“พี่หยุน..แล้วเรื่องของพี่หลิงซิ่วล่ะ หมอนั่นว่ายังไงบ้าง!”
หลังจากที่ออกมาจากคาสิโนของเย่เทียนสุ่ยได้เพียงแค่สองสามก้าวถังเมิ่งก็ร้องถามหลิงหยุนขึ้นมาทันที
และนั่นทำให้หลิงหยุนถึงกับต้องหันไปมองหน้าถังเมิ่งอยู่นานในที่สุดก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“นี่นายยังจำเรื่องนี้ได้อีกรึ”
หลิงหยุนได้แต่นึกทึ่งในตัวถังเมิ่งเด็กหนุ่มผู้นี้ชื่นชอบการพนันเป็นชีวิตจิตใจ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งจะเคยได้เงินจากการเล่นพนันมากถึงยี่สิบล้าน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ก้าวเท้าออกจากประตูบ่อน ถังเมิ่งก็สามารถโยนความตื่นเต้นดีใจทิ้งไปได้ และหันมาคิดเรื่องที่ควรต้องทำแทน..
ถังเมิ่งเห็นสายตาของหลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงได้ตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อะไรกันพี่หยุน!เงินแค่ยี่สิบล้าน พี่ก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้ฉันมีเงินมากมายขนาดใหน?!”
ไม่เพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่ถังเมิ่งเองก็เช่นกัน!
เวลานี้ถังเมิ่งมีตำแหน่งเป็นถึงประธานบริษัทหลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านหยวน ฐานะของถังเมิ่งเวลานี้จึงเทียบเท่ากับประธานบริษัทใหญ่โตบริษัทหนึ่งทีเดียว!
และที่สำคัญกว่านั้น..ถังเมิ่งอายุยังน้อยมากเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น แต่กลับสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งในวงการธุรกิจได้รวดเร็วเช่นนี้ ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองของผู้คนในประเทศนี้เป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าบริษัทหลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นจะไม่ใช่ของถังเมิ่ง แต่ในฐานะประธานบริษัท ถังเมิ่งก็คือผู้ที่สามารถทำธุรกรรม เซ็นต์เอกสารสำคัญ และมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆภายในบริษัททั้งหมดได้ ถังเมิ่งในเวลานี้จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับเงินไม่กี่สิบล้านนี้มากนัก และรู้ว่าสิ่งใดสำคัญกว่าเงินทอง..
“ไม่เลวนี่!”
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของถังเมิ่งได้อย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยชมอะไรมากนัก และตอบกลับไปว่า
“เย่เทียนสุ่ยไม่ยอมตกลง!”
“อะไรนะ!”
ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห“ไม่ตกลังเหรอพี่หยุน หมอนี่โอหังเกินไปแล้ว.. แล้วนี่พี่หักขาของมันทิ้งหรือยัง?”
“ยัง..”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆพร้อมหันกลับไปมองอาคารสูงด้านหลังทีเพิ่งเดินออกมา และพูดต่อทันที
“ด้วยความสามารถของฉันตอนนี้อาจจะถล่มอาคารนี้ให้ราบเป็นหน้ากองได้ไม่ยาก แต่ก็คงไม่สามารถหักขาทั้งสองข้างของเย่เทียนสุ่ยได้!”
“ห๊ะ!”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงหยุนทั้งถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ สีหน้าของทั้งสามคนบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย..
หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจและพูดต่อว่า “เย่เทียนสุ่ยไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าฉันเลย หากวันนี้ฉันกับเย่เทียนสุ่ยต้องประมือกันจริงๆ ก็ยากจะบอกได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่”
“นี่..เจ้านั่นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
โม่วู๋เตาอดรนทนไม่ได้จึงได้แต่ร้องถามออกมา..
“หากจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆก็เป็นไปได้ว่าข้าอาจจะชนะเย่เทียนสุ่ยได้ เพียงแต่ว่า.. จะชนะได้อย่างสวยงามหรือไม่น่ะสิ!” “แต่หากสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆก็ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเอาชนะเขาได้.. แต่ก็ไม่รู้ว่าจะชนะได้อย่างสวยงามหรือไม่”
หลังจากที่หลิงหยุนหันไปตอบโม่วู๋เตาแล้วเขาก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจ แล้วจึงต่อว่า
“เย่เทียนสุ่ยแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นแต่กลับเก็บยอมก้มหัวให้ข้าเช่นนี้ นับว่าคนตระกูลเย่มีความอดทนอดกลั้นอย่างหาได้ยากมากจริงๆ!”
โม่วู๋เตาและคนอื่นๆ ถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน แต่หลิงหยุนก็ได้บอกเล่าถึงคำสัญญาที่เย่เทียนสุ่ยได้รับปากไว้ให้กับชายหนุ่มทั้งสามคนฟัง
“แต่หากวันนี้ฉันไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจฉันก็คงไม่ปล่อยเย่เทียนสุ่ยไว้เหมือนกัน..”
“นับว่ายังดีที่เย่เทียนสุ่ยรับปากว่าจะเพียงแค่ชื่นชอบพี่หลิงซิ่วเท่านั้นแต่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี และเสื่อมเสียต่อพี่หลิงซิ่วโดยเด็ดขาด!” “เฮ้อ..ในเมื่อเย่เทียนสุ่ยยินยอมทุกอย่างแบบนี้ พวกนายว่าฉันจะหาเหตุผลอะไรไปมีเรื่องกับเย่เทียนสุ่ยได้อีกล่ะ!”
….
“นี่..พวกเจ้าเอาแต่ซุบซิบคุยกันอยู่สามสี่คน! มีสาวงามเช่นข้ามาด้วย แต่พวกเจ้ากลับไม่มีใครสนใจข้าเลย!”
เซิ่งหยิงหยิงที่เดินตามหลังชายหนุ่มทั้งสี่คนออกมาจากคาสิโนแต่กลับพบว่าตนเองไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ในที่สุดก็ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความโมโห..
“เอ่อ..”
หลิงหยุนหันไปมองเซิ่งหยิงหยิงพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะก่อนจะตอบไปว่า “พวกเรากำลังคุยธุระสำคัญอยู่พอดี ก็เลยลืมนึกถึงเจ้าไปจริงๆ..”
เซิ่งหยิงหยิงได้ยินว่าหลิงหยุนหลงลืมตนเองจริงๆก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น และร้องโวยวายกลับไปอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแล้งน้ำใจสิ้นดี!ต่อให้มีธุระสำคัญ ก็ไม่ควรละเลยความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้ไม่ใช่รึ”
เซิ่งหยิงหยิงเป็นเพียงแค่เด็กสาวอายุสิบแปดปีเท่านั้นการที่หลิงหยุนทำเหมือนไม่สนใจนาง และทำราวกับว่านางเป็นส่วนเกินเช่นนี้ ทำให้นางอดที่จะโมโห และน้อยใจไม่ได้..
เมื่อเห็นเซิ่งหยิงหยิงดูเหมือนจะโมโหและน้อยใจจริงๆ แววตาของหลิงหยุนก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที และหันไปพูดปลอบใจเซิ่งหยิงหยิง
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว..เจ้าไม่ควรคิดเช่นนั้น!”
การเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันของหลิงหยุนทำให้เซิ่งหยิงหยิงถึงกับงุนงง และยิ่งสับสนขึ้นมาเมื่อหลิงหยุนพูดต่อว่า..
“เจ้าเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก..แต่หากข้าเอ่ยชม หรือสนใจเจ้ามากเกินไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่พอใจต่างหากเล่า!” และคำพูดของหลิงหยุนก็นับว่าได้ผลยิ่งนัก..
ความจริงแล้วรูปร่างหน้าตาของหลิงหยุนเวลานี้นั้นสามารถดึงดูดหญิงสาวได้แทบทุกคน โดยเฉพาะดวงตาคมกริบทั้งคู่ของเขา หากจ้องมองหญิงใดด้วยความเอื้ออาทร มีหรือที่หญิงผู้นั้นจะไม่อ่อนระทวย..
ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่เซิ่งหยิงหยิงซึ่งเพิ่งจะสูญเงินไปกว่าหกสิบล้านจะมีแก่ใจเสนอให้หลิงหยุนพานางออกมากินข้าวด้วยเช่นนี้
เซิ่งหยิงหยิงได้ฟังคำพูดเช่นนั้นของหลิงหยุนก็รู้สึกเก้อเขินนางจึงรีบหันหน้าหนี และถามขึ้นว่า “เจ้าจะพาข้าไปทานข้าวที่ใหน”
หลิงหยุนรีบตอบกลับไปทันที“ข้าให้เจ้าเป็นผู้เลือก!”
“ข้าเพิ่งจะมาปักกิ่งเป็นครั้งแรกยังไม่รู้จักสถานที่ต่างๆในปักกิ่งดีมากเท่าไหร่ ดึกดื่นป่านนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพาเจ้าไปกินข้าวที่ไหนได้บ้างจริงๆ” “เช่นนั้นก็ไปที่ซานหลี่ถุนกัน!”
“ตกลง!”
เซิ่งหยิงหยิงเห็นหลิงหยุนยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้นางจึงเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ส่วนถังเมิ่งกับโม่วู๋เตาก็ได้แต่หันไปมองหน้ากันด้วยความอิจฉาริษยา ที่หลิงหยุนมักมีสาวงามมาห้อมล้อมเช่นนี้อยู่เสมอ
แต่หลิงหยุนนั้นไม่ได้คิดอะไรกับเซิ่งหยิงหยิงอย่างที่โม่วู๋เตากับถังเมิ่งคิดที่เขาไปกับเซิ่งหยิงหยิงนั้นก็เพื่อที่จะสอบถามเรื่องอะไรบางอย่างจากนาง และแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเรื่องของบริษัท ชิงหยุน โปรดักชั่น!
บริษัทชิงหยุน โปรดักชั่น เคยมีเรื่องกับหลิงหยุนมาก่อน แม้จะนานมากจนหลายคนก็ลืมไปแล้ว แต่หลิงหยุนไม่เคยลืมเลย..
ในเมื่อพวกมันกล้ามาหาเรื่องกับหลิงหยุนก็ย่อมต้องมีมูลค่าที่ต้องชดใช้ แต่ที่หลิงหยุนยังไม่พูดถึง หรือคิดที่จะจัดการอะไรนั้น ก็เพราะเขายังมีภารกิจรัดตัว แต่ตอนนี้เขาพอที่จะมีเวลาว่างแล้ว.. และได้เวลาที่หลิงหยุนจะต้องไปทวงคืนผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับจากบริษัทชิงหยุน โปรดักชั่น!
ในเมื่อบริษัทชิงหยุน โปรดักชั่นเป็นผู้ส่งเซิ่งหยิหยิงมาก่อกวนเขา เขาก็จะเริ่มต้นสืบจากเซิ่งหยิงหยิงเช่นกัน..
ไม่นานนัก..ทั้งหมดก็เดินมาถึงที่จอดรถ
“…..”
“ห๊ะ!อย่าบอกนะว่านี่เป็นรถของเจ้า?!”
เมื่อเห็นตี้เสี่ยวอู๋เดินตรงไปที่รถคนหนึ่งซึ่งมีท้ายบุบบู้บี้เซิ่งหยิงหยิงก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะร้องอุทานออกมาเสียงดัง แต่เมื่อเห็นตี้เสี่ยวอู๋หยิบกุญแจรถออกมาไขประตู นางก็หันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง“รถของข้าถอยไปชนกับรถของเจ้างั่งคนหนึ่งเข้าน่ะสิ! พวกเราคงต้องรออีกสักหน่อย!” “คุณชายทั้งสี่..รอผมก่อน!”
ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะพูดจบประโยคดีเสียงร้องตะโกนของหยางจงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง..
“คุณชายทุกท่าน..ผมผิดไปแล้ว!”
“ผมขอยอมรับผิดทุกอย่าง..ผมมีตาแต่กลับไม่มีแวว จึงอยากจะขอเลี้ยงเหล้าคุณชายทั้งสี่เป็นการไถ่โทษจะได้มั๊ยครับ”
ทันทีที่มาถึงหยางจงก็รีบก้มหน้าก้มตาขอโทษหลิงหยุนกับเพื่อนๆทันทีและได้แต่อ้อนวอนขอให้หลิงหยุนยกโทษให้ไม่หยุด แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าหลิงหยุนตรงๆ
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไรและแน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของถังเมิ่ง
“เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว!นายพูดมาเลยว่าจะรับผิดชอบยังไง”
หยางจงกำมือแน่นเพื่อปกปิดซ่อนเร้นความตื่นตระหนกภายในใจและรีบตอบถังเมิ่งไปว่า “ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะให้ผมชดใช้เป็นรถคันใหม่ หรือจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินสด ผมยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง!”
…..
ไม่ถึงสามนาที..เงินจำนวนสามสิบล้านหยวนก็ถูกโอนเข้าไปในบัญชีของถังเมิ่ง!
เซิ่งหยิงหยิงเห็นหยางจงถูกบังคับให้โอนเงินสามสิบล้านภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง..
“หึ..นี่เป็นการเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหาย หรือว่าเป็นการปล้นกันแน่!”
“รถของเจ้าอย่างมากก็สองสามล้านหยวน..”
เซิ่งหยางหยางร้องตะโกนออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้แต่หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ข้าไม่สนว่ารถคันนี้จะราคาเท่าไหร่แต่ในเมื่อมันคือรถของข้า ก็ย่อมมีมูลค่าที่สูง..”
จากนั้นหลิงหยุนก็ปลายหางตาไปทางหยางจงพร้อมพูดกับเซิ่งหยิงหยิงต่อว่า“นับว่าเขายังฉลาดพอที่รีบออกตัวว่าจะรับผิดชอบในเรื่องนี้..”
จากนั้นเซิ่งหยิงหยิงจึงรีบพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. ในเมื่อจบเรื่องแล้วก็รีบไปซานหลี่ถุนกันได้เลย ตอนนี้ข้าหิวมากแล้ว!”
…..
เซิ่งหยิงหยิงยังจำได้ว่าตนรับค่าจ้างจากบริษัท ชิงหยุน โปรดักชั่นให้ไปป่วนบ่อนใต้ดินของแก๊งมังกรเขียวในเมืองจิงฉู จนท้ายที่สุดต้องกลับกลายมาเป็นหนี้หลิงหยุน เซิ่งหยิงหยิงยังจำได้ว่าหลิงหยุนขู่จะตัดมือนางหากไม่ยอมเซ็นสัญญาเงินกู้
เซิ่งหยิงหยิงจึงพอจะคาดเดาได้ว่าหากหยางจงไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายตามที่ถังเมิ่งเรียกร้อง เขาจะต้องมีจุดจบเช่นใด
ทั้งหมดขึ้นนั่งก็ไปนั่งเบียดกันอยู่ในรถMercedes-Benz ที่ท้ายพังยับเยิน แม้เซิ่งหยิงหยิงจะขับรถมาเอง แต่นางก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ และโดยสารไปกับรถของหลิงหยุน “ดูท่าเจ้าคงอยากจะนั่งรถบุบๆไปซานหลี่ถุนสินะ!”
หลิงหยุนเอ่ยถามเซิ่งหยิงหยิงที่นั่งอยู่ข้างๆนางจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พร้อมจะมีเรื่อง “หลิงหยุน.. เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลาที่ผู้หญิงโกรธมากๆ พวกนางจะชอบกัด!”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนรีบเปลี่ยนเรื่องทันที“ที่ซานหลี่ถุนคงจะคึกคักน่าดูสินะ”
เซิ่งหยิงหยิงถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง..
……
ภายในบ่อนคาสิโนของเย่เทียนสุ่ย..
หลังจากที่มั่นใจว่าหลิงหยุนกับเพื่อนๆกลับออกไปแล้วเย่เทียนสุ่ยก็รีบลงมาด้านล่าง และขึ้นไปนั่งบนรถสีดำคันใหญ่พร้อมกับร้องสั่งคนขับรถให้ออกรถทันที
“กลับไปตระกูลเย่!”
รถสีดำคันใหญ่แล่นออกจากบ่อนคาสิโนห้าชั้นไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่มุ่งไปทางตะวันออก
สิบห้านาทีต่อมา..รถสีดำคันใหญ่ของเย่เทียนสุ่ยก็แล่นเข้าสู่ถนนวงแหวนที่ห้า และยังคงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จนกระทั่งเข้าสู่ถนนวงแหวนที่หกจึงได้เลี้ยวไปทางทิศใต้ และผ่านไปอีกเพียงแค่สิบนาที รถของเย่เทียนสุ่ยก็ไปจอดอยู่ที่บ้านขนาดใหญ่โตหลังหนึ่ง..
บ้านหลังใหญ่โตนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองปักกิ่งใกล้กับถนนวงแหวนที่หกหันหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นภูเขาที่มีป่าหนาทึบ นับว่าสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศยิ่งนัก
บ้านขนาดใหญ่ตรงหน้านี้ไม่มีกลิ่นอายของความทันสมัยอยู่เลยแม้แต่น้อยภายในสวนตกแต่งด้วยเก๋งจีนเก่าแก่คล้ายกับสวนโบราณซูวโจว อีกทั้งสถาปัตยกรรมของยบ้านก็ดูราวกับพระราชวังเก่าแก่
แม้ว่าประตูทางเข้าบ้านจะมีขนาดกว้างขวางใหญ่โตแต่กลับไม่มีรูปปั้นสิงห์โตหินอยู่สองข้างประตูดังเช่นคฤหาสน์หรูหราของเหล่าตระกูลใหญ่ แต่กลับเป็นเพียงประตูเก่าแก่ธรรมดาๆเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า..ตระกูลเย่นั้นทำตัวติดดิน และไม่แสดงฐานะที่ยิ่งใหญ่ของตนเลยจริงๆ!
“คุณชายใหญ่..ท่านกลับมาแล้วรึ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้านชายชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นก็เดินถือไปป์สูบยาออกมาเปิดประตูให้ทันที
“ท่านปู่เหลย..ขอโทษที่มารบกวนท่านกลางดึกเช่นนี้!”
เย่เทียนสุ่ยเดินลงมาจากรถคันใหญ่ของตนเองแล้วเดินตรงเข้าไปหาชายชราพร้อมกับโน้มตัวลงพูดคุยด้วยอย่างนอบน้อม และให้เกียรติ
แม้ชายชราผู้นี้จะเป็นเพียงยามเฝ้าหน้าประตูบ้านตระกูลเย่แต่กลับไม่มีสีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนกับท่าทีนอบน้อมของเย่เทียนสุ่ยเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดออกไปว่า
“เข้ามาเถิด..ผู้นำตระกูลกำลังรอท่านอยู่ข้างในแล้ว!”
หลังจากที่ออกมาจากคาสิโนของเย่เทียนสุ่ยได้เพียงแค่สองสามก้าวถังเมิ่งก็ร้องถามหลิงหยุนขึ้นมาทันที
และนั่นทำให้หลิงหยุนถึงกับต้องหันไปมองหน้าถังเมิ่งอยู่นานในที่สุดก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“นี่นายยังจำเรื่องนี้ได้อีกรึ”
หลิงหยุนได้แต่นึกทึ่งในตัวถังเมิ่งเด็กหนุ่มผู้นี้ชื่นชอบการพนันเป็นชีวิตจิตใจ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งจะเคยได้เงินจากการเล่นพนันมากถึงยี่สิบล้าน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ก้าวเท้าออกจากประตูบ่อน ถังเมิ่งก็สามารถโยนความตื่นเต้นดีใจทิ้งไปได้ และหันมาคิดเรื่องที่ควรต้องทำแทน..
ถังเมิ่งเห็นสายตาของหลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงได้ตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อะไรกันพี่หยุน!เงินแค่ยี่สิบล้าน พี่ก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้ฉันมีเงินมากมายขนาดใหน?!”
ไม่เพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่ถังเมิ่งเองก็เช่นกัน!
เวลานี้ถังเมิ่งมีตำแหน่งเป็นถึงประธานบริษัทหลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านหยวน ฐานะของถังเมิ่งเวลานี้จึงเทียบเท่ากับประธานบริษัทใหญ่โตบริษัทหนึ่งทีเดียว!
และที่สำคัญกว่านั้น..ถังเมิ่งอายุยังน้อยมากเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น แต่กลับสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งในวงการธุรกิจได้รวดเร็วเช่นนี้ ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองของผู้คนในประเทศนี้เป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าบริษัทหลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นจะไม่ใช่ของถังเมิ่ง แต่ในฐานะประธานบริษัท ถังเมิ่งก็คือผู้ที่สามารถทำธุรกรรม เซ็นต์เอกสารสำคัญ และมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆภายในบริษัททั้งหมดได้ ถังเมิ่งในเวลานี้จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับเงินไม่กี่สิบล้านนี้มากนัก และรู้ว่าสิ่งใดสำคัญกว่าเงินทอง..
“ไม่เลวนี่!”
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของถังเมิ่งได้อย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยชมอะไรมากนัก และตอบกลับไปว่า
“เย่เทียนสุ่ยไม่ยอมตกลง!”
“อะไรนะ!”
ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห“ไม่ตกลังเหรอพี่หยุน หมอนี่โอหังเกินไปแล้ว.. แล้วนี่พี่หักขาของมันทิ้งหรือยัง?”
“ยัง..”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆพร้อมหันกลับไปมองอาคารสูงด้านหลังทีเพิ่งเดินออกมา และพูดต่อทันที
“ด้วยความสามารถของฉันตอนนี้อาจจะถล่มอาคารนี้ให้ราบเป็นหน้ากองได้ไม่ยาก แต่ก็คงไม่สามารถหักขาทั้งสองข้างของเย่เทียนสุ่ยได้!”
“ห๊ะ!”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงหยุนทั้งถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ สีหน้าของทั้งสามคนบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย..
หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจและพูดต่อว่า “เย่เทียนสุ่ยไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าฉันเลย หากวันนี้ฉันกับเย่เทียนสุ่ยต้องประมือกันจริงๆ ก็ยากจะบอกได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่”
“นี่..เจ้านั่นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
โม่วู๋เตาอดรนทนไม่ได้จึงได้แต่ร้องถามออกมา..
“หากจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆก็เป็นไปได้ว่าข้าอาจจะชนะเย่เทียนสุ่ยได้ เพียงแต่ว่า.. จะชนะได้อย่างสวยงามหรือไม่น่ะสิ!” “แต่หากสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆก็ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเอาชนะเขาได้.. แต่ก็ไม่รู้ว่าจะชนะได้อย่างสวยงามหรือไม่”
หลังจากที่หลิงหยุนหันไปตอบโม่วู๋เตาแล้วเขาก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจ แล้วจึงต่อว่า
“เย่เทียนสุ่ยแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นแต่กลับเก็บยอมก้มหัวให้ข้าเช่นนี้ นับว่าคนตระกูลเย่มีความอดทนอดกลั้นอย่างหาได้ยากมากจริงๆ!”
โม่วู๋เตาและคนอื่นๆ ถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน แต่หลิงหยุนก็ได้บอกเล่าถึงคำสัญญาที่เย่เทียนสุ่ยได้รับปากไว้ให้กับชายหนุ่มทั้งสามคนฟัง
“แต่หากวันนี้ฉันไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจฉันก็คงไม่ปล่อยเย่เทียนสุ่ยไว้เหมือนกัน..”
“นับว่ายังดีที่เย่เทียนสุ่ยรับปากว่าจะเพียงแค่ชื่นชอบพี่หลิงซิ่วเท่านั้นแต่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี และเสื่อมเสียต่อพี่หลิงซิ่วโดยเด็ดขาด!” “เฮ้อ..ในเมื่อเย่เทียนสุ่ยยินยอมทุกอย่างแบบนี้ พวกนายว่าฉันจะหาเหตุผลอะไรไปมีเรื่องกับเย่เทียนสุ่ยได้อีกล่ะ!”
….
“นี่..พวกเจ้าเอาแต่ซุบซิบคุยกันอยู่สามสี่คน! มีสาวงามเช่นข้ามาด้วย แต่พวกเจ้ากลับไม่มีใครสนใจข้าเลย!”
เซิ่งหยิงหยิงที่เดินตามหลังชายหนุ่มทั้งสี่คนออกมาจากคาสิโนแต่กลับพบว่าตนเองไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ในที่สุดก็ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความโมโห..
“เอ่อ..”
หลิงหยุนหันไปมองเซิ่งหยิงหยิงพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะก่อนจะตอบไปว่า “พวกเรากำลังคุยธุระสำคัญอยู่พอดี ก็เลยลืมนึกถึงเจ้าไปจริงๆ..”
เซิ่งหยิงหยิงได้ยินว่าหลิงหยุนหลงลืมตนเองจริงๆก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น และร้องโวยวายกลับไปอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแล้งน้ำใจสิ้นดี!ต่อให้มีธุระสำคัญ ก็ไม่ควรละเลยความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้ไม่ใช่รึ”
เซิ่งหยิงหยิงเป็นเพียงแค่เด็กสาวอายุสิบแปดปีเท่านั้นการที่หลิงหยุนทำเหมือนไม่สนใจนาง และทำราวกับว่านางเป็นส่วนเกินเช่นนี้ ทำให้นางอดที่จะโมโห และน้อยใจไม่ได้..
เมื่อเห็นเซิ่งหยิงหยิงดูเหมือนจะโมโหและน้อยใจจริงๆ แววตาของหลิงหยุนก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที และหันไปพูดปลอบใจเซิ่งหยิงหยิง
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว..เจ้าไม่ควรคิดเช่นนั้น!”
การเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันของหลิงหยุนทำให้เซิ่งหยิงหยิงถึงกับงุนงง และยิ่งสับสนขึ้นมาเมื่อหลิงหยุนพูดต่อว่า..
“เจ้าเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก..แต่หากข้าเอ่ยชม หรือสนใจเจ้ามากเกินไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่พอใจต่างหากเล่า!” และคำพูดของหลิงหยุนก็นับว่าได้ผลยิ่งนัก..
ความจริงแล้วรูปร่างหน้าตาของหลิงหยุนเวลานี้นั้นสามารถดึงดูดหญิงสาวได้แทบทุกคน โดยเฉพาะดวงตาคมกริบทั้งคู่ของเขา หากจ้องมองหญิงใดด้วยความเอื้ออาทร มีหรือที่หญิงผู้นั้นจะไม่อ่อนระทวย..
ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่เซิ่งหยิงหยิงซึ่งเพิ่งจะสูญเงินไปกว่าหกสิบล้านจะมีแก่ใจเสนอให้หลิงหยุนพานางออกมากินข้าวด้วยเช่นนี้
เซิ่งหยิงหยิงได้ฟังคำพูดเช่นนั้นของหลิงหยุนก็รู้สึกเก้อเขินนางจึงรีบหันหน้าหนี และถามขึ้นว่า “เจ้าจะพาข้าไปทานข้าวที่ใหน”
หลิงหยุนรีบตอบกลับไปทันที“ข้าให้เจ้าเป็นผู้เลือก!”
“ข้าเพิ่งจะมาปักกิ่งเป็นครั้งแรกยังไม่รู้จักสถานที่ต่างๆในปักกิ่งดีมากเท่าไหร่ ดึกดื่นป่านนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพาเจ้าไปกินข้าวที่ไหนได้บ้างจริงๆ” “เช่นนั้นก็ไปที่ซานหลี่ถุนกัน!”
“ตกลง!”
เซิ่งหยิงหยิงเห็นหลิงหยุนยอมตกลงง่ายดายเช่นนี้นางจึงเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ส่วนถังเมิ่งกับโม่วู๋เตาก็ได้แต่หันไปมองหน้ากันด้วยความอิจฉาริษยา ที่หลิงหยุนมักมีสาวงามมาห้อมล้อมเช่นนี้อยู่เสมอ
แต่หลิงหยุนนั้นไม่ได้คิดอะไรกับเซิ่งหยิงหยิงอย่างที่โม่วู๋เตากับถังเมิ่งคิดที่เขาไปกับเซิ่งหยิงหยิงนั้นก็เพื่อที่จะสอบถามเรื่องอะไรบางอย่างจากนาง และแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเรื่องของบริษัท ชิงหยุน โปรดักชั่น!
บริษัทชิงหยุน โปรดักชั่น เคยมีเรื่องกับหลิงหยุนมาก่อน แม้จะนานมากจนหลายคนก็ลืมไปแล้ว แต่หลิงหยุนไม่เคยลืมเลย..
ในเมื่อพวกมันกล้ามาหาเรื่องกับหลิงหยุนก็ย่อมต้องมีมูลค่าที่ต้องชดใช้ แต่ที่หลิงหยุนยังไม่พูดถึง หรือคิดที่จะจัดการอะไรนั้น ก็เพราะเขายังมีภารกิจรัดตัว แต่ตอนนี้เขาพอที่จะมีเวลาว่างแล้ว.. และได้เวลาที่หลิงหยุนจะต้องไปทวงคืนผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับจากบริษัทชิงหยุน โปรดักชั่น!
ในเมื่อบริษัทชิงหยุน โปรดักชั่นเป็นผู้ส่งเซิ่งหยิหยิงมาก่อกวนเขา เขาก็จะเริ่มต้นสืบจากเซิ่งหยิงหยิงเช่นกัน..
ไม่นานนัก..ทั้งหมดก็เดินมาถึงที่จอดรถ
“…..”
“ห๊ะ!อย่าบอกนะว่านี่เป็นรถของเจ้า?!”
เมื่อเห็นตี้เสี่ยวอู๋เดินตรงไปที่รถคนหนึ่งซึ่งมีท้ายบุบบู้บี้เซิ่งหยิงหยิงก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะร้องอุทานออกมาเสียงดัง แต่เมื่อเห็นตี้เสี่ยวอู๋หยิบกุญแจรถออกมาไขประตู นางก็หันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง“รถของข้าถอยไปชนกับรถของเจ้างั่งคนหนึ่งเข้าน่ะสิ! พวกเราคงต้องรออีกสักหน่อย!” “คุณชายทั้งสี่..รอผมก่อน!”
ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะพูดจบประโยคดีเสียงร้องตะโกนของหยางจงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง..
“คุณชายทุกท่าน..ผมผิดไปแล้ว!”
“ผมขอยอมรับผิดทุกอย่าง..ผมมีตาแต่กลับไม่มีแวว จึงอยากจะขอเลี้ยงเหล้าคุณชายทั้งสี่เป็นการไถ่โทษจะได้มั๊ยครับ”
ทันทีที่มาถึงหยางจงก็รีบก้มหน้าก้มตาขอโทษหลิงหยุนกับเพื่อนๆทันทีและได้แต่อ้อนวอนขอให้หลิงหยุนยกโทษให้ไม่หยุด แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าหลิงหยุนตรงๆ
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไรและแน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของถังเมิ่ง
“เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว!นายพูดมาเลยว่าจะรับผิดชอบยังไง”
หยางจงกำมือแน่นเพื่อปกปิดซ่อนเร้นความตื่นตระหนกภายในใจและรีบตอบถังเมิ่งไปว่า “ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะให้ผมชดใช้เป็นรถคันใหม่ หรือจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินสด ผมยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง!”
…..
ไม่ถึงสามนาที..เงินจำนวนสามสิบล้านหยวนก็ถูกโอนเข้าไปในบัญชีของถังเมิ่ง!
เซิ่งหยิงหยิงเห็นหยางจงถูกบังคับให้โอนเงินสามสิบล้านภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง..
“หึ..นี่เป็นการเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหาย หรือว่าเป็นการปล้นกันแน่!”
“รถของเจ้าอย่างมากก็สองสามล้านหยวน..”
เซิ่งหยางหยางร้องตะโกนออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้แต่หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ข้าไม่สนว่ารถคันนี้จะราคาเท่าไหร่แต่ในเมื่อมันคือรถของข้า ก็ย่อมมีมูลค่าที่สูง..”
จากนั้นหลิงหยุนก็ปลายหางตาไปทางหยางจงพร้อมพูดกับเซิ่งหยิงหยิงต่อว่า“นับว่าเขายังฉลาดพอที่รีบออกตัวว่าจะรับผิดชอบในเรื่องนี้..”
จากนั้นเซิ่งหยิงหยิงจึงรีบพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. ในเมื่อจบเรื่องแล้วก็รีบไปซานหลี่ถุนกันได้เลย ตอนนี้ข้าหิวมากแล้ว!”
…..
เซิ่งหยิงหยิงยังจำได้ว่าตนรับค่าจ้างจากบริษัท ชิงหยุน โปรดักชั่นให้ไปป่วนบ่อนใต้ดินของแก๊งมังกรเขียวในเมืองจิงฉู จนท้ายที่สุดต้องกลับกลายมาเป็นหนี้หลิงหยุน เซิ่งหยิงหยิงยังจำได้ว่าหลิงหยุนขู่จะตัดมือนางหากไม่ยอมเซ็นสัญญาเงินกู้
เซิ่งหยิงหยิงจึงพอจะคาดเดาได้ว่าหากหยางจงไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายตามที่ถังเมิ่งเรียกร้อง เขาจะต้องมีจุดจบเช่นใด
ทั้งหมดขึ้นนั่งก็ไปนั่งเบียดกันอยู่ในรถMercedes-Benz ที่ท้ายพังยับเยิน แม้เซิ่งหยิงหยิงจะขับรถมาเอง แต่นางก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ และโดยสารไปกับรถของหลิงหยุน “ดูท่าเจ้าคงอยากจะนั่งรถบุบๆไปซานหลี่ถุนสินะ!”
หลิงหยุนเอ่ยถามเซิ่งหยิงหยิงที่นั่งอยู่ข้างๆนางจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พร้อมจะมีเรื่อง “หลิงหยุน.. เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลาที่ผู้หญิงโกรธมากๆ พวกนางจะชอบกัด!”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนรีบเปลี่ยนเรื่องทันที“ที่ซานหลี่ถุนคงจะคึกคักน่าดูสินะ”
เซิ่งหยิงหยิงถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง..
……
ภายในบ่อนคาสิโนของเย่เทียนสุ่ย..
หลังจากที่มั่นใจว่าหลิงหยุนกับเพื่อนๆกลับออกไปแล้วเย่เทียนสุ่ยก็รีบลงมาด้านล่าง และขึ้นไปนั่งบนรถสีดำคันใหญ่พร้อมกับร้องสั่งคนขับรถให้ออกรถทันที
“กลับไปตระกูลเย่!”
รถสีดำคันใหญ่แล่นออกจากบ่อนคาสิโนห้าชั้นไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่มุ่งไปทางตะวันออก
สิบห้านาทีต่อมา..รถสีดำคันใหญ่ของเย่เทียนสุ่ยก็แล่นเข้าสู่ถนนวงแหวนที่ห้า และยังคงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จนกระทั่งเข้าสู่ถนนวงแหวนที่หกจึงได้เลี้ยวไปทางทิศใต้ และผ่านไปอีกเพียงแค่สิบนาที รถของเย่เทียนสุ่ยก็ไปจอดอยู่ที่บ้านขนาดใหญ่โตหลังหนึ่ง..
บ้านหลังใหญ่โตนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองปักกิ่งใกล้กับถนนวงแหวนที่หกหันหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นภูเขาที่มีป่าหนาทึบ นับว่าสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศยิ่งนัก
บ้านขนาดใหญ่ตรงหน้านี้ไม่มีกลิ่นอายของความทันสมัยอยู่เลยแม้แต่น้อยภายในสวนตกแต่งด้วยเก๋งจีนเก่าแก่คล้ายกับสวนโบราณซูวโจว อีกทั้งสถาปัตยกรรมของยบ้านก็ดูราวกับพระราชวังเก่าแก่
แม้ว่าประตูทางเข้าบ้านจะมีขนาดกว้างขวางใหญ่โตแต่กลับไม่มีรูปปั้นสิงห์โตหินอยู่สองข้างประตูดังเช่นคฤหาสน์หรูหราของเหล่าตระกูลใหญ่ แต่กลับเป็นเพียงประตูเก่าแก่ธรรมดาๆเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า..ตระกูลเย่นั้นทำตัวติดดิน และไม่แสดงฐานะที่ยิ่งใหญ่ของตนเลยจริงๆ!
“คุณชายใหญ่..ท่านกลับมาแล้วรึ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้านชายชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นก็เดินถือไปป์สูบยาออกมาเปิดประตูให้ทันที
“ท่านปู่เหลย..ขอโทษที่มารบกวนท่านกลางดึกเช่นนี้!”
เย่เทียนสุ่ยเดินลงมาจากรถคันใหญ่ของตนเองแล้วเดินตรงเข้าไปหาชายชราพร้อมกับโน้มตัวลงพูดคุยด้วยอย่างนอบน้อม และให้เกียรติ
แม้ชายชราผู้นี้จะเป็นเพียงยามเฝ้าหน้าประตูบ้านตระกูลเย่แต่กลับไม่มีสีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนกับท่าทีนอบน้อมของเย่เทียนสุ่ยเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดออกไปว่า
“เข้ามาเถิด..ผู้นำตระกูลกำลังรอท่านอยู่ข้างในแล้ว!”