“ไม่..ไม่ใช่ว่าเรามิเชื่อเจ้า เป็นเพียงแต่เป็นเรื่องน่าตกใจเกินไปจนพวกเรายอมรับกันไม่ได้ในทันที” โหลวหลานจีกล่าวหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ
“ข้ากลับยิ่งสนใจในเรื่องที่ท่านจัดการอย่างเฉียบขาดมากกว่า มิต้องกล่าวถึงหวังชูเหรินที่เป็นผู้ร่วมธุรกิจกับเรา แต่สำนักหงส์สวรรค์มิมีความสัมพันธ์กับพวกเราเลย…” ผู้อาวุโสซุนกล่าวด้วยท่าทางประหลาดใจ
“มิสำคัญที่ข้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาได้ตกลงที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเรา” ซูหยางกล่าว “ถ้ามิมีอะไรแล้วข้าจักต้องขอตัวก่อนในตอนนี้”
“เจ้าจะไปไหน” โหลวหลานจีถามเขา
“มิได้ เพียงแต่ข้ามีเรื่องที่ต้องเตรียมการ”
“เตรียมการรึ ข้าเดาว่าเจ้าจักต้องค่อนข้างยุ่งกับเรื่องของพันธมิตรอยู่เป็นแน่”
ถึงแม้ว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพันธมิตร ซูหยางก็ไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขความเข้าใจของเธอและเพียงแค่พยักหน้า
หลังจากที่เขาออกไปจากห้อง โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายก็กลับไปสนทนากันดังเดิม
“ข้ายังคงมิอาจเชื่อ สำนักหงส์สวรรค์และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะร่วมเป็นพันธมิตรกัน นี่ดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง”
“ทำไมซูหยางจะต้องโกหกพวกเราเกี่ยวกับบางอย่างที่จริงจังเช่นนี้”
“ข้ามิได้สงสัยคำพูดของเขา แต่เพียงรู้สึกเหมือนความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ต้องดิ้นรนมาเป็นเวลานาน”
“ข้ารู้ว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่ให้ตำแหน่งผู้นำนิกายแก่ซูหยาง ใครจะรู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเราจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไรในอีกหนึ่งปีนับจากนี้ ถ้าเขาสามารถจัดการบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบนี้จนลุล่วงทั้งที่ยังไม่ถึงวันหลังจากที่เขาได้รับแต่งตั้ง” โหลวหลานจีพยายามต้านความอยากที่จะหัวเราะออกมาดังๆจากความสุขที่แท้จริง
ในเวลานั้นซุนจิงจิงและฟางซีหลานต่างพากันแสดงความยินดีต่อซูหยางหลังจากที่เห็นเขา
“ขอแสดงความยินดีที่ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำนิกาย ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงปรบมือด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าสามารถเรียกข้าซูหยางต่อไปได้” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ซูหยาง ตอนนี้เมื่อท่านเป็นผู้นำนิกาย นั่นหมายความว่าท่านมิสามารถที่จะฝึกร่วมกับพวกเราเหล่าศิษย์ได้อีกต่อไปใช่ไหม” ฟางซีหลานถามเขาพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล
ซุนจิงจิงดวงตาพลันโตขึ้นด้วยความตกใจหลังจากที่เธอนึกถึงกฏนี้
“ใช่แล้ว ผู้นำนิกายเพียงยอมให้ฝึกกับผู้นำนิกายอีกคนรวมไปถึงผู้อาวุโสนิกาย” ซุนจิงจิงร้องเสียงดัง
“ใจเย็นๆพวกเจ้าทั้งสองคน ข้ามิหยุดฝึกกับพวกเจ้าเหล่าหญิงแค่เพราะว่ากฏเก่าหรอก ในเมื่อตอนนี้ข้าได้เป็นผู้นำนิกายนั่นจักมีกฏใหม่เช่นกัน”
“จริงรึ กฏประเภทไหนกัน” ซุนจิงจิงอดที่จะถามไม่ได้
“เจ้ามิจำเป็นต้องสนใจกับเรื่องนี้ ในเมื่อส่วนใหญ่แล้วมันจะนำไปใช้กับศิษย์ในอนาคต” ซูหยางกล่าว
“หืมม…ถ้าท่านพูดเช่นนั้น” ซุนจิงจิงพยักหน้าและเธอก็กล่าวต่อหลังจากนั้นว่า “เอาล่ะเราจะเริ่มฝึกกันเลยตอนนี้หรือเปล่า”
ซูหยางส่ายหน้าและพูดว่า “ข้ายังมิฝึกวิชาในวันนี้ในเมื่อยังมีปัญหาบางอย่างที่ต้องสะสาง”
เมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายเย็นชา
“โอ เจ้าสองคนนอนในห้องอื่นสักสองสามวันได้ไหม ข้าต้องการเวลาอยู่คนเดียวชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
“ไม่มีปัญหา” พวกเธอทั้งคู่พยักหน้า
“ขอบคุณ”
หลังจากที่ฟางซีหลานและซุนจิงจิงออกไปจากห้องแล้ว ซูหยางก็ปิดป้ายบนประตูภายนอกห้องของเขา แจ้งผู้คนไม่ให้รบกวนเขา
–
–
–
เมื่อยามกลางคืนมาถึง โหลวหลานจีก็ไปหาซูหยาง
“ในเมื่อเขาก็เป็นผู้นำนิกายเหมือนกับข้าในตอนนี้แล้ว ข้าก็สามารถไปหาเขาเพื่อฝึกด้วยโดยไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะฝึกฝนด้วยกัน”
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นป้ายบนประตูของเขา เธอก็ยอมแพ้และกลับไปยังห้องของตนเองด้วยสีหน้าผิดหวัง
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เมื่อผ่านเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ร่างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำก็ตรงเข้าไปที่โรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะโดยไม่ทำให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย
ครั้นเมื่อร่างนี้ไปถึงโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะเขาก็พลันใช้วิชาเงาบางอย่างที่ยอมให้ตัวเขาเข้าไปในอาคารได้โดยไม่ทำให้ใครรู้ตัว
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ผู้ที่คลุมร่างไว้นั้นก็ใช้วิชาเงาแบบเดิมเข้าไปในห้องซูหยางที่มืดสนิท
“ข้าสามารถรับรู้ตัวตนและได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาของเจ้านั่น เจ้าเลวนี่หลับอยู่อย่างแน่นอน”
รู้สึกถึงตัวตนที่หลับอยู่เตียงหนึ่ง ร่างนี้ก็ปรากฏตัวข้างเตียงราวกับผี
“เจ้าคงได้แต่โทษตัวเองที่ล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษและนี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตายให้กับข้าได้แล้ว”
ร่างที่หุ้มตัวไว้นั้นยกมือขึ้นก่อนที่จะกระแทกลงใส่เตียงตรงหน้าอย่างลึกลับพร้อมด้วยกลิ่นอายความตายในฝ่ามือ
“ฝ่ามือพิษจู่โจมไร้สำเนียง”
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาขยับความรู้สึกแปลกๆก็ก่อกวนบรรยากาศภายในห้องและร่างนั้นก็ตระหนักว่าเขาไม่ได้อยู่ภายในห้องซูหยางอีกต่อไป แต่อยู่ท่ามกลางพื้นที่ว่างในวินาทีถัดไป
“อะไรวะ ข้าอยู่ที่ไหน ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
ร่างที่คลุมตัวอยู่นั้นมองไปรอบๆขณะที่เต็มไปด้วยความสับสน
“บางทีเจ้าอาจจะสงสัยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
เสียงเรียบนิ่งพลันดังมาจากด้านหลังของร่างนั้นจนทำให้เขารีบหันตัวไปอย่างรวดเร็ว
“จ-เจ้าคือซูหยาง” ร่างนั้นอุทานออกมาด้วยเสียงตกใจหลังจากที่เห็นซูหยางยืนอยู่ด้านหลังของเขา
“นี่เป็นไปได้อย่างไร เจ้าทำอะไร เจ้าพาข้ามาที่ไหนกัน”
“มันมิได้มีอะไรที่ซับซ้อนเลยจริงๆ ง่ายๆเพียงแค่ข้าวางค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ภายในห้องและรอให้เจ้ามา และเราก็มาอยู่ห่างจากเมืองหิมะร่วงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น” ซูหยางอธิบายอย่างใจเย็น
“ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงทำเรื่องทั้งหมดนี้…นั่นก็เพราะว่าข้ามิสามารถเล่นกับเจ้าได้สะดวกภายในที่คับแคบแบบนั้น”
“…”
ร่างนั้นไม่ตอบสนองแม้กระทั่งหลังจากผ่านไปหลายอึดใจ เห็นชัดว่างงงันไปกับสถานการณ์
จากนั้นอีกสองสามอึดใจร่างนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าล่ะพูดไม่ออกเลยทีเดียว ข้ามิคาดว่าเจ้าเด็กเย่อหยิ่งแบบเจ้าจะเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ อย่าว่าแต่จะคาดการณ์ล่วงหน้า แต่เจ้าต้องการที่จะเล่นกับข้าอย่างนั้นรึ โชคร้ายสำหรับเจ้า มิเพียงแต่ข้ามิมีเวลาที่จะเล่นกับเจ้าแต่เจ้าเองก็มิมีคุณสมบัติด้วยเช่นกัน”
“ครั้นเมื่อข้าจับเจ้าแล้ว ข้าก็จักกลับไปที่โรงแรมและฆ่าคนของเจ้าที่เหลือ อย่ากังวลข้ายังคงมิฆ่าเจ้า แต่เจ้าจักหวังที่จะตายครั้นเมื่อใครคนนั้นเริ่มทรมานเจ้า”
“อืมมมม… คนคนนั้น…. หรือว่าเขาเป็นผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษ” ซูหยางถามเขาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า
และเขาก็ยังกล่าวต่อว่า “ถึงกับส่งคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณมาเพื่อจับแค่เด็กวัยรุ่นอย่างข้า ข้าต้องปรบมือให้กับความเสียสละของเจ้า อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าต้องการโอกาสสักครั้งในการจับตัวข้าเป็นๆ เจ้าควรนำนิกายล้านอสรพิษทั้งนิกายมากับเจ้าด้วยที่นี่ ช่างน่าเสียดายที่ตอนนี้นิกายล้านอสรพิษกำลังจะเสียจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณไปอีกคน”
“…”
ร่างนั้นกลับมานิ่งเงียบไปอีกครั้ง แต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารขณะที่เขาจ้องมองซูหยางซึ่งยืนอยู่อย่างสบายๆโดยปราศจากการระแวดระวังใดราวกับว่าเขาเพียงกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะในตอนนี้
“ในเมื่อเจ้าดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างแล้ว ก็มิจำเป็นต้องซ่อนใบหน้าของข้าอีกต่อไป”
ร่างนั้นถอดหน้ากากออกเปิดเผยใบหน้าของตนเองต่อซูหยาง
“อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าข้ามิฆ่าเจ้า ข้าก็ยังสามารถฉีกแขนขาสักข้างสองข้างจากตัวของเจ้า” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มมุ่งร้ายบนใบหน้าก่อนที่จะปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของตนเองออกมา