เสียงร้องตะโกนของนักบวชเลี่ยยื่อเสมือนเสียงสวรรค์!
นั่นเพราะเมื่อครั้งที่พอลโยนร่างของนักบวชเลี่ยยื่อลงกับพื้นนั้นนักบวชเลี่ยหลงเป็นผู้ยืนยันฐานะของนักบวชเลี่ยยื่อด้วยตัวเองว่าเขาคือนักบวชฝ่ายชางจิงกง เวลานี้.. นักบวชเลี่ยยื่อร้องตะโกนออกมาว่าปีศาจภัยแล้งของเขาถูกหลิงหยุนฆ่าตาย ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่านักบวชฝ่ายชางจิงกงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นจริง!
และแน่นอนว่าการที่หลิงหยุนยังไว้ชีวิตนักบวชเลี่ยยื่อมาจนถึงวันนี้ก็เพื่อจะใช้เขาเป็นหลักฐาน และพยานปากสำคัญในการจัดการกับนักบวชฝ่ายชางจิงกงของเขาหลงหู่
“สวรรค์!เป็นความจริงหรือนี่!”
“หากนักบวชฝ่ายชางจิงกงแห่งเขาหลงหู่เลี้ยงปีศาจภัยแล้งจริงไม่เท่ากับว่าเป็นมารไปเสียเองหรอกรึ” “นั่นสิ!เป็นผู้นำในการจัดงานชุมนุมปราบมารในคืนนี้ขึ้น แต่ตนเองกลับเลี้ยงปีศาจภัยแล้วเสียเอง น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
สายตาทุกคู่ที่จ้องมองไปทางเหล่านักบวชจากเขาหลงหู่นั้นล้วนบ่งบอกถึงความรังเกียจและความไม่พอใจ..
ไม่เพียงเหล่าชาวยุทธไม้เลื้อยที่จ้องมองคนของสำนักเขาหลงหู่ด้วยแววตาเช่นนั้นแม้แต่นักพรตเต๋าจากสำนักอื่นๆที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังหันไปมองด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า.. ต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้!
แม้แต่นักบวชของสำนักเขาหลงหู่ด้วยกันเองอย่างฝ่ายเทียนชี่ฝูยังไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป นักบวชฝ่ายเทียนชี่ฝูทั้งสี่คน ได้ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มของนักบวชฝ่ายชางจิงกงทันที!
และเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเวลานี้นักบวชฝ่ายชางจิงกงของเขาหลงหู่ก็ถูกทอดทิ้งให้ยืนเดียวดายอยู่ตามลำพัง!
“ท่านนักบวชเลี่ยหลง..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านต้องมีคำตอบในเรื่องนี้ให้กับเหล่าชาวยุทธ!”
หลี่เจี้ยนกังซึ่งเป็นหัวหน้าของศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองสีหน้าของเขาทั้งบึ้งตึงแล้วก็โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
“เอ่อ..”
ทันทีที่เห็นสภาพทีน่าสังเวชและสยดสยองของนักบวชเลี่ยยื่อความร้อนใจและความโกรธ ทำให้นักบวชเลี่ยหลงต้องการที่จะสังหารหลิงหยุนเพื่อเป็นการแก้แค้นให้ได้โดยเร็ว จึงร้องตะโกนออกไปเช่นนั้น
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกครั้งและทำให้นักบวชฝ่ายชางจิงกงแห่งเขาหลงหู่ถูกทอดทิ้งให้เดียวดายได้เช่นนี้!
ครั้งแรกที่หลิงหยุนป่าวประกาศว่านักบวชเลี่ยยื่อแอบเลี้ยงปีศาจภัยแล้งนั้นนักบวชเลี่ยหลงกำลังจะปฏิเสธและไม่ยอมรับ เพราะปีศาจภัยแล้งก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว จึงเท่ากับไม่มีหลักฐาน แต่กลับเป็นนักบวชเลี่ยยื่อที่ทั้งบ้าและโง่ร้องตะโกนออกไปเช่นนั้น จึงเท่ากับยอมรับความจริงไปอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้!
“ทุกท่าน..ฟังข้าอธิบายก่อน!”
นักบวชเลี่ยหลงก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกับประกาศเสียงดังว่า“ข้ายอมรับว่ามันคือปีศาจภัยแล้งจริงๆ!”
“แต่ปีศาจภัยแล้งนั้นไม่ใช่ปีศาจที่ฝ่ายชางจิงกงของข้ารู้เห็นด้วยเป็นการแอบเลี้ยงของนักบวชเลี่ยยื่อแต่เพียงผู้เดียว”
นักบวชเลี่ยหลงจำเป็นต้องโยนความผิดทั้งหมดให้แก่นักบวชเลี่ยยื่อแต่เพียงผู้เดียวเพื่อรักษาชื่อเสียงของชางจิงกงไว้
“นักบวชเลี่ยยื่อเป็นผู้แอบเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้เรื่องนี้ฝ่ายชางจิงกงไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย หลังจากที่พวกเราค้นพบว่านักบวชเลี่ยยื่อทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ ครั้งนั้นภายในสำนักเขาหลงหู่ก็โกลาหลไม่น้อย และนักบวชคนอื่นๆในสำนักก็มีท่าทีไม่ต่างจากทุกท่านในตอนนี้เลย!”
“ครั้งนั้นทางสำนักเขาหลงหู่ได้เรียกประชุมนักบวชทั้งจากฝ่ายชางจิงกงและเทียนชี่ฝู เพื่อปรึกษาหารือว่าจะลงโทษนักบวชเลี่ยยื่อเช่นใด และครั้งนั้นพวกเราได้ลงความเห็นให้สังหารปีศาจภัยแล้งตนนั้นเสีย แล้วจัดการทำลายวรยุทธของนักบวชเลี่ยยื่อ และขับไล่ออกจากสำนักไป”
“แต่หลังจากที่ลงความเห็นกันเช่นนั้นนักบวชเลี่ยยื่อก็ได้สารภาพถึงเหตุผลที่เขาต้องเลี้ยงปีศาจภัยแล้งตนนี้..”
“นักบวชเลี่ยยื่อสารภาพว่าเขากำลังฝึกฝนวิชาเพื่อจัดการกับผีดิบ วิญญาณชั่วร้าย และปีศาจต่างๆที่เขามักพบเห็นทุกครั้งที่ลงเขาไป การที่เขาเลี้ยงปีศาจภัยแล้งตนนี้ไว้ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังหยางในตัวของมัน หลังจากมันเติบโตจนมีพลังหยางที่บริสุทธิ์แล้ว เขาจะนำพลังหยางในตัวมันมากลั่นเป็นโอสถหยางที่เลื่องชื่อ หลังจากนั้นจะสังหารมันทิ้งเสีย ไม่ปล่อยให้มันเติบโตเป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติแน่!”
“ทุกท่านน่าจะทราบดีถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายชางจิงกงเราอย่าว่าแต่ปีศาจภัยแล้งที่เลี้ยงไว้เลย ต่อให้เป็นปีศาจภัยแล้งที่ฝึกฝนวิชา นักบวชฝ่ายชางจิงกงก็สามารถกำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย..”
“นักบวชเลี่ยยื่อได้ทำการสะกดปีศาจภัยแล้งตนนี้ไว้ตั้งแต่ต้นเขาเพียงแค่ปล่อยให้มันเติบโต แต่ไม่ได้ปล่อยปละละเลยมัน หากเห็นว่ามันจะดื้อดึงจนไม่สามารถควบคุมได้ เขาก็สามารถลงมือสังหารมันได้ในทันที!”
“ด้วยเหตุนี้..พวกเราจึงมั่นใจว่าปีศาจภัยแล้งจะไม่เติบใหญ่จนกลายเป็นปีศาจน่ากลัวได้ อีกทั้งหากสามารถกลั่นโอสถหยางพิสุทธิ์ได้สำเร็จ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อยุทธภพยิ่งนักไม่ใช่หรือ ทุกท่านย่อมรู้ว่าโอสถหยางพิสุทธิ์นี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ!”
“จากคำสารภาพของนักบวชเลี่ยยื่อพวกเราฝ่ายชางจิงกงจึงตัดสินใจให้นักบวชเลี่ยยื่อเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้จนกว่าจะกลั่นโอสถพลังหยางสำเร็จ และไม่ลงโทษเขาดังที่ตกลงกันไว้คราแรก”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้นักบวชเลี่ยหลงก็จ้องมองเหล่าชาวยุทธด้วยแววตาจริงใจ พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า
“สวรรค์เป็นพยานหากคำพูดของข้า – เลี่ยหลงไม่เป็นความจริงแม้เพียงครึ่งคำ ขอให้ตายด้วยอสุนีบาตทันที!”
แม้นักบวชเลี่ยหลงจะโยนความผิดทั้งหมดให้กับนักบวชเลี่ยยื่อแต่เขาก็ไม่กล้าโกหก และคำอธิบายของเขาก็นับว่าได้ผลอย่างดียิ่ง เพราะหลังจากได้ฟังคำอธิบายของนักบวชเลี่ยหลง แม้เหล่าชาวยุทธจะยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ด้วยฐานะของนักบวชฝ่ายชางจิงกง ก็ยากที่ผู้ใดจะเชื่อว่าพวกเขาจะปล่อยให้ปีศาจภัยแล้งเติบใหญ่จนกลายเป็นภัยร้ายแรงของมวลมนุษยชาติได้!
แม้ปีศาจภัยแล้งจะดุร้ายและเป็นภัยมหันต์แต่ก็มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกวรยุทธไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเมื่อมาอยู่ในมือของนักบวชฝ่ายชางจิงกง มันจึงไม่ต่างจากหนูทดลองในห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย!
หลังจากที่หลิงหยุนได้ฟังคำอธิบายของนักบวชเลี่ยหลงเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย เพราะเรื่องนี้นักบวชเลี่ยยื่อเป็นผู้เล่าให้หลิงหยุนฟังเองเมื่อครั้งที่ถูกเขาทรมาน
แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่จุดสำคัญที่หลิงหยุนจะใช้จัดการกับนักบวชฝ่ายชางจิงกง..
หลิงหยุนฟังอยู่นานในที่สุดจึงเอ่ยถามออกไปว่า“ถ้าเช่นนั้น.. ปีศาจภัยแล้งตนนี้ไปปรากฏตัวที่เมืองจิงฉูพร้อมนักบวชเลี่ยยื่อได้อย่างไร”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ของหลิงหยุนนักบวชเลี่ยหลงก็แสยะยิ้มออกมาอย่างมีความสุขทันที เขารีบชี้ไปที่ไป๋เซียนเอ๋อพร้อมกับป่าวประกาศเสียงดังว่า
“ทุกท่าน..เด็กสาวผู้นั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ มันคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง!” “ห๊ะ!”
คำพูดของนักบวชเลี่ยหลงทำให้เหล่าชาวยุทธในที่นั้นถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกันแต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะหวาดกลัวหลิงหยุน..
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตนนี้เป็นปีศาจสำนักเขาหลงหู่ของเราต้องการที่จะกำจัดมัน แต่มันกลับหนีรอดไปได้ และหนีไปทางเมืองจิงฉู”
“นักบวชเลี่ยยื่อจึงได้ลงเขาไปและหลังจากที่ติดตามกลิ่นอายปีศาจของมันไป ก็พบว่าปีศาจจิ้งจอกตนนี้ได้หลบซ่อนอยู่ในบ้านของหลิงหยุน เขาจึงเข้าไปที่บ้านของหลิงหยุนเพื่อสังหารปีศาจตนนี้ยังไงเล่า!”
นักบวชเลี่ยหลงทำให้นักบวชเลี่ยยื่อหลุดจากข้อกล่าวหาเรื่องเลี้ยงปีศาจภัยแล้งได้และผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ไป๋เซียนเอ๋อแทน
“สวรรค์!จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจริงๆหรือนี่” “สายเลือดปีศาจ!”
“นี่มัน..”
ทุกคนต่างก็หันมองไปทางไป๋เซียนเอ๋อเป็นตาเดียวแต่ไป๋เซียนเอ๋อปิดบังกลิ่นอายปีศาจของตนเองไว้ได้อย่างมิดชิด ทุกคนจึงเห็นเพียงแค่เด็กสาวที่มีรูปลักษณ์ภายนอกงดงามคนหนึ่งเท่านั้น..
เวลานี้เหล่าชาวยุทธในที่นี้ต่างก็พากันตกใจครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เรื่องที่นักบวชฝ่ายชางจิงกงเลี้ยงปีศาจภัยแล้ง จนมาถึงเรื่องของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง เหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ จะไม่ให้ทุกคนตกใจอย่างที่สุดได้อย่างไรกันเล่า
“ถูกต้อง..ไป๋เซียนเอ๋อเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจริงๆ แต่นางไม่ใช่ปีศาจ นางเพียงแค่มีสายเลือดอสูรในตัว และสามารถเปิดจิตหยั่งรู้ได้ แต่เหตุใดพวกเจ้าต้องสังหารนางด้วยเล่า? นางหาเรื่องสำนักเขาหลงหู่ของเจ้างั้นรึ? หรือนางขโมยโอสถของพวกเจ้าไป? หรือนางเข่นฆ่ามนุษย์งั้นรึ?” หลิงหยุนตอบโต้นักบวชเลี่ยหลงกลับไปทันทีและจุดประสงค์ที่เขาต้องการจัดการกับสำนักเขาหลงหู่ ก็เพื่อแก้แค้นและทวงคืนความยุติธรรมให้กับไป๋เซียนเอ๋อนั่นเอง!
“หึ!ทีพวกเจ้ายังสามารถเลี้ยงปีศาจภัยแล้งที่ดุร้ายได้ แต่กับจิ้งจอกที่ไม่ใช่ปีศาจ ไม่มีพิษมีภัยต่อมนุษย์ เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องสังหารมันด้วยเล่า”
“หรือมีเพียงพวกเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดว่าสิ่งใดเป็นปีศาจ และสิ่งใดสมควรต้องถูกฆ่าเท่านั้นรึ”
หลิงหยุนกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้กับไป๋เซียนเอ๋อ..
“เอ่อ..เรื่องนั้น..”
เวลานี้นักบวชเลี่ยหลงเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหกแล้วซึ่งเทียบเท่ากับขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ความจริงเขาต้องเข้ารับทัณฑ์สวรรค์แล้วเพียงแต่สามารถปกปิดซ่อนเร้นสวรรค์ไว้ได้ เขาจึงไม่กล้าที่จะพูดโกหก เพราะเกรงอาญาสวรรค์! ไป๋เซียนเอ๋อไม่ได้เข่นฆ่ามนุษย์และไม่เคยสร้างปัญหาให้กับสำนักเขาหลงหู่เลยแม้แต่น้อย..
“เลี่ยหลง..ความจริงข้าเองก็คร้านที่จะประมือกับเจ้า แต่หากเข้าไม่สามารถตอบคำถามของข้าได้ว่า เพราะเหตุใดจึงต้องสังหารไป๋เซียนเอ๋อแล้วล่ะก็ ข้าจะคิดบัญชีกับนักบวชฝ่ายชางจิงกงแน่!”
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา..
นั่นเพราะเมื่อครั้งที่พอลโยนร่างของนักบวชเลี่ยยื่อลงกับพื้นนั้นนักบวชเลี่ยหลงเป็นผู้ยืนยันฐานะของนักบวชเลี่ยยื่อด้วยตัวเองว่าเขาคือนักบวชฝ่ายชางจิงกง เวลานี้.. นักบวชเลี่ยยื่อร้องตะโกนออกมาว่าปีศาจภัยแล้งของเขาถูกหลิงหยุนฆ่าตาย ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่านักบวชฝ่ายชางจิงกงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นจริง!
และแน่นอนว่าการที่หลิงหยุนยังไว้ชีวิตนักบวชเลี่ยยื่อมาจนถึงวันนี้ก็เพื่อจะใช้เขาเป็นหลักฐาน และพยานปากสำคัญในการจัดการกับนักบวชฝ่ายชางจิงกงของเขาหลงหู่
“สวรรค์!เป็นความจริงหรือนี่!”
“หากนักบวชฝ่ายชางจิงกงแห่งเขาหลงหู่เลี้ยงปีศาจภัยแล้งจริงไม่เท่ากับว่าเป็นมารไปเสียเองหรอกรึ” “นั่นสิ!เป็นผู้นำในการจัดงานชุมนุมปราบมารในคืนนี้ขึ้น แต่ตนเองกลับเลี้ยงปีศาจภัยแล้วเสียเอง น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
สายตาทุกคู่ที่จ้องมองไปทางเหล่านักบวชจากเขาหลงหู่นั้นล้วนบ่งบอกถึงความรังเกียจและความไม่พอใจ..
ไม่เพียงเหล่าชาวยุทธไม้เลื้อยที่จ้องมองคนของสำนักเขาหลงหู่ด้วยแววตาเช่นนั้นแม้แต่นักพรตเต๋าจากสำนักอื่นๆที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังหันไปมองด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า.. ต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้!
แม้แต่นักบวชของสำนักเขาหลงหู่ด้วยกันเองอย่างฝ่ายเทียนชี่ฝูยังไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป นักบวชฝ่ายเทียนชี่ฝูทั้งสี่คน ได้ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มของนักบวชฝ่ายชางจิงกงทันที!
และเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเวลานี้นักบวชฝ่ายชางจิงกงของเขาหลงหู่ก็ถูกทอดทิ้งให้ยืนเดียวดายอยู่ตามลำพัง!
“ท่านนักบวชเลี่ยหลง..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านต้องมีคำตอบในเรื่องนี้ให้กับเหล่าชาวยุทธ!”
หลี่เจี้ยนกังซึ่งเป็นหัวหน้าของศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองสีหน้าของเขาทั้งบึ้งตึงแล้วก็โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
“เอ่อ..”
ทันทีที่เห็นสภาพทีน่าสังเวชและสยดสยองของนักบวชเลี่ยยื่อความร้อนใจและความโกรธ ทำให้นักบวชเลี่ยหลงต้องการที่จะสังหารหลิงหยุนเพื่อเป็นการแก้แค้นให้ได้โดยเร็ว จึงร้องตะโกนออกไปเช่นนั้น
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกครั้งและทำให้นักบวชฝ่ายชางจิงกงแห่งเขาหลงหู่ถูกทอดทิ้งให้เดียวดายได้เช่นนี้!
ครั้งแรกที่หลิงหยุนป่าวประกาศว่านักบวชเลี่ยยื่อแอบเลี้ยงปีศาจภัยแล้งนั้นนักบวชเลี่ยหลงกำลังจะปฏิเสธและไม่ยอมรับ เพราะปีศาจภัยแล้งก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว จึงเท่ากับไม่มีหลักฐาน แต่กลับเป็นนักบวชเลี่ยยื่อที่ทั้งบ้าและโง่ร้องตะโกนออกไปเช่นนั้น จึงเท่ากับยอมรับความจริงไปอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้!
“ทุกท่าน..ฟังข้าอธิบายก่อน!”
นักบวชเลี่ยหลงก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกับประกาศเสียงดังว่า“ข้ายอมรับว่ามันคือปีศาจภัยแล้งจริงๆ!”
“แต่ปีศาจภัยแล้งนั้นไม่ใช่ปีศาจที่ฝ่ายชางจิงกงของข้ารู้เห็นด้วยเป็นการแอบเลี้ยงของนักบวชเลี่ยยื่อแต่เพียงผู้เดียว”
นักบวชเลี่ยหลงจำเป็นต้องโยนความผิดทั้งหมดให้แก่นักบวชเลี่ยยื่อแต่เพียงผู้เดียวเพื่อรักษาชื่อเสียงของชางจิงกงไว้
“นักบวชเลี่ยยื่อเป็นผู้แอบเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้เรื่องนี้ฝ่ายชางจิงกงไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย หลังจากที่พวกเราค้นพบว่านักบวชเลี่ยยื่อทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ ครั้งนั้นภายในสำนักเขาหลงหู่ก็โกลาหลไม่น้อย และนักบวชคนอื่นๆในสำนักก็มีท่าทีไม่ต่างจากทุกท่านในตอนนี้เลย!”
“ครั้งนั้นทางสำนักเขาหลงหู่ได้เรียกประชุมนักบวชทั้งจากฝ่ายชางจิงกงและเทียนชี่ฝู เพื่อปรึกษาหารือว่าจะลงโทษนักบวชเลี่ยยื่อเช่นใด และครั้งนั้นพวกเราได้ลงความเห็นให้สังหารปีศาจภัยแล้งตนนั้นเสีย แล้วจัดการทำลายวรยุทธของนักบวชเลี่ยยื่อ และขับไล่ออกจากสำนักไป”
“แต่หลังจากที่ลงความเห็นกันเช่นนั้นนักบวชเลี่ยยื่อก็ได้สารภาพถึงเหตุผลที่เขาต้องเลี้ยงปีศาจภัยแล้งตนนี้..”
“นักบวชเลี่ยยื่อสารภาพว่าเขากำลังฝึกฝนวิชาเพื่อจัดการกับผีดิบ วิญญาณชั่วร้าย และปีศาจต่างๆที่เขามักพบเห็นทุกครั้งที่ลงเขาไป การที่เขาเลี้ยงปีศาจภัยแล้งตนนี้ไว้ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังหยางในตัวของมัน หลังจากมันเติบโตจนมีพลังหยางที่บริสุทธิ์แล้ว เขาจะนำพลังหยางในตัวมันมากลั่นเป็นโอสถหยางที่เลื่องชื่อ หลังจากนั้นจะสังหารมันทิ้งเสีย ไม่ปล่อยให้มันเติบโตเป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติแน่!”
“ทุกท่านน่าจะทราบดีถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายชางจิงกงเราอย่าว่าแต่ปีศาจภัยแล้งที่เลี้ยงไว้เลย ต่อให้เป็นปีศาจภัยแล้งที่ฝึกฝนวิชา นักบวชฝ่ายชางจิงกงก็สามารถกำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย..”
“นักบวชเลี่ยยื่อได้ทำการสะกดปีศาจภัยแล้งตนนี้ไว้ตั้งแต่ต้นเขาเพียงแค่ปล่อยให้มันเติบโต แต่ไม่ได้ปล่อยปละละเลยมัน หากเห็นว่ามันจะดื้อดึงจนไม่สามารถควบคุมได้ เขาก็สามารถลงมือสังหารมันได้ในทันที!”
“ด้วยเหตุนี้..พวกเราจึงมั่นใจว่าปีศาจภัยแล้งจะไม่เติบใหญ่จนกลายเป็นปีศาจน่ากลัวได้ อีกทั้งหากสามารถกลั่นโอสถหยางพิสุทธิ์ได้สำเร็จ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อยุทธภพยิ่งนักไม่ใช่หรือ ทุกท่านย่อมรู้ว่าโอสถหยางพิสุทธิ์นี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ!”
“จากคำสารภาพของนักบวชเลี่ยยื่อพวกเราฝ่ายชางจิงกงจึงตัดสินใจให้นักบวชเลี่ยยื่อเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้จนกว่าจะกลั่นโอสถพลังหยางสำเร็จ และไม่ลงโทษเขาดังที่ตกลงกันไว้คราแรก”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้นักบวชเลี่ยหลงก็จ้องมองเหล่าชาวยุทธด้วยแววตาจริงใจ พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า
“สวรรค์เป็นพยานหากคำพูดของข้า – เลี่ยหลงไม่เป็นความจริงแม้เพียงครึ่งคำ ขอให้ตายด้วยอสุนีบาตทันที!”
แม้นักบวชเลี่ยหลงจะโยนความผิดทั้งหมดให้กับนักบวชเลี่ยยื่อแต่เขาก็ไม่กล้าโกหก และคำอธิบายของเขาก็นับว่าได้ผลอย่างดียิ่ง เพราะหลังจากได้ฟังคำอธิบายของนักบวชเลี่ยหลง แม้เหล่าชาวยุทธจะยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ด้วยฐานะของนักบวชฝ่ายชางจิงกง ก็ยากที่ผู้ใดจะเชื่อว่าพวกเขาจะปล่อยให้ปีศาจภัยแล้งเติบใหญ่จนกลายเป็นภัยร้ายแรงของมวลมนุษยชาติได้!
แม้ปีศาจภัยแล้งจะดุร้ายและเป็นภัยมหันต์แต่ก็มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกวรยุทธไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเมื่อมาอยู่ในมือของนักบวชฝ่ายชางจิงกง มันจึงไม่ต่างจากหนูทดลองในห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย!
หลังจากที่หลิงหยุนได้ฟังคำอธิบายของนักบวชเลี่ยหลงเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย เพราะเรื่องนี้นักบวชเลี่ยยื่อเป็นผู้เล่าให้หลิงหยุนฟังเองเมื่อครั้งที่ถูกเขาทรมาน
แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่จุดสำคัญที่หลิงหยุนจะใช้จัดการกับนักบวชฝ่ายชางจิงกง..
หลิงหยุนฟังอยู่นานในที่สุดจึงเอ่ยถามออกไปว่า“ถ้าเช่นนั้น.. ปีศาจภัยแล้งตนนี้ไปปรากฏตัวที่เมืองจิงฉูพร้อมนักบวชเลี่ยยื่อได้อย่างไร”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ของหลิงหยุนนักบวชเลี่ยหลงก็แสยะยิ้มออกมาอย่างมีความสุขทันที เขารีบชี้ไปที่ไป๋เซียนเอ๋อพร้อมกับป่าวประกาศเสียงดังว่า
“ทุกท่าน..เด็กสาวผู้นั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ มันคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง!” “ห๊ะ!”
คำพูดของนักบวชเลี่ยหลงทำให้เหล่าชาวยุทธในที่นั้นถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกันแต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะหวาดกลัวหลิงหยุน..
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตนนี้เป็นปีศาจสำนักเขาหลงหู่ของเราต้องการที่จะกำจัดมัน แต่มันกลับหนีรอดไปได้ และหนีไปทางเมืองจิงฉู”
“นักบวชเลี่ยยื่อจึงได้ลงเขาไปและหลังจากที่ติดตามกลิ่นอายปีศาจของมันไป ก็พบว่าปีศาจจิ้งจอกตนนี้ได้หลบซ่อนอยู่ในบ้านของหลิงหยุน เขาจึงเข้าไปที่บ้านของหลิงหยุนเพื่อสังหารปีศาจตนนี้ยังไงเล่า!”
นักบวชเลี่ยหลงทำให้นักบวชเลี่ยยื่อหลุดจากข้อกล่าวหาเรื่องเลี้ยงปีศาจภัยแล้งได้และผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ไป๋เซียนเอ๋อแทน
“สวรรค์!จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจริงๆหรือนี่” “สายเลือดปีศาจ!”
“นี่มัน..”
ทุกคนต่างก็หันมองไปทางไป๋เซียนเอ๋อเป็นตาเดียวแต่ไป๋เซียนเอ๋อปิดบังกลิ่นอายปีศาจของตนเองไว้ได้อย่างมิดชิด ทุกคนจึงเห็นเพียงแค่เด็กสาวที่มีรูปลักษณ์ภายนอกงดงามคนหนึ่งเท่านั้น..
เวลานี้เหล่าชาวยุทธในที่นี้ต่างก็พากันตกใจครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เรื่องที่นักบวชฝ่ายชางจิงกงเลี้ยงปีศาจภัยแล้ง จนมาถึงเรื่องของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง เหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ จะไม่ให้ทุกคนตกใจอย่างที่สุดได้อย่างไรกันเล่า
“ถูกต้อง..ไป๋เซียนเอ๋อเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจริงๆ แต่นางไม่ใช่ปีศาจ นางเพียงแค่มีสายเลือดอสูรในตัว และสามารถเปิดจิตหยั่งรู้ได้ แต่เหตุใดพวกเจ้าต้องสังหารนางด้วยเล่า? นางหาเรื่องสำนักเขาหลงหู่ของเจ้างั้นรึ? หรือนางขโมยโอสถของพวกเจ้าไป? หรือนางเข่นฆ่ามนุษย์งั้นรึ?” หลิงหยุนตอบโต้นักบวชเลี่ยหลงกลับไปทันทีและจุดประสงค์ที่เขาต้องการจัดการกับสำนักเขาหลงหู่ ก็เพื่อแก้แค้นและทวงคืนความยุติธรรมให้กับไป๋เซียนเอ๋อนั่นเอง!
“หึ!ทีพวกเจ้ายังสามารถเลี้ยงปีศาจภัยแล้งที่ดุร้ายได้ แต่กับจิ้งจอกที่ไม่ใช่ปีศาจ ไม่มีพิษมีภัยต่อมนุษย์ เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องสังหารมันด้วยเล่า”
“หรือมีเพียงพวกเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดว่าสิ่งใดเป็นปีศาจ และสิ่งใดสมควรต้องถูกฆ่าเท่านั้นรึ”
หลิงหยุนกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้กับไป๋เซียนเอ๋อ..
“เอ่อ..เรื่องนั้น..”
เวลานี้นักบวชเลี่ยหลงเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหกแล้วซึ่งเทียบเท่ากับขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ความจริงเขาต้องเข้ารับทัณฑ์สวรรค์แล้วเพียงแต่สามารถปกปิดซ่อนเร้นสวรรค์ไว้ได้ เขาจึงไม่กล้าที่จะพูดโกหก เพราะเกรงอาญาสวรรค์! ไป๋เซียนเอ๋อไม่ได้เข่นฆ่ามนุษย์และไม่เคยสร้างปัญหาให้กับสำนักเขาหลงหู่เลยแม้แต่น้อย..
“เลี่ยหลง..ความจริงข้าเองก็คร้านที่จะประมือกับเจ้า แต่หากเข้าไม่สามารถตอบคำถามของข้าได้ว่า เพราะเหตุใดจึงต้องสังหารไป๋เซียนเอ๋อแล้วล่ะก็ ข้าจะคิดบัญชีกับนักบวชฝ่ายชางจิงกงแน่!”
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา..