงหยุน.. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ลุงเองก็ต้องการเวลาเตรียมการอย่างละเอียดเช่นกัน หลังจากที่ลุงพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว พวกเราค่อยปรึกษาหารือในรายละเอียดของเรื่องนี้อีกครั้ง เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
“ข้าเห็นพ้องกับข้อเสนอของท่านลุง!”หลิงหยุนตอบหลิงเย่วพร้อมกับยิ้มกว้าง..
หลิงหยุนรู้ดีว่าลุงสองของเขานั้นเป็นผู้ที่มักจะครุ่นคิด และใคร่ครวญอย่างละเอียดก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใดเสมอ หากไม่มั่นใจจริงๆ คนอย่างหลิงเย่วก็จะไม่ลงมือทำโดยเด็ดขาด!
หลังจากหาข้อยุติในเรื่องนี้ได้ทั้งลุงและหลานชายก็พูดคุยเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่จะต้องทำในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งคู่พูดคุยปรึกษากันต่ออีกร่วมหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งดื่มชาจนหมดกาแล้ว จึงได้เวลาที่หลิงหยุนจะต้องขอตัวกลับ..
“ลุงสอง..ตอนนี้พี่หลิงหย่งอยู่ที่ใด”
แต่ก่อนที่จะขอตัวกลับหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะถามถึงเรื่องของหลิงหย่ง..
เมื่อพูดถึงเรื่องหลิงหย่งขึ้นมา..สีหน้าของหลิงเย่วก็เปลี่ยนเป็นกระวนกระวาย และหนักอกหนักใจขึ้นมาทันที!
“เฮ้อ..หลายวันมานี้หลิงหย่งได้ออกไปอยู่ข้างนอก หากเจ้าอยากจะพบกับเขา ก็ให้หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยพาเจ้าไปได้!”
“หลิงหยุน..ข้าว่าพวกเราควรให้เวลาหลิงหย่งได้อยู่กับตัวเองสักระยะ ให้เขาได้มีเวลาใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆจนตกผลึก และพร้อมที่จะเปิดใจรับฟัง การที่พวกเราไปเร่งรัดหลิงหย่งคงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรนัก!”
หลิงหยุนพยักน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง“เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี!”
“เช่นนั้นแล้วข้าก็จะให้เวลาพี่หลิงหย่งอีกสักระยะแล้วค่อยหาโอกาสไปพบหน้าเขา..”
……
“เจ้าเด็กแสบ..ข้าอุตส่าห์ไปหาเจ้าที่บ้าน แต่เจ้ากลับมาอยู่ที่บ้านของท่านพ่อ!”
ทันทีที่หลิงหยุนออกมาถึงหน้าประตูบ้านของหลิงเย่วพี่สาวคนโตของเขาหลิงซิ่วก็เดินเข้ามาพอดี..
“พี่หลิงซิ่ว!”
หลิงหยุนรีบเอ่ยทักทายหลิงซิ่วพร้อมกับยิ้มให้และตอบไปว่า “ข้าเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน จึงมีเรื่องต้องคุยกับลุงสองมากมาย..”
ร่างบอบบางของหลิงซิ่วพุ่งไปยืนข้างหลิงหยุนพร้อมกับเอื้อมมือออกไปจับแขนหลิงหยุนไว้อย่างสนิทสนม และลากออกไปนอกบ้านทันที
หลิงหยุนจึงร้องถามออกมาด้วยความสงสัย“พี่หลิงซิ่ว.. นี่เจ้าจะพาข้าไปใหนกัน”
“จะไปใหนงั้นรึ!”
“ก็ไปที่ห้องของข้าน่ะสิ!ตอนนี้หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยก็กำลังรอเจ้าอยู่ที่นั่นด้วย ทุกคนกำลังรอให้เจ้าไปเล่าเหตุการณ์ในคืนวันประลองให้ฟัง!”
หลิงหยุนหมดหนทางจึงต้องตามหลิงซิ่วไปที่ห้องอย่างช่วยไม่ได้..
“โอ้โห..นี่ทุกคนมารอข้าอยู่ที่นี่กันหมดเลยงั้นรึ!”
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน..หลิงหยุนก็พบว่าทั้งหลิงเฟิง หลิงเลี่วย เกาเฉินเฉิน โม่วู๋เตา และแม้กระทั่งหลิงซวี่ ต่างก็มานั่งรอเขาอยู่ที่ห้องกันหมดแล้ว..
“ฮ่า..ฮ่า.. ทุกคน.. วีรุบุรุษของพวกเรามาแล้ว!” “มาเร็วน้องสี่..เจ้ามานั่งนี่เร็วเข้า!”
ทันทีที่เห็นหลิงหยุนเดินเข้ามาในห้องเหล่าทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงต่างก็พากันลุกขึ้นยืนต้อนรับทันที และหลิงเฟิงเป็นฝ่ายร้องตะโกนบอกหลิงหยุนเสียงดัง
และเวลานี้หลิงหยุนก็ไม่ต่างจากดวงเดือนที่กำลังถูกรายล้อมไว้ด้วยดวงดาวมากมาย..
“พี่หลิงเฟิง..เจ้าอย่าล้อข้าเช่นนี้สิ!”
หลิงหยุนเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาและยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะพูดขึ้นว่า “เอาล่ะๆ.. พวกเจ้าทุกคนนั่งลงก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดทีเดียว!”
หลิงหยุนจัดการเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทุกคนที่อยู่ในห้องฟังอย่างละเอียดโดยมีหลิงเลี่วยทำหน้าที่จดบันทึกขั้นตอน และกฏระเบียบของการประลอง..
หนุ่มสาวเหล่านี้คือทายาทตระกูลหลิงและจะต้องเป็นตัวแทนของตระกูลหลิงในวันข้างหน้า หลิงหยุนจำเป็นต้องเปิดหูเปิดตาของทุกคนให้กว้างไกล จะได้ไม่ไปทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงข้างนอก..
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตระกูลซัน..ที่ตระกูลซันต้องถึงคราวล่มสลายในครั้งนี้ก็เพราะเด็กหนุ่มเพลย์บอยอย่างซันจิ้งเพียงคนเดียว หากซันจิ้งไม่ไปหาเรื่องหลิงหยุนถึงจิงฉู จนนำไปสู่ความบาดหมางระหว่างหลิงหยุนกับตระกูลซัน ถึงขั้นที่ยากจะแก้ไขได้เช่นนี้ ตระกูลซันก็คงไม่ถูกหลิงหยุนทำลายจนสิ้นชื่อ..
“หากพวกเจ้าบังเอิญเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นเพลังเหนือธรรมชาติพวกเจ้าทุกคนสามารถถูกสังหารตายได้ง่ายๆ เพียงแค่พริบตา..”
หลังจากที่หลิงหยุนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมกับตักเตือนเหล่าทายาทตระกูลหลิงแล้วเขาก็หันไปบอกกับหลิงซิ่ว และหลิงซวี่ว่า
“ถึงเวลาที่ต้องทำการชำระล้างไขกระดูกให้พวกเจ้าสองคนแล้วข้าจะมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่านน้าจินเหยียวทำหน้าที่แทนข้า!
ก่อนการประลองนั้น..มีเพียงหลิงซิ่วกับหลิงซวี่เท่านั้นที่หลิงหยุนยังไม่ได้ทำการชำระล้างไขกระดูกให้ และเวลานี้จินเหยียวก็ได้เข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้ว นางจึงสามารถที่จะจัดการเรื่องนี้แทนหลิงหยุนได้อย่างไม่มีปัญหา
ทุกคนนั่งพูดคุยกันต่ออีกสักครู่จึงแยกย้ายกันกลับห้องของตนเอง ส่วนหลิงหยุนก็พาโม่วู๋เตากับเกาเฉินเฉินไปที่บ้านของตนเอง
…..
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาได้แล้วสินะ”
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน..โม่วู๋เตาก็พูดจาประชดประชันหลิงหยุนขึ้นมาทันที ความจริงแล้วโม่วู๋เตาเองพบหน้าหลิงหยุนตั้งแต่เช้าที่เขากลับมาแล้ว เพียงแต่หลิงหยุนเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน คงยังต้องมีภารกิจที่ต้องสะสางมากมาย โม่วู๋เตาจึงได้อดทนรอจนกระทั่งถึงตอนนี้.. “ทำไมรึ!ดูท่าเจ้าคงคิดถึงข้ามากสินะ!”
หลิงหยุนร้องถามโม่วู๋เตาออกมาด้วยความขบขัน..แต่โม่วู๋เตาตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจนัก..
“หึ..เจ้าไม่อยู่บ้านหลายวัน ข้ากลับรู้สึกสบายอกสบายใจมากกว่า!”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะๆ วันนี้ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้าทานเพื่อเป็นการไถ่โทษ”
จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกเหล้าเหมาไถออกมาจากแหวนจักรวาลสองขวดพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สำหรับเจ้ากับข้า.. ดื่มกันละขวด ไม่หมดไม่เลิก!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ทำเสียงกระซิบกระซาบอกกับโม่วู๋เตาว่า“นี่.. ข้าพาอีกากลับมาด้วยหนึ่งตัว!”
“ห๊ะ!อะไรนะ?! นี่เจ้าพาอีกากลับมาบ้านด้วยงั้นรึ?!”
โม่วู๋เตาทำสีหน้าตกใจพร้อมกับร้องตะโกนถามออกมาเสียงดัง“หลิงหยุน.. นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึ เจ้าไม่กลัวจะเกิดเรื่องอัปมงคลขึ้นภายในบ้านหรือยังไง?”
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าอย่ารีบโวยวายนัก! ฟังข้าพูดให้จบก่อน อีกานี่ไม่ใช่อีกาธรรมดาๆ..”
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้เล่าสรรพคุณของอีกาทองคำให้กับโม่วู๋เตาฟังและประโยชน์มากมายที่เขาจะได้รับจากอีกาตัวนี้ในวันข้างหน้า..
โม่วู๋เตากับหลิงหยุนนั่งดื่มเหล้าและพูดคุยกันไปจนถึงบ่ายสองครึ่ง หลิงหยุนเองก็เริ่มเมาบ้างเล็กน้อย และในระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก
และผู้ที่หลิงหยุนโทรหาคนแรกก็คือ..หนิงหลิงยู่!
“พี่ใหญ่..นั่นพี่ใหญ่ใช่มั๊ย!”
น้ำเสียงของหนิงหลิงยู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจและเมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้นของหนิงหลิงยู่ หลิงหยุนก็ถึงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เพราะตั้งแต่ที่เขามาถึงปักกิ่งจนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่เขากับหนิงหลิงยู่ได้แยกจากกัน อีกทั้งหลิงหยุนเองก็ไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กับนางนัก เพราะเขาเองก็มัวแต่ยุ่งกับภารกิจต่างๆ
“หลิงยู่..ก็ต้องเป็นพี่น่ะสิ! ถ้าไม่ใช่พี่แล้ว ใครจะกล้าใช้โทรศัพท์มือถือของพี่โทรหาเธอกันเล่า!”
หลิงหยุนพูดจาล้อเลียนหนิงหลิงยู่พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข…
“พี่ใหญ่ก็..”
จากนั้นหนิงหลิงยู่ก็เริ่มตัดพ้อ“พี่ใหญ่.. พี่สัญญาว่าจะโทรหาฉันเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยโทรหาฉันเลย!”
“…..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกเพราะเป็นเช่นที่หนิงหลิงยู่ตัดพ้อจริงๆ เขาจึงรีบอธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังทันที “หลิงยู่..ตั้งแต่มาถึงปักกิ่ง พี่เองก็มีภารกิจยุ่งมากจริงๆ โทรศัพท์มือถือกับเครื่องมือสื่อสารก็เก็บไว้แต่ในแหวนไม่ได้หยิบออกมาเลย”
หนิงหลิงยู่ทำเสียงตัดพ้อและพูดด้วยความเป็นห่วง “พี่ใหญ่.. อย่าคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่นะ! ฉันรู้ว่าพี่ทำแต่เรื่องที่เสี่ยงอันตรายทั้งนั้น ฉันเป็นห่วงพี่มากเลยรู้มั๊ย”
แม้หนิงหลิงยู่จะไม่ได้คุยกับหลิงหยุนแต่นางก็ได้คุยกับฉินตงเฉวี่ย และหลิงซิ่วอยู่เสมอๆ จึงรู้เรื่องราวทุกอย่างที่หลิงหยุนทำในปักกิ่งดี..
แต่หลิงหยุนก็รีบร้องเตือนกลับไปทันที“หลิงยู่.. เรื่องพวกนี้อย่าได้พูดทางโทรศัพท์! มีเรื่องอะไรจะถามพี่ รอเธอมาถึงปักกิ่งแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง!”
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงแล้วจะให้พี่ไปรับเธอด้วยตัวเองมั๊ย”
หนิงหลิงยู่รีบตอบกลับทันที“ไม่ต้องหรอกพี่ใหญ่! พี่เองก็มีภารกิจที่ต้องจัดการมากมาย ฉันไปปักกิ่งเองได้ ท่านปู่ได้จัดเตรียมทุกอย่างให้แล้ว!”
“ได้..แต่เธอต้องมาทางเครื่องบินเท่านั้นนะ!” หลิงหยุนย้ำด้วยความเป็นห่วง
นั่นเพราะเวลานี้หลิงหยุนได้จับตัวลูกพี่ลูกน้องของตี๋เสี่ยวเจิ้นไว้เขาจึงเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับหนิงหลิงยู่ และหากเทียบกับการเดินทางโดยวิธีอื่นแล้ว การเดินทางโดยเครื่องบินจึงนับว่าปลอดภัยกับหนิงหลิงยู่มากที่สุด!
“ได้..ฉันจะบอกกับท่านปู่!”
หนิงหลิงยู่ตอบหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ดีมาก!ได้ไฟลท์แล้วอย่าลืมบอกให้พี่รู้ด้วย พี่จะไปรับเธอที่สนามบินเอง มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันตอนที่เธอถึงปักกิ่งแล้ว!”
หลังจากวางสายจากหนิงหลิงยู่แล้วหลิงหยุนก็จัดการโทรหาถังเมิ่งต่อทันที และก็มีเสียงร้องตะโกนจากปลายสายดังขึ้นว่า.. “พี่หยุน!นี่พี่จริงๆเหรอ!” ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น!
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปทันทีเช่นกัน“ก็ฉันเองน่ะสิ!”
“โถ่พี่หยุน!ทำไมเพิ่งโทรจะโทรมาหาฉัน รู้มั๊ยว่าฉันคิดถึงพี่มากเลย.. คิดถึงจริงๆ!”
หลังจากที่มั่นใจว่าเป็นหลิงหยุนเสียงของถังเมิ่งก็สั่นขึ้นมาทันที และพูดประโยคที่ชวนให้หลิงหยุนรู้สึกขนลุกขนชัน..
“ฮ่า..ฮ่า.. คิดถึงฉัน แล้วทำไมนายไม่บินมาหาฉันล่ะ ปักกิ่งอยู่ใกล้แค่นี้เอง!” หลิงหยุนพูดจาหยอกเย้าถังเมิ่ง
“ไปหาพี่นี่นะ!”ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห
“ทุกวันนี้ฉันมีงานยุ่งทุกวันจะเอาเวลาที่ใหนบินไปหาพี่ที่ปักกิ่งกันเล่า! อีกอย่าง.. พี่เองก็คงมีงานยุ่งมากเหมือนกัน ฉันคงไม่กล้าไปรบกวนเวลาของพี่หรอก..”
จากนั้น..ถังเมิ่งก็เริ่มคร่ำครวญถึงความยากลำบากของตนเอง และไม่เปิดโอกาสให้หลิงหยุนได้พูดแทรกเลย หลิงหยุนจึงได้แต่ฟังไปยิ้มไป และที่เขาโทรหาถังเมิ่งก็เพราะจะสั่งให้ถังเมิ่งเดินทางมาปักกิ่งนั่นเอง..
“ถังเมิ่ง..นี่นายคร่ำครวญพอหรือยัง ถ้าคร่ำครวญพอแล้ว.. ฉันก็จะได้พูดบ้าง!”
“ฟังนะ..นายเตรียมตัวมาปักกิ่ง แล้วมีเรื่องอะไรก็ค่อยมาพูดกับฉันต่อหน้า!”
“ห๊ะ!อะไระนะ?!”
ถังเมิ่งคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะโทรมาสั่งให้ตนเดินทางไปปักกิ่งเช่นนี้จึงได้แต่ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ และร้องถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“พีหยุน..พี่.. นี่พี่จะให้ฉันไปปักกิ่งจริงๆเหรอ!”
“แต่ว่า..แล้วงานที่นี่ล่ะ!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับถามไปว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. นายคงจะไม่อยากมาปักกิ่งสินะ! ถ้าอย่างนั้นนายก็อยู่เฝ้าออฟฟิศต่อไปก็แล้วกัน!”
“อยากสิ..พี่หยุน! ฉันอยากไป!”
ถังเมิ่งถึงกับน้ำตาไหลออกมาทั้งสองข้างพร้อมกับถามย้ำให้มั่นใจ“พี่หยุน.. นี่พี่ไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่มั๊ย”
หลิงหยุนตอบกลับไปว่า..“ฉันพูดจริงๆ! แต่นายต้องพาคนมาให้ฉันด้วย!”
“ลูกน้องทั้ง72 คนที่ฉันให้ตี้เสี่ยวอู๋สอนวรยุทธให้..”
“อ่อ..แล้วก็พาฉีเสี่ยวชิงกับฉางหลิงมาพร้อมกับนายด้วย!”
“พวกเราต่างก็ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้วมาถึงก่อนวันมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยสักสองสามวัน ฉันจะได้พาทุกคนเที่ยวปักกิ่งให้ทั่ว!”
ถังเมิ่งร้องตะโกนตอบกลับมาด้วยความดีใจ“ไม่ต้องห่วงพี่หยุน! ฉันจะจัดการตามคำสั่งให้เรียบร้อย!”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ใช่แล้ว!”
“นอกจากจะไปดูวิธีการและขั้นตอนต่างๆของโรงประมูลที่ตระกูลเย่จัดขึ้นแล้ว ข้ายังต้องการไปประมูลสิ่งของบางอย่างอีกด้วย อย่างเช่น.. ผ้าแพรไหมดำ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หัวเราะออกมาและพูดต่ออย่างสบายอกสบายใจ “อีกอย่าง.. รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งย่อมชนะร้อยครั้งไม่ใช่รึ!”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนหลิงเย่วก็ยิ่งมั่นใจว่าหลิงหยุนคงจะก่อตั้งโรงประมูลชาวยุทธขึ้นอย่างที่พูดเป็นแน่ และคงยากที่จะทำให้หลิงหยุนเปลี่ยนใจได้!
แววตาของหลิงเย่วเป็นประกายขึ้นมาทันทีและหลังจากที่นั่งนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดจึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า
“หลิงหยุน..เรื่องก่อตั้งโรงประมูลชาวยุทธนี้.. ดูท่าเจ้าคงจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วสินะ”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง..“ถูกต้อง!”
“ลุงสอง..ข้าขอบอกท่านลุงตามตรง การสร้างโรงประมูลชาวยุทธนี้ก็คือหนึ่งในแผนการของข้า ที่จะนำพาตระกูลหลิงให้ขึ้นมาผงาดได้อย่างมั่นคง และก็เป็นก้าวที่สำคัญอย่างมากด้วย!”
หลิงเย่วได้ฟังคำพูดหนักแน่นของหลิงหยุนจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกาศเสียงดังทันที “ดี! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแน่วแน่เช่นนี้ ข้าก็จะสนับสนุนเจ้าอย่างแต็มที่!”
และนี่คือคำมั่นสัญญาของหลิงเย่ว..
หลิงเย่วนั้นเป็นคนเฉลียวฉลาดอย่างที่หาผู้ใดเทียบได้ยากหลังจากที่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่เช่นนี้ จึงไม่ต้องการรบเร้าหลิงหยุนอีก และได้เปลี่ยนท่าทีมาเป็นการสนับสนุนแทน!
แต่ถึงกระนั้น..การที่ตระกูลหลิงจะก่อตั้งโรงประมูลชาวยุทธขึ้นมา ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องสำคัญกับตระกูลหลิงอย่างมากเลยทีเดียว!
“เพียงแต่..”
หลิงเย่วบอกกับหลิงหยุนด้วยความรู้สึกจากใจของตนจริงๆ“หลิงหยุน.. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ลุงเองก็ต้องการเวลาเตรียมการอย่างละเอียดเช่นกัน หลังจากที่ลุงพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว พวกเราค่อยปรึกษาหารือในรายละเอียดของเรื่องนี้อีกครั้ง เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
“ข้าเห็นพ้องกับข้อเสนอของท่านลุง!”หลิงหยุนตอบหลิงเย่วพร้อมกับยิ้มกว้าง..
หลิงหยุนรู้ดีว่าลุงสองของเขานั้นเป็นผู้ที่มักจะครุ่นคิด และใคร่ครวญอย่างละเอียดก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใดเสมอ หากไม่มั่นใจจริงๆ คนอย่างหลิงเย่วก็จะไม่ลงมือทำโดยเด็ดขาด!
หลังจากหาข้อยุติในเรื่องนี้ได้ทั้งลุงและหลานชายก็พูดคุยเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่จะต้องทำในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งคู่พูดคุยปรึกษากันต่ออีกร่วมหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งดื่มชาจนหมดกาแล้ว จึงได้เวลาที่หลิงหยุนจะต้องขอตัวกลับ..
“ลุงสอง..ตอนนี้พี่หลิงหย่งอยู่ที่ใด”
แต่ก่อนที่จะขอตัวกลับหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะถามถึงเรื่องของหลิงหย่ง..
เมื่อพูดถึงเรื่องหลิงหย่งขึ้นมา..สีหน้าของหลิงเย่วก็เปลี่ยนเป็นกระวนกระวาย และหนักอกหนักใจขึ้นมาทันที!
“เฮ้อ..หลายวันมานี้หลิงหย่งได้ออกไปอยู่ข้างนอก หากเจ้าอยากจะพบกับเขา ก็ให้หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยพาเจ้าไปได้!”
“หลิงหยุน..ข้าว่าพวกเราควรให้เวลาหลิงหย่งได้อยู่กับตัวเองสักระยะ ให้เขาได้มีเวลาใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆจนตกผลึก และพร้อมที่จะเปิดใจรับฟัง การที่พวกเราไปเร่งรัดหลิงหย่งคงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรนัก!”
หลิงหยุนพยักน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง“เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี!”
“เช่นนั้นแล้วข้าก็จะให้เวลาพี่หลิงหย่งอีกสักระยะแล้วค่อยหาโอกาสไปพบหน้าเขา..”
……
“เจ้าเด็กแสบ..ข้าอุตส่าห์ไปหาเจ้าที่บ้าน แต่เจ้ากลับมาอยู่ที่บ้านของท่านพ่อ!”
ทันทีที่หลิงหยุนออกมาถึงหน้าประตูบ้านของหลิงเย่วพี่สาวคนโตของเขาหลิงซิ่วก็เดินเข้ามาพอดี..
“พี่หลิงซิ่ว!”
หลิงหยุนรีบเอ่ยทักทายหลิงซิ่วพร้อมกับยิ้มให้และตอบไปว่า “ข้าเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน จึงมีเรื่องต้องคุยกับลุงสองมากมาย..”
ร่างบอบบางของหลิงซิ่วพุ่งไปยืนข้างหลิงหยุนพร้อมกับเอื้อมมือออกไปจับแขนหลิงหยุนไว้อย่างสนิทสนม และลากออกไปนอกบ้านทันที
หลิงหยุนจึงร้องถามออกมาด้วยความสงสัย“พี่หลิงซิ่ว.. นี่เจ้าจะพาข้าไปใหนกัน”
“จะไปใหนงั้นรึ!”
“ก็ไปที่ห้องของข้าน่ะสิ!ตอนนี้หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยก็กำลังรอเจ้าอยู่ที่นั่นด้วย ทุกคนกำลังรอให้เจ้าไปเล่าเหตุการณ์ในคืนวันประลองให้ฟัง!”
หลิงหยุนหมดหนทางจึงต้องตามหลิงซิ่วไปที่ห้องอย่างช่วยไม่ได้..
“โอ้โห..นี่ทุกคนมารอข้าอยู่ที่นี่กันหมดเลยงั้นรึ!”
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน..หลิงหยุนก็พบว่าทั้งหลิงเฟิง หลิงเลี่วย เกาเฉินเฉิน โม่วู๋เตา และแม้กระทั่งหลิงซวี่ ต่างก็มานั่งรอเขาอยู่ที่ห้องกันหมดแล้ว..
“ฮ่า..ฮ่า.. ทุกคน.. วีรุบุรุษของพวกเรามาแล้ว!” “มาเร็วน้องสี่..เจ้ามานั่งนี่เร็วเข้า!”
ทันทีที่เห็นหลิงหยุนเดินเข้ามาในห้องเหล่าทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงต่างก็พากันลุกขึ้นยืนต้อนรับทันที และหลิงเฟิงเป็นฝ่ายร้องตะโกนบอกหลิงหยุนเสียงดัง
และเวลานี้หลิงหยุนก็ไม่ต่างจากดวงเดือนที่กำลังถูกรายล้อมไว้ด้วยดวงดาวมากมาย..
“พี่หลิงเฟิง..เจ้าอย่าล้อข้าเช่นนี้สิ!”
หลิงหยุนเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาและยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะพูดขึ้นว่า “เอาล่ะๆ.. พวกเจ้าทุกคนนั่งลงก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดทีเดียว!”
หลิงหยุนจัดการเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทุกคนที่อยู่ในห้องฟังอย่างละเอียดโดยมีหลิงเลี่วยทำหน้าที่จดบันทึกขั้นตอน และกฏระเบียบของการประลอง..
หนุ่มสาวเหล่านี้คือทายาทตระกูลหลิงและจะต้องเป็นตัวแทนของตระกูลหลิงในวันข้างหน้า หลิงหยุนจำเป็นต้องเปิดหูเปิดตาของทุกคนให้กว้างไกล จะได้ไม่ไปทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงข้างนอก..
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตระกูลซัน..ที่ตระกูลซันต้องถึงคราวล่มสลายในครั้งนี้ก็เพราะเด็กหนุ่มเพลย์บอยอย่างซันจิ้งเพียงคนเดียว หากซันจิ้งไม่ไปหาเรื่องหลิงหยุนถึงจิงฉู จนนำไปสู่ความบาดหมางระหว่างหลิงหยุนกับตระกูลซัน ถึงขั้นที่ยากจะแก้ไขได้เช่นนี้ ตระกูลซันก็คงไม่ถูกหลิงหยุนทำลายจนสิ้นชื่อ..
“หากพวกเจ้าบังเอิญเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นเพลังเหนือธรรมชาติพวกเจ้าทุกคนสามารถถูกสังหารตายได้ง่ายๆ เพียงแค่พริบตา..”
หลังจากที่หลิงหยุนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมกับตักเตือนเหล่าทายาทตระกูลหลิงแล้วเขาก็หันไปบอกกับหลิงซิ่ว และหลิงซวี่ว่า
“ถึงเวลาที่ต้องทำการชำระล้างไขกระดูกให้พวกเจ้าสองคนแล้วข้าจะมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่านน้าจินเหยียวทำหน้าที่แทนข้า!
ก่อนการประลองนั้น..มีเพียงหลิงซิ่วกับหลิงซวี่เท่านั้นที่หลิงหยุนยังไม่ได้ทำการชำระล้างไขกระดูกให้ และเวลานี้จินเหยียวก็ได้เข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้ว นางจึงสามารถที่จะจัดการเรื่องนี้แทนหลิงหยุนได้อย่างไม่มีปัญหา
ทุกคนนั่งพูดคุยกันต่ออีกสักครู่จึงแยกย้ายกันกลับห้องของตนเอง ส่วนหลิงหยุนก็พาโม่วู๋เตากับเกาเฉินเฉินไปที่บ้านของตนเอง
…..
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาได้แล้วสินะ”
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน..โม่วู๋เตาก็พูดจาประชดประชันหลิงหยุนขึ้นมาทันที ความจริงแล้วโม่วู๋เตาเองพบหน้าหลิงหยุนตั้งแต่เช้าที่เขากลับมาแล้ว เพียงแต่หลิงหยุนเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน คงยังต้องมีภารกิจที่ต้องสะสางมากมาย โม่วู๋เตาจึงได้อดทนรอจนกระทั่งถึงตอนนี้.. “ทำไมรึ!ดูท่าเจ้าคงคิดถึงข้ามากสินะ!”
หลิงหยุนร้องถามโม่วู๋เตาออกมาด้วยความขบขัน..แต่โม่วู๋เตาตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจนัก..
“หึ..เจ้าไม่อยู่บ้านหลายวัน ข้ากลับรู้สึกสบายอกสบายใจมากกว่า!”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะๆ วันนี้ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้าทานเพื่อเป็นการไถ่โทษ”
จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกเหล้าเหมาไถออกมาจากแหวนจักรวาลสองขวดพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สำหรับเจ้ากับข้า.. ดื่มกันละขวด ไม่หมดไม่เลิก!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ทำเสียงกระซิบกระซาบอกกับโม่วู๋เตาว่า“นี่.. ข้าพาอีกากลับมาด้วยหนึ่งตัว!”
“ห๊ะ!อะไรนะ?! นี่เจ้าพาอีกากลับมาบ้านด้วยงั้นรึ?!”
โม่วู๋เตาทำสีหน้าตกใจพร้อมกับร้องตะโกนถามออกมาเสียงดัง“หลิงหยุน.. นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึ เจ้าไม่กลัวจะเกิดเรื่องอัปมงคลขึ้นภายในบ้านหรือยังไง?”
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าอย่ารีบโวยวายนัก! ฟังข้าพูดให้จบก่อน อีกานี่ไม่ใช่อีกาธรรมดาๆ..”
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้เล่าสรรพคุณของอีกาทองคำให้กับโม่วู๋เตาฟังและประโยชน์มากมายที่เขาจะได้รับจากอีกาตัวนี้ในวันข้างหน้า..
โม่วู๋เตากับหลิงหยุนนั่งดื่มเหล้าและพูดคุยกันไปจนถึงบ่ายสองครึ่ง หลิงหยุนเองก็เริ่มเมาบ้างเล็กน้อย และในระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก
และผู้ที่หลิงหยุนโทรหาคนแรกก็คือ..หนิงหลิงยู่!
“พี่ใหญ่..นั่นพี่ใหญ่ใช่มั๊ย!”
น้ำเสียงของหนิงหลิงยู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจและเมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้นของหนิงหลิงยู่ หลิงหยุนก็ถึงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เพราะตั้งแต่ที่เขามาถึงปักกิ่งจนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่เขากับหนิงหลิงยู่ได้แยกจากกัน อีกทั้งหลิงหยุนเองก็ไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กับนางนัก เพราะเขาเองก็มัวแต่ยุ่งกับภารกิจต่างๆ
“หลิงยู่..ก็ต้องเป็นพี่น่ะสิ! ถ้าไม่ใช่พี่แล้ว ใครจะกล้าใช้โทรศัพท์มือถือของพี่โทรหาเธอกันเล่า!”
หลิงหยุนพูดจาล้อเลียนหนิงหลิงยู่พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข…
“พี่ใหญ่ก็..”
จากนั้นหนิงหลิงยู่ก็เริ่มตัดพ้อ“พี่ใหญ่.. พี่สัญญาว่าจะโทรหาฉันเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยโทรหาฉันเลย!”
“…..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกเพราะเป็นเช่นที่หนิงหลิงยู่ตัดพ้อจริงๆ เขาจึงรีบอธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังทันที “หลิงยู่..ตั้งแต่มาถึงปักกิ่ง พี่เองก็มีภารกิจยุ่งมากจริงๆ โทรศัพท์มือถือกับเครื่องมือสื่อสารก็เก็บไว้แต่ในแหวนไม่ได้หยิบออกมาเลย”
หนิงหลิงยู่ทำเสียงตัดพ้อและพูดด้วยความเป็นห่วง “พี่ใหญ่.. อย่าคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่นะ! ฉันรู้ว่าพี่ทำแต่เรื่องที่เสี่ยงอันตรายทั้งนั้น ฉันเป็นห่วงพี่มากเลยรู้มั๊ย”
แม้หนิงหลิงยู่จะไม่ได้คุยกับหลิงหยุนแต่นางก็ได้คุยกับฉินตงเฉวี่ย และหลิงซิ่วอยู่เสมอๆ จึงรู้เรื่องราวทุกอย่างที่หลิงหยุนทำในปักกิ่งดี..
แต่หลิงหยุนก็รีบร้องเตือนกลับไปทันที“หลิงยู่.. เรื่องพวกนี้อย่าได้พูดทางโทรศัพท์! มีเรื่องอะไรจะถามพี่ รอเธอมาถึงปักกิ่งแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง!”
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงแล้วจะให้พี่ไปรับเธอด้วยตัวเองมั๊ย”
หนิงหลิงยู่รีบตอบกลับทันที“ไม่ต้องหรอกพี่ใหญ่! พี่เองก็มีภารกิจที่ต้องจัดการมากมาย ฉันไปปักกิ่งเองได้ ท่านปู่ได้จัดเตรียมทุกอย่างให้แล้ว!”
“ได้..แต่เธอต้องมาทางเครื่องบินเท่านั้นนะ!” หลิงหยุนย้ำด้วยความเป็นห่วง
นั่นเพราะเวลานี้หลิงหยุนได้จับตัวลูกพี่ลูกน้องของตี๋เสี่ยวเจิ้นไว้เขาจึงเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับหนิงหลิงยู่ และหากเทียบกับการเดินทางโดยวิธีอื่นแล้ว การเดินทางโดยเครื่องบินจึงนับว่าปลอดภัยกับหนิงหลิงยู่มากที่สุด!
“ได้..ฉันจะบอกกับท่านปู่!”
หนิงหลิงยู่ตอบหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ดีมาก!ได้ไฟลท์แล้วอย่าลืมบอกให้พี่รู้ด้วย พี่จะไปรับเธอที่สนามบินเอง มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันตอนที่เธอถึงปักกิ่งแล้ว!”
หลังจากวางสายจากหนิงหลิงยู่แล้วหลิงหยุนก็จัดการโทรหาถังเมิ่งต่อทันที และก็มีเสียงร้องตะโกนจากปลายสายดังขึ้นว่า.. “พี่หยุน!นี่พี่จริงๆเหรอ!” ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น!
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปทันทีเช่นกัน“ก็ฉันเองน่ะสิ!”
“โถ่พี่หยุน!ทำไมเพิ่งโทรจะโทรมาหาฉัน รู้มั๊ยว่าฉันคิดถึงพี่มากเลย.. คิดถึงจริงๆ!”
หลังจากที่มั่นใจว่าเป็นหลิงหยุนเสียงของถังเมิ่งก็สั่นขึ้นมาทันที และพูดประโยคที่ชวนให้หลิงหยุนรู้สึกขนลุกขนชัน..
“ฮ่า..ฮ่า.. คิดถึงฉัน แล้วทำไมนายไม่บินมาหาฉันล่ะ ปักกิ่งอยู่ใกล้แค่นี้เอง!” หลิงหยุนพูดจาหยอกเย้าถังเมิ่ง
“ไปหาพี่นี่นะ!”ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห
“ทุกวันนี้ฉันมีงานยุ่งทุกวันจะเอาเวลาที่ใหนบินไปหาพี่ที่ปักกิ่งกันเล่า! อีกอย่าง.. พี่เองก็คงมีงานยุ่งมากเหมือนกัน ฉันคงไม่กล้าไปรบกวนเวลาของพี่หรอก..”
จากนั้น..ถังเมิ่งก็เริ่มคร่ำครวญถึงความยากลำบากของตนเอง และไม่เปิดโอกาสให้หลิงหยุนได้พูดแทรกเลย หลิงหยุนจึงได้แต่ฟังไปยิ้มไป และที่เขาโทรหาถังเมิ่งก็เพราะจะสั่งให้ถังเมิ่งเดินทางมาปักกิ่งนั่นเอง..
“ถังเมิ่ง..นี่นายคร่ำครวญพอหรือยัง ถ้าคร่ำครวญพอแล้ว.. ฉันก็จะได้พูดบ้าง!”
“ฟังนะ..นายเตรียมตัวมาปักกิ่ง แล้วมีเรื่องอะไรก็ค่อยมาพูดกับฉันต่อหน้า!”
“ห๊ะ!อะไระนะ?!”
ถังเมิ่งคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะโทรมาสั่งให้ตนเดินทางไปปักกิ่งเช่นนี้จึงได้แต่ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ และร้องถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“พีหยุน..พี่.. นี่พี่จะให้ฉันไปปักกิ่งจริงๆเหรอ!”
“แต่ว่า..แล้วงานที่นี่ล่ะ!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับถามไปว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. นายคงจะไม่อยากมาปักกิ่งสินะ! ถ้าอย่างนั้นนายก็อยู่เฝ้าออฟฟิศต่อไปก็แล้วกัน!”
“อยากสิ..พี่หยุน! ฉันอยากไป!”
ถังเมิ่งถึงกับน้ำตาไหลออกมาทั้งสองข้างพร้อมกับถามย้ำให้มั่นใจ“พี่หยุน.. นี่พี่ไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่มั๊ย”
หลิงหยุนตอบกลับไปว่า..“ฉันพูดจริงๆ! แต่นายต้องพาคนมาให้ฉันด้วย!”
“ลูกน้องทั้ง72 คนที่ฉันให้ตี้เสี่ยวอู๋สอนวรยุทธให้..”
“อ่อ..แล้วก็พาฉีเสี่ยวชิงกับฉางหลิงมาพร้อมกับนายด้วย!”
“พวกเราต่างก็ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้วมาถึงก่อนวันมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยสักสองสามวัน ฉันจะได้พาทุกคนเที่ยวปักกิ่งให้ทั่ว!”
ถังเมิ่งร้องตะโกนตอบกลับมาด้วยความดีใจ“ไม่ต้องห่วงพี่หยุน! ฉันจะจัดการตามคำสั่งให้เรียบร้อย!”