“ถ้าพวกเรายังคงเป็นสำนักที่เน้นไปทางร่วมฝึกคู่อย่างเดียว นอกจากว่าเรายอมให้พวกที่ได้ละทิ้งพวกเราไปกลับคืนมายังนิกาย ข้าเกรงว่าแม้กระทั่งตัวข้าเองก็มิอาจพลิกฟื้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในเมื่อมีผู้ฝึกวิชาไม่กี่คนที่อยากฝึกวิชาคู่”
เพราะว่าการฝึกวิชาคู่นั้นโดยทั่วไปถือเป็นการฝึกฝนที่ไม่เป็นที่ยอมรับและมักจะได้รับการเหยียดหยามจากผู้ฝึกวิชาส่วนใหญ่ มันเป็นการยากที่จะรวบรวมศิษย์ที่ปรารถนาที่จะฝึกวิชาคู่ในระยะเวลาสั้นๆ ตามความเป็นจริงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ดำรงอยู่มานานกว่าร้อยปีแต่ก็มีศิษย์เพียงไม่กี่พันคนก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะได้จากไป ถ้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องการอยู่รอดในยุทธภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ตอนนี้ที่พวกเขาได้เป็นจุดสนใจพวกเขาจำเป็นต้องมีศิษย์จำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“แน่นอนว่าไม่ ข้าจักมิยอมให้พวกคนทรยศเหล่านั้นกลับคืนมายังนิกายไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม ถึงแม้ว่าข้าจักต้องตายหากปราศจากพวกนั้นก็ตาม” โหลวหลานจีไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดที่จะยอมให้เหล่าศิษย์ที่ทิ้งให้พวกเขาตายระหว่างที่นิกายล้านอสรพิษบุกได้กลับคืนสู่นิกาย
“พวกนั้นได้ทอดทิ้งพวกเราเมื่อพวกเราต้องการพวกเขามากที่สุด และพวกนั้นส่วนใหญ่ก็ได้เข้าร่วมกับสำนักอื่นเรียบร้อยแล้วตอนนี้ ต่อให้พวกนั้นมาอ้อนวอนที่ปากทางเข้า ข้าก็จักมิยอมให้พวกนั้นกลับมา”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้นเราก็สามารถทำได้แค่เพียงแบ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยออกเป็นสองภาค แม้ว่าศิษย์ที่ฝึกวิชาคู่จะมาช้า แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็จักกลับคืนสู่จำนวนปกติ”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้น “แต่เรามีปัญหาอย่างหนึ่ง… วิชาฝึกฝนส่วนใหญ่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นวิชาสำหรับการฝึกวิชาคู่ ต่อให้พวกเรานับวิชาที่ผู้อาวุโสเซียนให้กับเราเข้าไป มันก็ยังมิเพียงพอสำหรับศิษย์ทั่วไป”
“มันเป็นแค่เพียงวิชามิกี่วิชา เจ้าสามารถปล่อยให้ข้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้” ซูหยางกล่าว “ข้าเผอิญรู้จักใครบางคนที่ปรารถนาจะอุทิศวิชาการฝึกฝนให้กับพวกเรา”
“อะไรกัน ใครกันช่างใจกว้างมากพอที่จะอุทิศวิชาการฝึกฝนด้วย” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจและคิดสงสัยอยู่ในใจ
แน่นอนว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ใจกว้างพอที่จะอุทิศวิชาการฝึกฝนให้กับสำนักอื่น ส่วนการที่ซูหยางจะได้รับวิชาการฝึกฝนนั้น เขาก็เพียงเขียนวิชาบางวิชาที่เขาอ่านในชีวิตก่อนออกมา ต่อให้เขาไม่ได้เรียนวิชาเหล่านั้น เขาก็ยังสามารถที่จะส่งต่อมันให้กับคนอื่นตราบเท่าที่เขาสามารถจดจำเนื้อหาของมันได้ ซึ่งเป็นความสามารถที่จะกระทำได้ด้วยจอมยุทธที่แท้จริงเท่านั้น ในเมื่อวิชาการฝึกฝนโดยปกติแล้วจะมีความล้ำลึกและยากที่จะจดจำเนื้อหาทั้งหมด
“เช่นนั้นก็ตัดสินตามนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นสำนักผสมผสานนับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจักพูดกับผู้อาวุโสนิกายเกี่ยวกับเรื่องนี้ยามเมื่อพวกเขาได้สำเร็จการกักตัวฝึกฝน” โหลวหลานจีกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ
ซูหยางพยักหน้า
–
–
–
ในสองอาทิตย์ถัดมา ซูหยางและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้แต่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ หากว่าซูหยางไม่ได้ฝึกร่วมกับโหลวหลานจี ซูหยางก็จะอยู่กับบรรดาศิษย์ เมื่อโหลวหลานจีและเหล่าศิษย์ยุ่งอยู่กับการฝึกปรือดูดซับปราณหยางของเขา ซูหยางก็จะทำการอบรมเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์
ยังมีบางวันที่หวังชูเหรินมาเยี่ยมเขาโดยใช้หน้ากากว่าเป็นธุรกิจระหว่างพันธมิตร แน่นอนว่าโหลวหลานจีรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงในการมาเยี่ยมของเธอ
สองสัปดาห์ผ่านไปราวสายฟ้า และการแข่งขันระดับภูมิภาคก็จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้
คืนก่อนที่จะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค โหลวหลานจีรวบรวมศิษย์ทั้งหมดที่จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคเพื่อที่จะให้คำแนะนำพวกเธอบางอย่างเกี่ยวกับการแข่งขัน
“การแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้นภายในวันพรุ่งนี้ และมันจะดำเนินต่อเนื่องไปเป็นเวลาทั้งสิ้นเจ็ดวัน แม้ว่าคู่แข่งของพวกเราจะยังไม่ได้ประกาศออกมา จงอย่าประหลาดใจถ้าพวกเราต้องคู่กับสำนักระดับสูง ในเมื่อทุกสิ่งนั้นล้วนถูกสุ่มขึ้นมา” โหลวหลานจีกล่าวกับเหล่าศิษย์
“ครั้นเมื่อพวกเรารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราเป็นใครและถึงเวลาสำหรับพวกเราขึ้นไปบนเวที พวกเจ้าจักสามารถเลือกอาวุธในแบบของเจ้าที่พวกเขาจักจัดสรรให้ในเมื่อมีกฏห้ามใช้อาวุธของตนเอง”
“ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่มิมีประสบการณ์หรือมีเพียงน้อยนิดกับการต่อสู้ในเมื่อพวกเราเพียงมุ่งเน้นในด้านการฝึกวิชาคู่และกว่าครึ่งของพวกเจ้าเป็นศิษย์นอกก่อนที่จะมาที่นี่ ดังนั้นข้ารู้ถึงความเสียเปรียบของพวกเจ้า อย่างไรก็ตามอย่าท้อแท้ให้สู้ด้วยทุกสิ่งที่มี มันมิเป็นไรถ้าจะต้องแพ้ อย่ากดดันตัวเองหนักจนเกินไปและอย่าทำอะไรที่อันตรายหรือเสี่ยงเกินไป แม้ว่าการฆ่าจะถือเป็นสิ่งต้องห้าม อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ อย่างน้อยก็มีการตายเกิดขึ้นครั้งสองครั้งในทุกการแข่งขัน”
“ผู้นำนิกายซู ในขณะที่ท่านเองก็เข้าร่วมการแข่งขันเช่นกัน ท่านมีถ้อยคำอะไรสำหรับศิษย์หรือไม่” เธอหันไปถามเขาหลังจากนั้น
ซูหยางพยักหน้าและมองไปยังเหล่าศิษย์ตรงหน้าและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเรามีผู้เข้าร่วมเพียงสิบเอ็ดคน ก็มิใช่ว่าพวกเราทุกคนต้องต่อสู้ ในขณะที่จำนวนผู้แข่งขันในแต่ละสำนักสามารถพาเข้าไปได้คือยี่สิบคน แต่ก็มีเพียงสิบรอบ ดังนั้นอย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สิบคนที่จะมีโอกาสที่จะสู้ ยิ่งไปกว่านั้นคนเดียวก็สามารถสู้ทั้งสิบรอบได้”
“ส่วนสำหรับตัวข้านั้น ข้าจักมิสู้กับคู่ต่อสู้ที่ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหญิงสาวสามารถเอาชนะได้ ถ้าหากว่าในบางครั้งพวกเราได้คู่กับสำนักระดับสูงหรือคู่ต่อสู้ที่พวกเจ้ามิอาจเอาชนะได้ ข้าจักจัดการกับพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นพวกเจ้าสามารถต่อสู้ได้โดยมิต้องกังวลสิ่งใด”
“หากจะว่าไปข้ามิเหมือนกับผู้นำนิกายโหลว ข้าจักมิยอมรับความพ่ายแพ้ใดๆของเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากความพยายามทั้งหมดที่ข้าได้ใส่ลงไปในตัวพวกเจ้าหญิงสาว เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
บรรดาหญิงสาวตอบสนองด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าซึ่งสร้างความงงงวยให้กับโหลวหลานจี
“ทำไมพวกเธอจึงดูมั่นใจนัก หรือว่าพวกเธอทำอะไรบางอย่างนอกจากการฝึกวิชาที่ข้าไม่รู้” โหลวหลานจีคิดในใจ
“อย่างไรก็ตามจุดประสงค์หลักของพวกเราในการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้ก็คือการแสดงให้โดดเด่นเพื่อที่ผู้คนจักได้มีเหตุผลที่จะมาหาพวกเราเมื่อพวกเราเริ่มรับศิษย์ใหม่อีกครั้ง นั่นเป็นเหตุที่ว่าทำไมข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าต่อสู้ด้วยความตั้งใจทำให้ผู้คนตื่นตะลึง” ซูหยางกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ สร้างความตกตะลึงให้กับโหลวหลานจี
“หรือว่านี่เป็นเหตุที่เขาทำให้พวกเราเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคแม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเราเป็นอย่างนี้” โหลวหลานจีร่ำร้องในใจเมื่อสุดท้ายเธอก็ตระหนักถึงความจริงเบื้องหลังเจตนาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคของซูหยาง