“น้องสาวของเจ้า…ช่างมีพรสวรรค์ที่น่าสะพังกลัว…” โหลวหลานจีพึมพัมด้วยดวงตาเบิกกว้าง แม้ว่าเธอได้รู้ว่าซูหยินเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ นั่นก็ยังเป็นที่น่าประหลาดใจที่ได้รับรู้ถึงพรสวรรค์ของเธอด้วยตนเอง
ไม่นานหลังจากนั้นสำนักหงส์สวรรค์ก็กลับมายังที่นั่งของตนเอง
“พี่ชายคิดว่าประสิทธิภาพของน้องเมื่อกี้นี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซูหยินถามเขาด้วยรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้า
“ถือว่าค่อนข้างดีนะ” เขาตอบอย่างใจเย็น ค่อนข้างจะชื่นชมเธอ
“เยี่ยมมาก ซูหยิน” ไป่ลี่ฮัยพลันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเธอด้วยท่าทางพึงพอใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่ทำให้โอสถสู่ปฐพีเสียเปล่า อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะไม่มีเม็ดยา ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าสามารถเปล่งประกายบนเวทีได้ไม่ต่างกัน”
เพราะว่าซูหยินเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในสำนักหงส์สวรรค์ มันเป็นธรรมดาที่ไป่ลี่ฮัวจะให้โอสถสู่ปฐพีที่พวกเขามีอยู่ในเวลานั้น
“อย่างไรก็ตามนิกายดอกบัวเพลิงอยู่ที่ไหน ข้าคิดว่าพวกเขาจะมาที่นี่หลังจากที่ชนะการต่อสู้” โหลวหลานจีพลันถาม
“พวกเขากลับไปยังโรงเตี๊ยมทันทีหลังจากที่จบการแข่งขันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ถัดไป พวกเขาดูเหมือนจะค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับชัยชนะการแข่งขันระดับประเทศปีนี้ ข้าไม่โทษพวกเขา เมื่อพิจารณาจากจุดยืนของพวกเขาในปัจจุบัน พวกเขามีโอกาสสูงสุดที่จะได้รับตำแหน่งชนะเลิศในปีนี้” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“ถ้าข้ามีผู้เข้าร่วมแข่งขันเขตปฐพีวิญญาณมากกว่าคู่แข่งสิบกว่าคน ข้าจักมิทำท่าทางจริงจังกับการแข่งขันครั้งนี้เหมือนกับนิกายดอกบัวเพลิง” โหลวหลานจีไม่อาจเข้าใจว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงช่างระมัดระวังทั้งที่อยู่เหนือกว่าคนอื่นในการแข่งขันนี้ลิบลับ
“พวกเขามีความกังวลของตนเอง” ซูหยางกล้าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
หลังจากการแข่งขันของสำนักหงส์สวรรค์ ก็มีการแข่งขันอีกเพียงไม่กี่คู่ที่เหลืออยู่สำหรับวันนี้
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้นก็เป็นเวลาของการแข่งขันคู่สุดท้าย
“สำหรับการแข่งขันคู่สุดท้ายสำหรับวันนี้ เรามีนิกายล้านอสรพิษและคู่ต่อสู้ของเขาก็คือ สำนักเมฆม่วง”
“สำนักเมฆม่วงรึ แม้ว่าพวกเขาจะมิใช่สำนักระดับสูง แต่พวกเขาก็มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์บางคนที่สามารถแข่งขันได้กับอัจฉริยะระดับต้นๆจากสำนักระดับสูง” ไป่ลี่ฮัวกล่าว “พวกเขาไม่เลวเลย แต่โชคร้ายที่พวกเขาพบกับสำนักล้านอสรพิษ”
เมื่อศิษย์จากนิกายล้านอสรพิษเดินขึ้นมาบนเวที ซูหยางก็หรี่ตาลง
“พวกเลว…” เขาพึมพัมพร้อมกับร่องรอยความโกรธในดวงตา
“มีอะไรรึ ซูหยาง” โหลวหลานจีถามเขาหลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางไม่พอใจของเขา
“พวกเขาทั้งหมดถูกพิษ” เขาตอบกลับอย่างฉับพลัน
“อะไรนะ”
โหลวหลานจีและไป่ลี่ฮัวหันไปมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้าหมายความว่าอะไรในเรื่องนั้น พวกเขาดูสุขภาพสมบูรณ์ดีสำหรับข้า” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเขาหลังจากมองไปที่ศิษย์ของนิกายล้านอสรพิษ
“พวกท่านเคยได้ยินเรื่องพิษเปลี่ยนวิญญาณหรือไม่” เขาถามพวกเธอ
“พวกเธอต่างพากันส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“มันเป็นยาพิเศษเฉพาะชนิดหนึ่งที่ยอมให้ผู้คนได้ความแข็งแกร่งที่มากมายมหาศาลโดยการสังเวยพลังการฝึกปรือของตนเอง ครั้นเมื่อใครสักคนกินยาประเภทนี้เข้าไป พละกำลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งเป็นเวลาสองสามวัน แต่พลังการฝึกปรือของพวกเขาก็จะค่อยสูญสลายไป ยิ่งไปกว่านั้นพลังการฝึกปรือที่สูญสลายไปของพวกเขานั้นจะไม่สามารถคืนกลับมาได้อีกถึงแม้ว่ายาตัวนี้จะหมดฤทธิ์แล้ว”
“อะไรกัน พวกเขามิกลายเป็นคนพิการหรอกรึถ้าพลังการฝึกปรือของพวกเขามิอาจเรียกคืนกลับมาได้” โหลวหลานจีปิดปากของตนเองด้วยความตระหนก
“ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง พวกเขาก็ถือว่าผิดกฏโดยการใช้ความช่วยเหลือจากภายนอกเพิ่มพูนความแข็งแกร่งและหมดสิทธิ์ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าสามารถบอกออกมาได้ แน่นอนว่าเจ้าซีก็ต้องรู้ด้วยเช่นกัน ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ทำไมเขาจึงไม่พูดอะไรสักอย่างล่ะ” ไป่ลี่ฮัวมีท่าทางสงสัย
“เขาไม่พูดอะไรก็เพราะว่าเขาก็เหมือนพวกท่าน ไม่รู้จักมัน อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่อะไรที่จะมองเห็นได้ด้วยดวงตา” ซูหยางส่ายหน้า
“เช่นนั้นเจ้าสามารถบอกได้อย่างไร” ไป่ลี่ฮัวขมวดคิ้ว
“ง่ายมาก ข้าได้กลิ่นมัน”
“กลิ่นรึ”
ไป่ลี่ฮัวเลิกคิ้ว เขาสามารถได้กลิ่นจากคนพวกนั้นไกลขนาดนี้ได้อย่างไร กระทั่งหมายังทำไม่ได้
“แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่เมื่อใครสักคนกินพิษเปลี่ยนวิญญาณไป ร่างกายของพวกเขาก็จะปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวที่ค่อนข้างหวานหอมกลิ่นดอกไม้ แน่นอนว่าถ้าท่านมิเคยมีประสบการณ์กับพิษ ท่านย่อมมิรู้จักมันแน่นอน” ซูหยางอธิบาย
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าจึงมิรายงานต่อตระกูลซี และทำให้พวกนั้นหมดสิทธิ์” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“เพราะว่าจะเพลิดเพลินกว่าในการเห็นพวกนั้นพ่ายแพ้แม้กระทั่งใช้กลเม็ดเล็กน้อยพวกนั้น” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“พ่ายแพ้งั้นรึ เจ้าคิดจริงๆรึว่านิกายล้านอสรพิษจักพ่ายแพ้ต่อสำนักเมฆม่วง ต่อให้ปราศจากการสนับสนุนของ “พิษ” นี้ นิกายล้านอสรพิษก็ชนะการแข่งขันนี้ได้อย่างง่ายดาย”
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้ตอบและเพียงแค่ยิ้ม
“หือ” ซูหยินพลันสังเกตเห็นคนคุ้นเคยบนเวทีและชี้ไปที่เธอทันที “พี่ชาย ดูนั่น หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักเมฆม่วง นั่นเป็นพี่สาวอวี้เอ๋อร์ คู่หมั้นท่านไง”
“อะไรนะ”
ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหันไปมองดูซูหยางและหญิงสาวสวยบนเวทีด้วยใบหน้าตระหนกเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า “คู่หมั้น”
“โอ มิน่าทำไมใบหน้าของเธอจึงช่างคุ้นเคยยามที่ข้าเห็นเธอครั้งแรก” ซูหยางประหลาดใจเป็นอันมากเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นของเขาก็เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน ถ้าซูหยินไม่เตือนเขา เขาคงจดจำไม่ได้
“ซ-ซูหยาง… เจ้ามีคู่หมั้นเรอะ” โหลวหลานจีตกใจไปถึงแก่นเมื่อรู้ข่าวนี้ เมื่อมาคิดว่าเธอหลับนอนกับชายที่มีคู่หมั้นแล้วทั้งยังสนุกไปกับมันด้วย
“เป็นเช่นนั้นจริง” เขายักไหล่
“เจ้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อเจ้ามีคู่หมั้นเรียบร้อยแล้วงั้นรึ เจ้าคนนอกใจ…” ไป่ลี่ฮัวไร้คำพูด
“ใจเย็นๆ อย่ามองดูข้าเหมือนกับว่าข้าเป็นคนบาปทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด” ซูหยางขมวดคิ้วหลังจากที่เห็นไป่ลี่ฮัวมองดูเขาด้วยท่าทางขยะแขยง