DC บทที่ 344: ป้ายสิทธิ์ขาด
หลังจากที่ชนะการประมูลสำหรับเตาปรุงยาไร้รูป ซูหยางก็ทำการประมูลทุกสิ่งที่มาต่อจากนั้นสร้างความตระหนกให้กับทั่วทั้งโรงประมูลซึ่งดูเหมือนกับว่าเขามีความร่ำรวยไม่สิ้นสุด กระทั่งหวังชูเหรินก็อดที่จะจ้องมองเขาด้วยสีหน้ามึนงงไม่ได้
ของมากกว่า 20 ชิ้นและหนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณหลังจากนั้น
“…พี่ชาย.. หรือว่าท่านได้หินวิญญาณมาจากประตูศักดิ์สิทธิ์” ซูหยินพลันนึกถึงสถานที่นั้นและถามเขา เธอนึกไม่ออกว่าที่ไหนที่เขาจะได้ความร่ำรวยเช่นนั้นนอกจากประตูศักดิ์สิทธิ์สุสานของเซียน
ซูหยางเพียงแค่หัวเราะหึ “อาจจะ”
หลังจากประมูลสินค้าชิ้นที่ 25 หวังชูเหรินก็ประกาศว่า “เราจักพัก 10 นาทีก่อนที่เราจะกลับมาประมูลกันใหม่อีกครั้ง”
คร้้นเมื่อหวังชูเหรินลงจากเวที ทุกคนในห้องนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบกันขณะที่ตาของพวกเขาต่างพากันจ้องไปที่ซูหยาง
“เจ้าคนโคตรรวยนี้มาจากไหนกัน เขาซื้อของทุกอย่างที่นำมาประมูลวันนี้”
“พระเจ้าช่วย ครอบครัวของเขาต้องมีหินวิญญาณเติบโตได้เหมือนข้าวในหลังบ้านหรืออะไรทำนองนั้น”
“ต่อให้ปล้นสำนักหลายสิบสำนักก็ยังไม่สามารถที่จะให้ความร่ำรวยได้มากเพียงนี้”
“เขาใช้เงินมากกว่า 1 ล้านก้อนหินวิญญาณไปแล้วตอนนี้ ข้าไม่คิดว่ากระเป๋าเงินของเขาจักไม่ว่างเปล่า”
ในเวลานั้นหลังจากที่เขาวางของทุกอย่างที่เขาชนะเข้าไปในแหวนมิติ ซูหยางหันไปมองโหลวหลานจีและพูดว่า “ผู้นำนิกาย นี่ให้ท่าน”
โดยไม่รอให้เธอตอบ ซูหยางโยนแหวนมิติพร้อมกับของที่มีค่านับล้านก้อนหินวิญญาณไปให้เธออย่างสบายๆ
โหลวหลานจีรับมิติด้วยมือที่สั่นสะท้านและจ้องมองไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
กระทั่งคนอื่นๆในห้องก็หยุดกระซิบกระซาบเพื่อมองไปที่พวกเขาด้วยท่าทีที่ตื่นตะลึงบนใบหน้า
“น-นี่หมายความว่าอะไร ซูหยาง” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังพยายามที่จะซื้อทั้งนิกายด้วยสิ่งนี้รึ”
ซูหยางหัวเราะหึหึกับจินตนาการของเธอและพูดว่า “ผู้นำนิกายหรือท่านลืมไปแล้วว่าข้าได้สัญญาที่จะดูแลนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สมบัติเหล่านี้ก็เพื่อสำหรับศิษย์รุ่นต่อไปเหมือนที่พวกที่นั่งอยู่ตรงนั้น”
ซูหยางชี้มือไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ชาย…” ศิษย์รุ่นเยาว์พากันอับจนถ้อยคำ
“แม้ว่าเจ้ามีเจตนาเช่นนี้นี่ไม่มากเกินไปหน่อยรึ” โหลวหลานจีแสดงยิ้มขมขื่นออกมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะตอบแทนบุณคุณเช่นนี้ได้อย่างไร กระทั่งให้เขาเป็นผู้นำนิกายก็ยังไม่พอเพียง
“มากเกินไปรึ นี่เพียงแค่ 1 ล้านก้อนหินวิญญาณ ถ้าท่านไม่สามารถรับของขวัญเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าจะทำการให้ของที่แพงมากกว่านี้ภายหลังได้อย่างไร”
“จ-เจ้ามีแผนที่จะให้ข้ามากกว่านี้รึ” โหลวหลานจีอ้าปากค้างด้วยความตระหนก
“นี่ไม่ใช่สำหรับท่าน ผู้นำนิกาย นี่สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะโหลวหลานจีก็กระซิบเขาว่า “ข้าเข้าใจ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะให้ของมากมายปานนี้ต่อหน้าสายตามากมาย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาสร้างปัญหาให้กับเราในภายหลัง เจ้าควรให้มันกับข้าหลังจากที่เรากลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ว”
ซูหยางกวาดสายตาไปยังผู้คนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้ายและพูดเสียงดังว่า “จะมีอะไรที่ต้องกังวล ต่อให้พวกเขากล้าพยายามปล้นเรา พวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น”
โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหันไปมองรอบห้อง ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามีคนมากมายหลายคนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเกลียดชัง
“ทำไมเจ้าถึงพูดเสียงดังเช่นนี้ นี่เหมือนกับว่าเจ้ากำลังพยายามที่จะยั่วยุพวกเขา” โหลวหลานจีรู้สึกอยากจะร้องไห้
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ผู้นำนิกายถ้าท่านทำตัวต่ำต้อยและขี้ขลาดอย่างนี้ต่อไป โลกก็จักเหยียดหยามเราเมื่อเรายืนอยู่บนจุดสูงสุด”
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนี้ และเจ้ากล้าเรียกข้าว่าคนขี้ขลาดได้อย่างไร” เธอมองดูเขาด้วยท่าทางตื่นตะลึง
“ท่านเชื่อจริงๆรึว่าจุดมุ่งหมายของข้าก็คือการฟื้นฟูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับไปยังจุดเดิม นอกจากว่าเราก้าวข้ามตัวตนเดิมของเราและยืนอยู่เหนือสำนักอื่นทุกสำนักในทวีปแห่งนี้ มิเช่นนั้นข้าย่อมยังไม่พอใจ ครั้นเมื่อข้า ซูหยาง ได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างมันจะต้องไม่เป็นอะไรที่ธรรมดา” ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“ตลกอะไรเช่นนี้ ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดด้วยเพียงสมบัติพื้นๆไม่กี่ชิ้น เช่นนั้นทุกขั้วอำนาจในห้องนี้คงเป็นสำนักระดับสูงกันทั้งหมด”
“เจ้าเป็นเพียงกบธรรมดาที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ่อ เจ้ากล้าทำตัวเย่อหยิ่งจองหองต่อหน้าคนมากมายที่มีอำนาจเหนือกว่าเจ้าได้อย่างไร”
ผู้คนในห้องต่างพากันเริ่มเยาะเย้ยในความทะเยอทะยานของซูหยางทันที
“แม้ว่าข้าชื่นชมในความกล้าของเจ้า เจ้ายังคงเด็กเกินไปและไร้เดียงสาที่จะมีความทะเยอทะยานอันสูงส่งเช่นนั้น”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่บนขอบเหวของการสูญสลายในเวลานี้ เพียงแค่หนึ่งในหมู่พวกเราก็มีความสามารถที่จะเหยียบย่ำไปบนสำนักของเจ้าและทำลายความทะเยอทะยานของเจ้าได้อย่างง่ายดาย แต่เจ้ายังกล้าที่จะแสดงความโอหังต่อหน้าพวกเราเช่นนี้ เจ้ากำลังมองหาที่ตายอย่างนั้นรึ”
หลังจากที่ฟังคำข่มขู่มากมายที่ส่งมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อหน้าพวกเขา โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันมีใบหน้าซีดเผือด
“ซู-ซูหยาง เจ้ากำลังพยายามที่จะฟื้นฟูนิกายหรือว่าทำลายมัน รีบขอโทษทุกคนที่นี่เร็ว” โหลวหลานจีพลันโกรธ
ซูหยางส่ายหน้าและถอนใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าพูดถึงที่ว่าเป็นคนขี้ขลาด ผู้นำนิกาย ทำไมท่านจึงก้มหัวหลังจากที่ได้ยินหมา 2-3 ตัวเห่าเช่นนี้”
เขาพลันหันไปมองดูผู้คนที่ข่มขู่นิกายกุสุมาลพ้นพิสัยและกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะชอบมันหรือไม่ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จักเติบโตต่อไปและเจ้าจักเห็นจากด้านข้าง ถ้าพวกเจ้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถที่จะหยุดพวกเรา ข้ายินดีให้เจ้าได้ลอง”
ซูหยางเผชิญหน้ากับทั้งห้องด้วยรัศมีของผู้ที่อยู่เหนือกว่า นี่คือเจตนาที่แท้จริงในการมาที่โรงประมูลนี้ที่ซึ่งผู้ทรงอำนาจจากรอบโลกมารวมตัวกัน ถ้าหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันมีอำนาจขึ้นมาในทันใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยที่ไม่มีใครรู้ ผู้อื่นก็จะเพียงเหยียดหยามพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอซึ่งไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุด
ในตอนนี้ซูหยางได้ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักทั้งล่วงเกินคนจำนวนมากมาย ผู้ทรงอำนาจเหล่านี้ย่อมมองดูพวกเขาต่อให้พวกเขาไม่มีค่าที่จะให้มองดูในตอนนี้และเฝ้ามองพวกเขาเติบโต ถ้าคนเหล่านี้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเติบโตของพวกเขา เช่นนั้นซูหยางก็จะกำจัดคนเหล่านี้ทิ้ง
ซูหยางมองดูโหลวหลานจีและพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังว่า “ผู้นำนิกาย ข้าจักทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักที่จักทำให้กระทั่งสำนักระดับสูงดูเหมือนเป็นบ้านเรือนคนทั่วไป ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
โหลวหลานจีนิ่งเงียบไปชั่วขณะขณะที่เธอจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสับสน
“ทำไมกลิ่นอายของเขาจึงรู้สึกช่างคุ้นเคยนัก ที่ไหนที่ข้า…”
ร่างของโหลวหลานจีพลันสั่นสะท่านเล็กน้อย เมื่อเธอพลันตระหนัก
“ความรู้สึกนี้… นี่มันเหมือนกับผู้อาวุโส…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ถอนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าใครจะรู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเป็นอย่างไรในตอนนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าศิษย์รุ่นเยาว์ก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ส่วนสำหรับบุญคุณที่มีต่อนิกายและเหล่าศิษย์ในช่วงปีที่ผ่านมาข้าจักมิพูดถึงในเมื่อนั้นจะต้องพูดกันทั้งวัน”
โหลวหลานจีทำการล้วงเข้าไปในแหวนมิติ ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็นำเอาป้ายที่จัดสร้างจากหยกที่สวยงามจากแหวนมิติและยื่นส่งให้ซูหยางเหมือนกับว่าเธอต้องการให้เขาเก็บมันไว้
“ข้าได้คิดเกี่ยวกับการที่จะให้ป้ายนี้แก่เจ้านับตั้งแต่ศิษย์ส่วนใหญ่จากไปแล้ว ถ้ารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแต่นี่คือคำตอบของข้าที่ว่าข้าเชื่อถือเจ้าหรือไม่”
ซูหยางมองไปที่ป้ายที่อยู่บนมือของโหลวหลานจีให้ความรู้สึกอันลึกลับในสายตาของเขา
สลักไว้บนป้ายเป็นคำสองคำซึ่งอ่านได้ว่า “ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” และ “สิทธิ์ขาด”
ศิษย์รุ่นเยาว์อ้าปากหวอมือปิดปากเมื่อพวกเขาเห็นป้ายหยก
“นั่นคือป้ายสิทธิ์ขาด มีเพียงคนสองคนในนิกายที่ได้รับอนุญาตให้ถือมันไว้ และนั่นก็คือผู้นำนิกาย”
“ศิษย์พี่ชายกำลังจะเป็นผู้นำนิกายคนที่ 2 ของเรางั้นรึ”
อันที่จริงโหลวหลานจีต้องการให้ซูหยางเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคนที่สองด้วยการยื่นส่งป้ายสิทธิ์ขาดให้แก่เขาในเวลานั้น นับตั้งแต่หลีเชียงผู้นำนิกายคนก่อนได้ตายไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้ดำเนินการเพียงผู้นำนิกายคนเดียวในขณะที่พวกเขาควรจะมี 2 คน
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้รับป้ายไว้ในทันที
“ข้าไม่สามารถอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปได้ตลอดฉันก็รู้ ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าต้องไป”
“ตั้งแต่รู้เบื้องหลังของเจ้าข้าก็มิเคยคิดที่จะเก็บเจ้าไว้กับเราตลอดไป อย่างไรก็ตามจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าต้องไปเจ้าสามารถถือป้ายนี้ไว้ได้หรือไม่” โหลวหลานจีเสนอ
ซูหยางยิ้มและกล่าวต่อว่า “ข้ายังคงจักสร้างปัญหาให้กับนิกายต่อไปอีก”
“นั่นมิมีอะไรใหม่” โหลวหลานจีหัวเราะคิกคัก
“ท่านจักไม่สามารถหลับได้เต็มอิ่มไปตอนกลางคืนอีกต่อไปถ้าข้าเป็น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลามก
โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะซูหยางก็เริ่มขยับแขนและรับป้ายบนมือของโหลวหลานจี
“ตกลงข้าจักถือสิ่งนี้เพื่อท่านนับแต่นี้ต่อไป”
“เราจักจัดงานฉลองอย่างเป็นทางการให้แก่เจ้าเมื่อเรากลับไป” เธอยิ้ม
โหลวหลานจีพลันหันไปมองศิษย์รุ่นเยาว์และพูดเสียงดังว่า “ทักทายผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเจ้าสิ”
ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนพลันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอคำนับผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเรา”
ในเวลานั้นบุคคลที่ได้ดูพวกเขาต่างพากันงงงันไปกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบเห็นบางคนได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำนิกายภายในโรงประมูลและอย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ด้วย