DC บทที่ 305: ห้ามเข้า
หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นเริ่มติดตามด้านหลังนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็กลับมาเป็นศูนย์กลางความสนใจอีกครั้ง
“คนเหล่านี้ที่ตามหลังนิกายดอกบัวเพลิงเป็นใครกัน”
ผู้คนด้านนอกเมืองหิมะร่วงกระซิบกระซาบกัน
“ข้ามิเคยเห็นชุดของพวกเขามาก่อน…”
“ข้าก็มิเคยเช่นกัน…”
“ทำไมถึงมิมีใครในที่นี้จดจำกลุ่มคนที่โดดเด่นเช่นนั้นได้เช่นเดียวกับข้า…”
“มิว่าพวกนั้นเป็นใคร หากสามารถได้รับการสนับสนุนจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาต้องมีความสัมพันธ์พิเศษกันแน่”
ในเวลานั้นภายในเกวียนคันหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง ผู้อาวุโสสูงสุดหานกำลังขมวดคิ้ว
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาทำอะไรที่นี่กัน พวกเขาคงมิเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อชมดูการแข่งขัน ใช่ไหม หรือว่าพวกเขาวางแผนที่จะเข้าร่วมเช่นกัน”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานครุ่นคิดในใจ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเขาไม่เชื่อว่าผู้ที่ทรงอำนาจอย่างเช่นซูหยางจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่าว่าแต่มีอายุเข้าเกณฑ์ของการแข่งขัน เขาไม่กังวลว่านิกายดอกบัวเพลิงอาจจะต้องปะทะกับซูหยางระหว่างการแข่งขันแม้แต่น้อย
ถ้าจะกล่าวไปแล้วเขาพบว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายที่นี่นั้นแปลกประหลาดมาก มองดูจำนวนคนในกลุ่มของอีกฝ่ายในปัจจุบัน นั่นควรจะถือได้ว่าเกือบทั้งหมดของประชากรของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มีคุณสมบัติที่พอจะถือได้ว่าเป็นสำนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าศิษย์สาวสวยเก้าที่ตรงหน้านั้นจะเป็นผู้ที่เข้าร่วม ในเมื่อพวกเธอเป็นเพียงพวกเดียวในกลุ่มที่เข้าเกณฑ์ อย่างไรก็ตามนี่ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งสับสนยิ่งขึ้นในเมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคต้องการสมาชิกสิบคน
“บางทีพวกเขามาที่นี่เพียงเพื่อดูการแข่งขันเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสหานตัดสินใจที่จะไม่คิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบเท่าที่นีิกายดอกบัวเพลิงไม่ต้องพบเจอกับซูหยาง ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับแผนการของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ข้าพอจะดูบัตรประจำตัวของท่านหน่อยได้ไหม”
ยามคนหนึ่งตรงทางเข้าถามเมื่อนิกายดอกบัวเพลิงเข้าไปถึง
ไม่นานนักนิกายดอกบัวเพลิงก็แสดงเหรียญทองที่มีชื่อสกุล “ซี” สลักติดตรงกลาง
“ขอบคุณท่านแขกผู้ทรงเกียรติ”
ยามไม่ถามคำถามอื่นอีกต่อไปเพียงเปิดประตูใหญ่ให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในประตูใหญ่ คนจากนิกายดอกบัวเพลิงก็ออกจากเกวียนเมื่อพวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะนั่งเกวียนเข้าไปในเมือง
“…”
เมื่อเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายออกมาจากเกวียนและสังเกตเห็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยาง สีหน้าของพวกเขาก็พลันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แย่ไปกว่านั้นความทรงจำของพวกเขาจากความปั่นป่วนที่อีกฝ่ายเป็นต้นเหตุในสถานที่ของพวกเขานั้นพลันปรากฏขึ้นมาอีก
เพราะว่าพวกเขาได้อยู่แต่ในเกวียนมาโดยตลอดและหวังชูเหรินไม่ได้อธิบายสถานการณ์ให้กับพวกเขา คนเหล่านี้จึงไม่รู้แม้แต่น้อยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ตามติดด้านหลังพวกเขามาโดยตลอด
“ใจเย็นๆ เขามิทำร้ายเจ้าหรอก…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนหลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางแข็งทื่อของพวกเขา “จริงแล้วเพียงแค่อย่าสนใจเขา…”
เหล่าศิษย์ไม่ได้ตอบสนองแม้ว่าหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะสามารถเพิกเฉยตัวตนอันยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขาได้หรือไม่
“พวกเจ้ายืนอยู่ที่นี่ทำอะไรกัน รีบเร็วเข้า เรายังต้องไปพบกับผู้นำนิกายและคนอื่นๆอีก”
หวังชูเหรินซึ่งอยู่ด้านในเมืองเรียบร้อยแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง
“ด-เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
ทันทีที่นิกายดอกบัวเพลิงผ่านเข้าไปในประตู นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตามพวกเขามาจากทางด้านหลัง
อย่างไรก็ตามดังที่คนคาดคิดไว้ พวกเขาพลันถูกหยุดยั้งลงด้วยยามในทันที
“ข้าพอจะดูบัตรประจำตัวของท่านหน่อยได้ไหม”
“พวกเขามากับข้า” หวังชูเหรินกล่าวเมื่อเธอเห็นเช่นนั้น
“ถ้าพวกเขามิมีบัตรประจำตัวอะไร ต่อให้เขาเป็นเพื่อนของท่าน ข้าก็เกรงว่าข้ามิอาจจะยอมให้พวกเขาผ่านเข้าไปเช่นนี้ได้ ในเมื่อนี่เป็นกฏที่ตั้งขึ้นไว้โดยท่านเจ้าเมืองของเมืองนี้”
หวังชูเหรินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้าเมืองของที่แห่งนี้คือตระกูลซีใช่ไหม ถ้าตระกูลซีให้สิทธิพวกเราในการเข้า ทำไมพวกเขาซึ่งมากับข้าจึงเข้าไม่ได้ด้วย เรามาที่นี่ด้วยกัน เข้าใจไหม”
นี่ย่อมเป็นการตบหน้าหวังชูเหรินอย่างแรงถ้าพวกเขาไม่ยอมให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าหลังจากที่เธอได้พูดกับพวกเขาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามที่แย่ที่สุดสำหรับเรื่องนี้ทั้งหมดก็คือเธอจะต้องได้รับความอับอายต่อหน้าซูหยาง บางอย่างที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง
“นอกจากว่าพวกเขามีบัตรแสดงตัว มิเช่นนั้นพวกเขาต้องจ่ายภาษีและรอในแถวเหมือนกับคนอื่นๆ”
ยามยังคงไม่หวั่นไหว
“…”
โหลวหลานจีย่อมไม่พอใจกับสถานการณ์นี้เช่นกัน ถ้าพวกเขาต้องกลับไปที่แถวในตอนนี้ พวกเขาต้องกลับไปที่ท้ายสุดของแถว เสียเวลาพวกเขาไปอีกหลายชั่วโมง
“ข้าน่าจะรู้ว่าเราควรจะเลิกสนใจข้อเสนอของเธอและอยู่ในแถว” เธอบ่นในใจ
ขณะที่หวังชูเหรินและยามเริ่มโต้เถียงกันและกันเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นต่อไปอีกหลายนาที ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นอีกครั้งด้านหลังของพวกเขา
“นั่นอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
“โอพระเจ้าของข้า ข้ามิคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นพวกเขาใกล้ชิดเพียงนี้ในชีวิต”
ผู้คนต่างพากันโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศที่กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้
“อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รึ”
ซูหยางเลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อนี้ เมื่อฟังดูรู้สึกคุ้นเคย
ไม่นานหลังจากนั้น เกวียนสีขาวสองคันที่มีกรอบเป็นสีทองก็มาถึงประตู
อย่างไรก็ตามเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงอยู่ที่ปากทางเข้า อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จึงต้องหยุดชะงักอยู่เบื้องหลังพวกเขา
“มิว่าอย่างไร ข้าก็จักมิย้ายไปจากจุดนี้จนกว่าเจ้าจะปล่อยให้พวกเขาเข้าไป” หวังชูเหรินไม่สนใจเกี่ยวกับอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และยังคงโต้เถียงกับยามซึ่งค่อนข้างจะรำคาญอยู่บ้างในตอนนี้
แต่ต่อให้พวกเขาต้องล่วงเกินสำนักระดับสูง พวกเขาก็ไม่อาจไม่เชื่อฟังคำพูดของตระกูลซีที่เปรียบเสมือนกับกฏสวรรค์
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ”
เสียงที่เป็นของผู้ชราพลันดังขึ้น
“ผ-ผู้อาวุโส”
ยามพลันจดจำเสียงนี้ได้ทันทีและตรงไปยังเกวียนของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจหวังชูเหรินและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ท่านดูสิ คนเหล่านี้ที่นี่…”
ยามอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็วให้กับคนที่อยู่ในเกวียนคันแรก
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย..เจ้าว่างั้นรึ”
เสียงชรานั้นฟังดูค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นประตูเกวียนคันแรกก็เปิดออก และชายชราก็ออกมาจากเกวียนอย่างเร่งรีบ
“เป็นเจ้าจริงๆ”
ชายชราตาโตขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาสังเกตเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง
เมื่อซูหยางเห็นชายชรานี้ สุดท้ายเขาก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมชื่อ “อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์” จึงฟังดูคุ้นเคย
“นั่นมิใช่ท่านผู้เฒ่าซึ่งอยู่กับนายหญิงน้อยวันนั้นรึ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าเรียบเฉย
ใช่แล้ว ชายชราคนนี้คือผู้อาวุโสจง คนที่ซูหยางพบระหว่างการเดินทางไปยังหุบเขาฟ้าคำราม และเป็นเวลานั้นที่เขาได้พบกับซีซิงฟาง หญิงสาวจากตระกูลซีที่มีร่างสวรรค์รู้จักกันในฐานะ “ร่างร้อยพิษมิกราย”
“จ-จ-เจ้า… เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ผู้อาวุโสจงถามเขาโดยไม่ได้คิดเนื่องมาจากความประหลาดใจ
“แน่นอนว่ามาพบกับนายหญิงน้อยอีกครั้ง…” เขาตอบด้วยเสียงที่เหมือนล้อเลียนผู้อาวุโสจง
แต่ผู้อาวุโสจงจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่า ซูหยางพูดจริงอย่างที่สุดแล้ว