หลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงและนิกายแท่นบูชาทองก้าวขึ้นมาบนเวที บรรดาศิษย์ของพวกเขาก็จ้องมองซึ่งกันและกันด้วยสายตาเกรี้ยวกราด และปลดปล่อยกลิ่นอายอันลึกล้ำที่ดูเหมือนกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะปะทะกันได้ทุกขณะจิต
แต่ละฝ่ายล้วนมีศิษย์รวมกันทั้งหมดยี่สิบคน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่แต่ละสำนักสามารถนำมาได้
อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างศิษย์ของทั้งสองสำนัก
แม้ว่าศิษย์ของนิกายแท่นบูชาทองจะปลดปล่อยกลิ่นอายอันรุนแรงที่ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับลึกล้ำและทรงพลัง แต่ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงก็ปล่อยกลิ่นอายที่กดดันเหนือกว่าจนทำให้ผู้เข้าชมต่างพากันรู้สึกราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นมดที่มองดูไปยังภูเขาซึ่งยิ่งใหญ่และเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ
“ดังที่คาดหมายของนิกายดอกบัวเพลิงและเหล่าศิษย์ของพวกเขา สิบห้าในยี่สิบของผู้เข้าร่วมการแข่งขันอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ นั่นคงเป็นเพราะโอสถสู่ปฐพี” เจ้าซีเพ่งมองนิกายดอกบัวเพลิง รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาเก่งกาจรวดเร็วเกินไป
ถ้านิกายดอกบัวเพลิงเติบโตด้วยอัตรานี้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาอาจจะล้ำหน้าตระกูลซีภายในไม่กี่สิบปีหรือน้อยกว่านั้น
“ท่านพ่อ นิกายดอกบัวเพลิงทรงอำนาจเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ เท่าที่ข้ารู้มาพวกเขาเพียงแค่มั่งคั่ง แต่ตอนนี้พวกเขามีศิษย์จำนวนมากที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ” ซีซิงฟางมีท่าทีประหลาดใจหลังจากที่เห็นพวกเขาเข้าแถว
“ข้าคงมิประหลาดใจถ้าศิษย์ของพวกเขาเกือบทุกคนต่างอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณในตอนนี้ นั่นก็เพราะว่าโอสถสู่ปฐพี” เจ้าซีส่ายหน้า
“โอสถสู่ปฐพีรึ มันคืออะไรรึ” ซึซิงฟางถาม
“เจ้าอยู่ในช่วงกักตัวในระยะไม่กี่อาทิตย์ก่อน นั่นจึงมิน่าประหลาดใจที่เจ้าไม่รู้เกี่ยวกับโอสถสู่ปฐพีที่มีความสามารถที่จะช่วยผู้ฝึกวิชาในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก้าวไปถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยรับประกันความสำเร็จ” เจ้าซีอธิบายให้เธอฟังอย่างลวกๆ
“โอสถในตำนานเช่นนั้นมีด้วยรึ” ซีซิงฟางทำตาโตด้วยความตกตะลึงอยู่หลังผ้าปิดหน้า
“ชัดเจนอยู่อย่างนั้น” เจ้าซียักไหล่ “มันเพิ่งจะถูกค้นพบมินานมานี้”
ขณะที่เจ้าซีและซีซิงฟางพูดคุยกันอยู่นั้นพวกเขาก็ชมศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงและนิกายแท่นบูชาทองต่อสู้กัน
“เชี่ย ทำไมพวกเราต้องมาเจอกับโชคร้ายเช่นนี้เร็วปานนี้ มิเพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายของพวกเราถูกใครก็ไม่รู้ฆ่า เรายังต้องมาปะทะกับนิกายดอกบัวเพลิงตั้งแต่รอบแรกอีก”
ผู้นำนิกายของนิกายแท่นบูชาทองก่นด่าอยู่ในใจขณะที่เขาชมศิษย์ของตนเองพ่ายให้กับศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง
ตามความเป็นจริงด้วยความห่างชั้นระหว่างระดับพลังการฝึกปรือของพวกเขา ไม่อาจแม้จะถือว่าเป็นการแข่งขันระหว่างสองสำนัก มันเป็นการข่มเหงล้วนๆ
“บ้าไปแล้ว นิกายดอกบัวเพลิงส่งคนออกมาเพียงสามคนแต่นิกายแท่นบูชาทองได้ส่งศิษย์คนที่เก้าออกมาแล้ว อีกเพียงแค่คนเดียวนิกายดอกบัวเพลิงก็จะชนะในรอบนี้”
ผู้เข้าชมโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อนิกายดอกบัวเพลิงเอาชนะนิกายแท่นบูชาทองได้อย่างง่ายดาย
“นิกายแท่นบูชาทองศิษย์คนที่สิบได้พ่ายแพ้ไปในเวทีนี้แล้ว เป็นชัยชนะของนิกายดอกบัวเพลิงในการแข่งขันรอบแรกในวันนี้” สือตกประกาศผลหลังจากที่ศิษย์นิกายแท่นบูชาทองคนสุดท้ายล้มลงหมดสติบนลานประลอง
“นี่ประหลาดมาก… แม้ว่านี่จะไม่ประหลาดสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงที่มีผู้ฝึกวิชาเขตปฐพีวิญญาณมากมายเพราะว่าโอสถสู่ปฐพี แต่พวกเขาได้วิชาการต่อสู้เหล่านั้นมาจากไหนกัน ข้ารู้จักวิชาการต่อสู้เกือบทั้งหมดของพวกเขา แต่ข้ากลับมิอาจจำได้ถึงวิชาการต่อสู้บางอย่างที่พวกเขาแสดงในวันนี้” เจ้าซีหรี่ตาด้วยท่าทางครุ่นคิด
“มีอะไรผิดไปในเรื่องนั้นรึ ในเมื่อล้วนมีการค้นพบวิชาการต่อสู้ใหม่ๆอยู่ทุกปี” ซีซิงฟางกล่าวกับเขา
“ใช่… แต่… วิชาพวกนี้เหมาะสมกับแนวของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าวิชาพวกนี้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเจาะจงกับพวกเขา”
ไม่เพียงแต่เจ้าซีที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ ไป่ลี่ฮัวหันไปมองซูหยางด้วยสายตาแสดงความสงสัยและถามว่า “วิชาการต่อสู้พวกนี้ที่ใช้โดยศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง อย่างน้อยก็อยู่ในระดับปฐพี เจ้าให้วิชาพวกนี้กับพวกเขาใช่ไหม”
“อาจจะ” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เกือบควบคุมวิชาไม่ได้”
“แล้วศิษย์ของท่านเป็นอย่างไร ความก้าวหน้าของพวกเธอกับวิชาเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินคำถามของเขา ไป่ลี่ฮัวกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “สำนักหงส์สวรรค์มิได้เป็นสำนักระดับสูงโดยมิมีเหตุผลหรอกนะ”
หลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงเสร็จสิ้นการแข่งขันของพวกเขา การต่อสู้รอบถัดไปก็เริ่มขึ้นในทันใด อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนนิกายดอกบัวเพลิงที่กวาดคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย มันใช้เวลานานกว่าเป็นสองเท่าสำหรับพวกเขาในการจบการแข่งขัน และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปไปจนถึงสิบคู่
หลังจากนั้น ไป่ลี่ฮัวก็พลันลุกขึ้นและกล่าวว่า “เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราต่อจากนี้”
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันยี่สิบคนพลันยืนขึ้นก่อนที่จะถูกนำไปโดยไป่ลี่ฮัว
“อย่าลืมดูข้าให้ดีเมื่อข้าอยู่บนเวทีนะ ข้าจักมาหาท่านทีหลัง” ซูหยินโบกมือให้กับเขาขณะที่เธอจากไปพร้อมกับไป่ลี่ฮัว รายล้อมไปด้วยความรู้สึกมั่นใจ
ไม่นานหลังจากนั้น สือตงก็ประกาศการต่อสู้รอบถัดไป
“สำหรับการต่อสู้รอบถัดไป เรามีสำนักหงส์สวรรค์และสำนักอินทรีทอง”
“สำนักอินทรีทองช่างโชคร้ายแท้เทียวที่ต้องมาจับคู่กับหนึ่งในสำนักระดับสูงตั้งแต่รอบแรก”
“ข้าจักให้เวลาสำนักอินทรีทองสิบนาทีก่อนที่พวกเขาจะแพ้”
“ข้าอยากจะเดิมพันสิบก้อนหินวิญญาณว่าพวกเขาอยู่ไม่ถึงห้านาที”
ผู้เข้าชมต่างเริ่มพนันกับผลลัพธ์
“ใครต้องการที่จะไปเป็นคนแรก” ไป่ลี่ฮัวถามศิษย์ของเธอ
“ข้า”
ไม่มากไม่น้อยศิษย์ทุกคนยกมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ข้า ข้า ข้า ท่านเจ้าสำนัก ให้ข้าสู้คนแรก” ซูหยินตะโกน แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือล้นในการต่อสู้
บ้าแล้ว บางทีเธอเพียงแค่ไม่อาจจะรอที่จะแสดงความสามารถของเธอให้ซูหยางเห็น
ไป่ลี่ฮัวอดไม่ได้ที่จะยิ้มหลังจากที่เห็นซูหยินกระตืรือล้นและมีท่าทางแจ่มใส “ได้ เจ้าไปเป็นคนแรก”
“ขอบคุณ ท่านเจ้าสำนัก” ซูหยินคำนับให้กับเธออย่างรวดเร็วก่อนที่จะวิ่งไปยังเวที