หลังจากที่เขียนชื่อนิกายกุสุมาลพ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงข้างกันบนกระดานแล้ว ซื่อตงก็เริ่มขานหมายเลขต่อไป
หลังจากนั้นไปได้อีกสักพัก ซื่อตงก็พูดเสียงดังว่า “หมายเลข สิบแปด”
ครั้นเมื่อไป่ลี่ฮัวได้ยินหมายเลขของเธอถูกเรียกแล้ว เธอก็ยกมือขึ้น และห่างไปจากเธอไม่กี่เมตรอีกคนก็ได้ยกมือขึ้น
เมื่อเหล่าเจ้าสำนักเห็นคนทั้งคู่ ดวงตาของพวกเขาต่างก็เป็นประกายสนุกสนาน
“สำนักหงส์สวรรค์ และสำนักเมฆม่วง” ซื่อตงทำการเขียนชื่อพวกเขาลงไปบนกระดาน
“…”
ไป่ลี่ฮัวมองดูกู่กว่านถิงจนหน้าสวยตึงเครียด และกู่กว่านถิงก็จ้องมองกลับมาที่เธอด้วยท่าทางเช่นเดียวกัน
“ท่านคิดว่าอย่างไรกับคู่นี้”
เจ้าสำนักต่างๆที่อยู่ที่นั่นต่างพากันกระซิบกระซาบกัน
“แม้ว่าสำนักเมฆม่วงจะได้รับชัยชนะที่น่าประหลาดใจกับการต่อสู้กับนิกายล้านอสรพิษ ข้าก็มิคิดว่าพวกเขาจะสามารถที่จะรับมือสำนักหงส์สวรรค์ได้” หนึ่งในเจ้าสำนักกล่าวสิ่งที่ตนเองคิดขึ้น
“ข้ามีความรู้สึกว่าหงอวี้เอ๋อร์จากสำนักเมฆม่วงยังมิได้แสดงความสามารถของเธออย่างเต็มที่ ใครจะรู้ บางทีเธอเพียงคนเดียวอาจจะเอาชนะสำนักหงส์สวรรค์อีกก็ได้”
เจ้าสำนักอีกคนให้คำตัดสินของตนเอง
“เจ้าคิดว่าอย่างไร ซูหยาง เจ้ามีความมั่นใจว่านิกายล้านอสรพิษจะพ่ายแพ้ให้กับสำนักเมฆม่วงก่อนที่มันจะเริ่ม สำนักหงสวรรค์จะสามารถเอาชนะสำนักเมฆม่วงได้หรือไม่ หรือให้ชัดเจนก็คือเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์” โหลวหลานจีถามเขา
ซูหยางยักไหล่ของตนเองอย่างรวดเร็ว “ข้ามิรู้ ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”
โหลวหลานจีหรี่ตาให้กับเขาซึ่งเห็นได้ชัดว่ารู้อะไรบางอย่าง
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเธอก็กล่าวว่า “ข้าคิดว่าหงอวี้เอ๋อร์ ยังคงซ่อนไม้ตายเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เธอสามารถจัดการนิกายล้านอสรพิษได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าข้ามิอาจคาดเดาได้ว่าฝ่ายไหนจะชนะในท้ายที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดของสำนักหงส์สวรรค์”
หลังจากนั้น ครั้นเมื่อทุกคนได้มีชื่อของสำนักตนเองบนกระดานแล้ว เจ้าสำนักทุกคนก็กลับไปหาศิษย์ตนเองเพื่อถ่ายทอดข่าวสาร
“นี่มันโชคอะไรกัน” ไป่ลี่ฮัวตรงเข้าไปหาโหลวหลานจีและซูหยางหลังจากนั้นและกล่าวว่า “พวกเจ้าได้จับคู่กับนิกายดอกบัวเพลิง คู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดในการแข่งขันนี้ ในเวลาเดียวกันพวกเราต้องรับมือกับสำนักเมฆม่วงหนึ่งในม้ามืดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์”
“ท่านกังวลว่าจะแพ้รึ” ซูหยางถามเธอด้วยรอยยิ้ม
ไป่ลี่ฮันขมวดคิ้วและตะโกน “ไร้สาระ”
“ข้ามีความมั่นใจในความสามารถของศิษย์ของข้าอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าหงอวี้เอ๋อร์จะเก่งกาจ เธอก็จักมิสามารถที่จะจัดการกับพวกเราเหมือนกับที่จัดการนิกายล้านอสรพิษได้ ในเมื่อเราจักเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด”
“โชคดี” ซูหยางกล่าวก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป
ครั้นเมื่อพวกเขากลับไปยังโรงเตี๊ยม โหลวหลานจีก็เปิดเผยให้เหล่าศิษย์ฟังถึงคู่ต่อสู้ถัดไป ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับพวกเธอเป็นอย่างมาก
“พ-พวกเราต้องต่อสู้กับนิกายดอกบัวเพลิงแล้วเหรอ” ซุนจิงจิงปากอ้าค้างด้วยความตระหนก
“จากการต่อสู้กับสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองมาเป็นนิกายดอกบัวเพลิง… นี่เหมือนเป็นการข้ามระดับความยาก” ฟางซีหลานกล่าว
“ข้าเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างจะยาก แต่ถ้าพวกเราต้องการชนะการแข่งขันนี้ เราจักต้องสู้พวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าได้กล่าวถึงการต่อสู้กับสำนักระดับสูงอื่นๆ” โหลวหลานจีกล่าว
“สาวๆกังวลกับเรื่องนิกายดอกบัวเพลิงกันอยู่รึ” ซูหยางพลันถามพวกเธอ
“เอ้อ… พวกเขามีศิษย์นับโหลที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณในขณะที่พวกเรามีเพียงแค่สองคน” ซุนจิงจิงกล่าว
ซูหยางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าความแตกต่างระหว่างเขตสัมมาวิญญาณและเขตปฐพีวิญญาณอาจจะเหมือนกันผืนดินผืนฟ้า แต่มันมิได้มีนัยสำคัญจริงจังเหมือนที่พวกเจ้าเชื่อ ตราบเท่าที่พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการต่อสู้ ความได้เปรียบเล็กน้อยของพวกเขานี้ย่อมแทบสังเกตไม่เห็น”
“พวกเราจะเตรียมตัวอะไรแบบนั้นได้อย่างไร” หนึ่งในเหล่าศิษย์ถาม
“นั่นเป็นเรื่องค่อนข้างง่าย จริงแล้ว มันก็เป็นเพียงกิจวัตรประจำวันสำหรับพวกเจ้าทุกคนอยู่แล้ว”
เหล่าศิษย์ต่างพากันเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะสงสัยกับคำพูดของเขาที่ทำให้ดูเหมือนกับว่าพวกเธอได้มีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่แล้ว
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนรวมตัวกันในห้องเดียวคืนนี้ ข้าจักสอนพวกเจ้าทั้งหมดถึงวิชาใหม่สำหรับการต่อสู้วันพรุ่งนี้”
“จริงรึ” เหล่าศิษย์ต่างพากันตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา คิดสงสัยว่าเป็นวิชาแบบไหนกันที่เขาจะสอนพวกเธอ
“เจ้าต้องการที่จะสอนพวกเธอให้เรียนวิชาใหม่ในคืนเดียวงั้นรึ ข้ามิได้สงสัยในความสามารถในการสอนของเจ้าหรือความสามารถของพวกเธอ แต่การเรียนวิชาหนึ่งนั้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิชาระดับต่ำก็ยังค่อนข้างจะเหลือเชื่อและเป็นไปไม่ได้แม้กระทั่งอัจฉริยะ…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ถ้าวิชาที่ใช้ในการฝึกฝนนั้นง่ายและรวดเร็วในการเรียน เช่นนั้นผู้ฝึกวิชาทุกคนในโลกย่อมกลายเป็นจอมยุทธที่มีวิชานับร้อยอยู่ในมือแล้วตอนนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของโหลวหลานจี ซูหยางก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่ามันจะเรียกว่าวิชา แต่ว่ามันเป็นอะไรที่แตกต่าง ตามจริงมันเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกวิชาสามารถเรียนภายในไม่กี่ชั่วโมงถ้าพวกเขาปรารถนา แต่เพราะว่าธรรมชาติของวิชานี้ มันสามารถฝึกได้เฉพาะกับการฝึกคู่”
“บางอย่างเช่นนี้ก็มีด้วยรึ ทำไมเจ้ามิสอนข้าด้วยล่ะ” โหลวหลานจีพลันรู้สึกทึ่ง
“แน่นอนข้าจักสอนท่านวิชานี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้าจักทำแบบนั้นวันอื่น ในเมื่อศิษย์เหล่านี้ต้องการใช้มันมากกว่าท่าน”
โหลวหลานจีพยักหน้า “นั่นเป็นที่เข้าใจ”
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ซูหยางก็เข้าไปในห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยม และภายในนั้นก็ยืนไปด้วยสิบสาวงาม
เมื่อซูหยางเข้าไปในห้อง ดวงตาเป็นประกายสิบคู่ก็หันมามองดูเขา ดูเหมือนว่าจะตื่นเต้นที่ได้เห็นเขา
“สาวๆทั้งหลายพร้อมหรือยัง” ซูหยางถามพวกเธอด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“อื้อ”
พวกเธอทุกคนพยักหน้า
“ดี มาเริ่มต้นกันเถอะ”
“พวกเราต้องทำอย่างไรบ้าง” ซุนจิงจิงถามเขา
“เริ่มแรก ถอดเสื้อผ้าออก” เขาตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
บรรดาหญิงสาวต่างพากันมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“พวกเรากำลังจะฝึกฝน” เขากล่าว
หญิงสาวทุกคนพากันมองดูหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก ราวกับว่าพวกเธอได้คาดการณ์เหตุการณ์นี้ไว้เรียบร้อยแล้ว