DC บทที่ 301: พบโดยไม่คาดคิด
เสียงครวญครางจากเกวียนของซูหยางแทรกผ่านผนังบางๆและยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนนับตั้งแต่ผู้อาวุโสนิกายไปจนถึงศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันฟังเสียงนั้นด้วยสีหน้าแดง รู้สึกอับอายจากเพียงแค่เสียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์รุ่นเยาว์ในเมื่อสีหน้าของพวกเขาแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ
“อาาาาา”
“เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่หญิงซุน…”
ศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งพูดหลังจากที่ได้ยินเสียงของเธอ
“อาาาาาาาา”
“อา นั่นต้องเป็นศิษย์พี่หญิงฟาง”
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มเดาว่าใครที่เป็นคนร้องเพื่อรักษาบรรยากาศให้รู้สึกอึดอัดน้อยลง
“น่าอิจฉานัก…ข้าเองก็ต้องการฝึกร่วมกับศิษย์พี่ชาย…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… เจ้ายังเหลือเวลาอีกตั้งปีผ่าน”
“ข้าจักเป็นผู้ใหญ่ในอีกสามเดือน ข้าอดรอมอบแก่นพลังหยินของข้าให้ศิษย์พี่ชายไม่ไหว”
ศิษย์รุ่นเยาว์ชายที่โชคร้ายพอที่จะได้ยินคำพูดเหล่านี้ต่างพากันถอนใจ ถ้าเพียงพวกเขาได้รับความชื่นชมสักครึ่งหนึ่งของซูหยาง พวกเขาคงรายล้อมไปด้วยเหล่าศิษย์หญิงเช่นเดียวกัน
ในเวลานั้น ภายในเกวียนคันแรก
“พอแล้ว ข้าจักมิยอมนั่งอยู่ที่นี่และทนทรมานต่อไปอีกเจ็ดวัน” ผู้อาวุโสซุนยืนขึ้นและเตรียมตัวที่จะเปิดประตูเกวียน
อย่างไรก็ตามเพียงแค่เขาเปิดประตู เสียงครวญครางทั้งหมดจากเกวียนของซูหยางที่ออกมาก็พลันหยุดชะงักไป
“ม-มันหยุดไปแล้วรึ”
ผู้อาวุโสซุนมีท่าทางชะงักค้าง รู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตามแผนต่อไปในเวลานี้หรือไม่
หลังจากที่รออยู่อีกชั่วขณะและมั่นใจว่าเสียงครวญครางได้หยุดชะงักไปแล้วอย่างแท้จริง ผู้อาวุโสซุนก็ปิดประตูและกลับลงไปนั่งด้วยสีหน้ามืดหม่น
“พวกเขาเสร็จกันแล้วรึ ไม่น่าเป็นไปได้… มันเร็วเกินไป…”
โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ นั่นยังไม่ถึงห้านาทีเสียด้วยซ้ำนับตั้งแต่การครวญครางได้เริ่มขึ้น และพวกเขาก็เสร็จสิ้นกันหมดแล้วหรือ นั่นเร็วเกินไปไม่ว่าเธอจะพิจารณาอย่างไร
อย่างไรก็ตามเธอจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าซูหยางเพียงหยอกล้อพวกเขาโดยเจตนาโดยการปล่อยให้พวกเขาได้ยินเสียงคราง เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงครางอีกต่อไปนั้นไม่มีอะไรมาก ก็เพราะว่าซูหยางได้ล้อมเกวียนไว้ด้วยค่ายกลกักเสียง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การกระทำภายในเกวียนของเขาไม่ได้หยุดยั้งและก็เพียงเงียบไปเท่านั้น
“เสียงครางหยุดแล้ว…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างยังคงสงสัยว่าทำไมเสียงครางจึงพลันหยุดลงไป แต่ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขากล้าที่จะออกจากเกวียนเพื่อไปพิสูจน์ว่าทำไม
การเดินทางไม่ถึงกับรู้สึกว่าทนไม่ได้อีกต่อไปเมื่อบรรยากาศเงียบสงบกลับคืนมา และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สี่วันหลังจากนั้นประตูเกวียนซูหยางก็พลันเปิดออก
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็กระโดดออกมาจากเกวียนและร่อนลงบนเกวียนคันที่สามที่ซึ่งผู้เข้าร่วมแข่งขันที่เหลือนั่งอยู่ภายใน
“ศ-ศิษย์พี่ชาย”
เมื่อศิษย์จากเกวียนคันที่สามเห็นท่าทางของเขาดวงตาของพวกเธอก็เปิดกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่” หนึ่งในนั้นถาม
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้ามิได้คิดว่าข้าลืมพวกสาวเจ้าไปเสียแล้ว”
เหล่าศิษย์พลันเข้าใจคำพูดของเขาและสถานการณ์ในทันที และพวกเธอก็เริ่มหน้าแดง
“เช่นนั้น พวกสาวเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
บรรดาศิษย์ต่างสบสายตากันชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี…”
ซูหยางเข้าไปในเกวียนของพวกเธอและทำการถอดเสื้อผ้าของเขาอีกครั้ง
“อาาาา”
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงครวญครางแว่วหวานของเหล่าศิษย์ก็แทรกผ่านผนังบางๆของเกวียนออกมา ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดที่อยู่มานานถึงสี่วันในทันที
“ข-เขาทำทำแบบนั้นอีกแล้ว และกระทั่งยังเปลี่ยนเกวียนอีกด้วย”
“โอ้สวรรค์ ความทนทานของชายคนนี้มีมากแค่ไหนกัน เขาเป็นสัตว์ประหลาดสุดพิสดาร”
ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ตกใจไปกับการกระทำของเขาแต่กับความทนทานที่ดูเหมือนไม่หมดสิ้นของเขาแทน แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรมาเป็นเวลาหลายวัน ผู้อาวุโสนิกายเหล่านี้ล้วนมั่นใจว่าซูหยางได้ร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์อยู่ภายในนั้น ในเมื่อเกวียนเหวี่ยงไปมาด้วยท่าทางแปลกๆไม่เป็นธรรมชาติ
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ก็ยังคงหวาดหวั่นไปกับความปรารถนาในการฝึกฝนของซูหยาง เหมือนกับว่าเขาเป็นศูนย์รวมแห่งความสุขสันต์
“มิเพียงแต่เขามีพละกำลังแต่กลเม็ดของเขาก็ยังคงสุดยอด เขาเป็นศิษย์ในอุดมคติสำหรับนิกายที่เน้นด้านการฝึกวิชาคู่”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายชื่นชมเขาราวกับว่าเขาเป็นทรัพย์ล้ำค่า
“ใช่แล้ว… และในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเรา ข้าอดมิได้ที่จะรู้สึกมีโชคดี”
“โชคดีรึ เฮ้อ…” โหลวหลานจีแอบถอนใจ
หลังจากที่ถูกบีบให้ฟังเสียงครวญครางที่ดังไม่หยุดหย่อนจากเกวียนลำที่สามต่อไปอีกสองสามนาที มันก็หยุดชะงักไปอีกครั้ง
“มันหยุดไปอีกแล้ว…”
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันสงสัยกับเหตุการณ์ผิดปกตินี้ พวกเขาไม่มีใครเชื่อว่าซูหยางจะเสร็จสิ้นการฝึกคู่ของตนเองภายในไม่กี่นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อที่นั่นมีหญิงมากกว่าหนึ่งในเกวียนคันนั้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจอธิบายความเงียบที่เกิดขึ้นนี้ได้
–
–
–
สามวันหลังจากนั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปใกล้กับเมืองหิมะร่วง พวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นเกวียนจากหลากหลายกองกำลังเคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกัน
“ดูทางนั้นสิ นั่นเป็นตำหนักอินทรีโลหิต”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายสังเกตเห็นธงสีดำที่มีรูปหัวอินทรีสีแดงอยู่ตั้งแต่ไกล
“น-นั่นเป็นสำนักหมัดใต้ใช่ไหมที่ตามมาด้านหลังพวกเขา”
โหลวหลานจีส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเพียงแค่สถานที่ธรรมดาเหล่านี้เพียงพอให้พวกท่านตื่นเต้น ก็จงรอจนกระทั่งเห็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงของยุทธภพ”
อย่างไรก็ตามนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้แสดงสัญลักษณ์ของนิกายบนธงเช่นเดียวกับสำนักอื่นเพื่อถ่อมตัว ในเมื่อโหลวหลานจีกลัวที่จะดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์ก่อนที่กิจกรรมแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้น
“ด-ด-ด-ด-ดูนั่น ธ-ธงนั่น”
น่าประหลาดใจที่เป็นผู้อาวุโสซุนที่ส่งเสียงขึ้นมาในคราวนี้
ด้วยความประหลาดใจว่าอะไรที่สร้างความตระหนกให้กับผู้อาวุโสซุนมากมายเช่นนี้จนถึงกับส่งเสียงออกมา โหลวหลานจีและคนอื่นๆต่างหันไปมองยังทิศทางที่ผู้อาวุโสซุนได้ชี้ไป
“น-นั่น…”
กระทั่งโหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะลืมตากว้างเมื่อเธอสังเกตเห็นเหล่าเกวียนจากระยะไกลที่มีรูปงูที่น่ากลัวอยู่บนธงของพวกเขา
“นิกายล้านอสรพิษ”
โหลวหลานจีเริ่มหายใจหนัก สีหน้าเธอซีดเผือด แม้ว่าเธอได้เตรียมตัวที่จะประจันหน้ากับพวกเขาระหว่างการแข่งขันระดับภูมิภาค เธอก็ไม่คาดคิดที่จะพบกับพวกเขาเร็วปานนี้