“ใครที่เจ้าจะแข่งขันด้วยในวันพรุ่งนี้” ไป่ลี่ฮัวเข้าไปหาพวกเขาหลังจากที่เธอได้รับหมายเลขและคู่แข่งขัน
“สมาพันธ์แม่น้ำเหลือง”
“ช่างโชคดีจัง” เธอกล่าว
“ทำไมท่านจึงพูดเช่นนั้น” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“อย่างน้อยพวกท่านก็มีคนที่เหมาะสมที่จะสู้ด้วย คู่ต่อสู้ของสำนักหงส์สวรรค์ในวันพรุ่งนี้เป็นเพียงแค่สำนักระดับกลางทั่วไป เปรียบกับนิกายแท่นบูชาทองแล้วพวกเขายังแย่ยิ่งกว่า ดังนั้นศิษย์ข้าอาจจะมิมีโอกาสที่จะแสดงพรสวรรค์ที่แท้จริงออกมา”
“นั่นมิใช่สิ่งที่ต้องเสียใจมิใช่รึ” โหลวหลานจีไม่รู้ว่าจะต้องโต้ตอบกับคำพูดของไป่ลี่ฮัวอย่างไร ถ้าเป็นเธอ เธอคงดีใจยอมรับชัยชนะที่ได้มาฟรีๆนั้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อนิกายล้านอสรพิษออกไปพ้นทางแล้ว ผู้ทรงอำนาจที่ข้าต้องกังวลก็มีเพียงแค่ สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ นิกายดอกบัวเพลิง และบางทีก็อาจจะสำนักเมฆม่วงด้วย” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“กล่าวถึงสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ทำไมจึงไม่เห็นพวกเขาในการแข่งขันแม้สักคู่ในวันนี้ ข้าก็มิเห็นเจ้าสำนักของพวกเขาที่นี่เช่นกัน” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาพยายามที่จะมองหาใบหน้าผู้อาวุโสจง
“เพราะว่าพวกเขาเป็นแชมป์ในการแข่งขันระดับภูมิภาคในครั้งล่าสุด” ไป่ลี่ฮัวกล่าว “พวกเขามิต้องเข้าร่วมการแข่งขันใดจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย”
“อย่างงั้นรึ…”
หลังจากที่ทุกคนได้คู่แข่งขันสำหรับในวันพรุ่งนี้แล้วพวกเขาทั้งหมดต่างก็พากันกลับไปยังที่พักเพื่อกระจายข่าว
“แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนมีพลังการฝึกปรือที่น่าประทับใจเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา ก็อย่าประมาทสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง พวกนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในด้านวิชาลวงตา ดังนั้นจงระวังเรื่องนั้น” โหลวหลานจีเตือนเหล่าศิษย์
“อย่ากังวลท่านผู้นำนิกาย มิมีทางที่พวกเราจะพ่ายแพ้” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า
หลังจากที่พูดกับเหล่าศิษย์แล้ว โหลวหลานจีก็ปล่อยพวกเธอไปก่อนที่จะพูดกับซูหยางเป็นการส่วนตัว
“เจ้าคิดว่าอย่างไร” เธอพลันถามเขา
“หมายความว่าอย่างไรรึ”
“เจ้าได้เห็นสิ่งที่คู่หมั้นของเจ้า หงอวี้เอ๋อร์ สามารถทำได้ เธอเพียงคนเดียวเอาชนะนิกายล้านอสรพิษได้ ยังมีน้องสาวของเจ้าและนิกายดอกบัวเพลิง เจ้ายังคงมั่นใจว่าพวกเราสามารถเอาชนะการแข่งขันนี้หลังจากที่เห็นสิ่งทั้งหมดเหล่านี้อยู่รึ”
“แน่นอน” ซูหยางตอบโดยไม่ลังเล “แม้ว่าพลังของหงอวี้เอ๋อร์จะเหนือความคาดหมายไปบ้าง แต่นั่นก็ยังอยู่ในขอบเขตความสามารถของข้า”
“…ถ้าพูดเช่นนั้น” โหลวหลานจีพยักหน้า
วันถัดมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพร้อมกับคนอีกครึ่งเมืองก็กลับไปยังโคลีเซียมสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคในวันที่สอง ตามจริงดูเหมือนว่าจะมีคนที่นี่ในวันนี้มากขึ้นกว่าเมื่อวาน
“เชี่ย เพราะว่าข้ามิสามารถเข้ามาในเมืองได้จนกระทั่งวันนี้ ข้าจึงพลาดโอกาสที่จะเห็นนิกายล้านอสรพิษพ่ายแพ้นับตั้งแต่วันแรกของการแข่งขัน”
“นั่นเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ ข้ายังคงจำได้ชัดเจนถึงนางฟ้าหงทุบตีศิษย์ของนิกายล้านอสรพิษจนโง่ไปเลย”
ผู้ชมเกือบทั้งหมดยังไม่อาจลืมความแข็งแกร่งอันน่าตระหนกที่หงอวี้เอ๋อร์แสดงออกมา และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเธอต่อราวกับว่ายังเป็นเมื่อวานนี้
“ยินดีต้อนรับกลับสู่การแข่งขันระดับภูมิภาค” ซื่อตงปรากฏกายบนเวทีไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
“มีสำนักมากกว่าสองร้อยสำนักสู้กันเมื่อวานนี้ และตอนนี้ก็ลดลงเหลือเพียงร้อยสำนัก แม้ว่าจักมีการแข่งขันน้อยลงในทุกวัน แต่ละการต่อสู้ก็จักยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
“ก่อนที่ข้าจะเริ่มการแข่งขันในวันนี้ ข้าจักทบทวนกฏสำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ในวานนี้”
ซื่อตงจึงทำการอธิบายกฏอีกครั้ง
“สิบล้านก้อนหินวิญญาณถึงแม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุก็ตาม นั่นค่อนข้างโหดทีเดียว”
“ข้าได้ยินว่ามีอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันหนึ่งเมื่อวานนี้”
“ใช่แล้ว เหมาอี้จวินจากนิกายล้านอสรพิษตายบนเวทีเมื่อวานนี้ตอนกำลังต่อสู้กับนางฟ้าหง”
“อะไรนะ นางฟ้าหงฆ่าเขาเหรอ”
“แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ตระกูลซียังมิได้ลงโทษสำนักเมฆม่วงให้ชำระสิบล้านก้อนหินวิญญาณ ในเมื่อตอนนี้พวกเขากำลังตรวจสอบการตายของเขาที่ค่อนข้างแปลก”
หลังจากที่ซื่อตงเสร็จสิ้นการอธิบายกฏอีกครั้ง เขาก็เรียกการแข่งขันรอบแรกให้ขึ้นสู่เวที
“เมื่อไหร่พวกท่านจะได้สู้”
หวังชูเหรินพลันปรากฏตัวในพื้นที่และถามซูหยาง
“กลางๆ” เขาแสดงบันทึกที่มีหมายเลข “29”
“เจ้าเป็นคนเดียวที่นี่ที่มาดูรึ” ซูหยางถามเธอ
หวังชูเหรินพยักหน้าและกล่าวว่า “อย่าลืมว่าข้ามิอาจพลาดที่จะเห็นท่านขึ้นเวที”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นโชคร้ายของเจ้า ข้าอาจจักมิมีโอกาสที่จะต่อสู้ในวันนี้”
“เอ๋ ท่านจักมิต่อสู้รึ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว
“ครั้นเมื่อข้าขึ้นเวที นั่นจักมิเป็นการแข่งขันอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวพวกนั้นก็เพียงพอที่จะรับประกันชัยชนะต่อสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง”
หวังชูเหรินถอนใจและกล่าวขึ้น “ถ้าเพียงนิกายดอกบัวเพลิงสามารถรักษาความเยือกเย็นเหมือนท่านได้ในตอนนี้”
“แม้ว่าพวกเราจะมีศิษย์มากกว่าสิบที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ แต่ทุกคนรู้สึกตึงเครียดเกี่ยวกับการแข่งขัน”
“โอ อะไรเป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายเช่นนั้นรึ”
หวังชูเหรินชี้ไปที่เขาด้วยรอยยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “ข้าบอกพวกเขาว่าท่านจักเข้าร่วมกันแข่งขันด้วยเช่นกัน”
ซูหยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ
“พวกเขามิเชื่อข้าตอนที่ข้าบอกพวกเขาครั้งแรก ไม่ว่าอย่างไรพวกเขามักจะคิดเสมอว่าท่านแก่กว่าหน้าตาที่เห็นนั้นมากนัก ตอนนี้เมื่อพวกเขารู้อายุจริงของท่าน พวกเขาก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองเชื่อว่าท่านยืมความแข็งแกร่งมาจากสมบัติวิญญาณระดับอัมพร ซึ่งทำให้ท่านสามารถเหยียบย่ำพวกเขาได้ในวันนั้น”
“ข้ามิโทษพวกเขาที่กลัวข้า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็คงจะกลัวเช่นกันถ้าข้าอยู่ในสถานะเดียวกันกับพวกเขา”
ในเวลานั้น ไป่ลี่ฮัวและโหลวหลานจีต่างพากันฟังการสนทนาระหว่างพวกเขาอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ และพวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน
ทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงกลัวซูหยางกัน เขาทำอะไรให้กับพวกนั้นกันรึ