ที่แห่งหนึ่งภายในหมู่ผู้ชม หญิงงามวัยกลางคนที่ดูคล้ายซุนจิงจิงอยู่บ้างจ้องมองบนเวทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แม้ว่าข้าเกลียดที่จะยอมรับ แต่ก็ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเธอที่จะไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง…”
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ข้างเธอพลันกล่าวขึ้น สายตาจ้องมองซุนจิงจิงอย่างอ่อนโยน
“…”
“อะไร เจ้ามิคิดเช่นนั้นรึทั้งที่เห็นเธออยู่บนเวทีแล้ว” เขาพูดต่อหลังจากที่เงียบไปอีกชั่วขณะ
“ไม่ใช่ เพียงแค่—”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับชัยชนะติดต่อกันเป็นครั้งที่สาม และศิษย์ซุนจิงจิงจักยังอยู่ต่อในรอบที่สี่” ซื่อตงพลันประกาศ
“นั่นคือเด็กสาวของข้า” ชายวัยกลางคนตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
หญิงงามข้างกายเขาส่ายหน้าและกล่าวว่า “…ก็เหมือนที่ข้ากล่าวไว้ ถึงแม้ว่าเธอจักประสบความสำเร็จด้วยตนเองบ้าง ใครจักปรารถนาที่จะยอมรับหญิงจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ท่านรู้ไหมว่าผู้ชายส่วนใหญ่คิดอย่างไร พวกเขาเพียงสนใจแต่เพียงหญิงสาวอ่อนวัยใสบริสุทธิ์ ส่วนเด็กสาวที่มิบริสุทธิ์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอมาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าเกรงว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับเธอในการที่จะหาคู่”
ชายวัยกลางคนหัวเราะหึแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าประเมินพวกเราต่ำไป ตราบเท่าที่พวกเธอมีใบหน้าสวยและเรือนร่างเหมาะสม พวกเรายินดีทำทุกอย่าง ซุนจิงจิงมิใช้เพียงแต่เป็นสาวสวยไร้ที่เปรียบ แต่ก็ยังเป็นผู้ฝึกวิชาที่เก่งกาจด้วยเช่นกันในตอนนี้ ข้าสงสัยว่าเจ้าจักมีปัญหาในใจเรื่องเธอบางอย่าง ตามจริงจากบุคลิกของเธอข้ากังวลมากกว่าว่าเธอมิอาจจะหาชายที่มีความสามารถมากพอที่ตรงกับใจของเธอได้”
“…”
หญิงวัยกลางคนเงียบไปและมุ่งความสนใจไปยังบนเวที
“ฮ่า กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: เกสรร่วงหล่น”
สำแสงกระบี่หลายสายปรากฏขึ้นด้านบนซุนจิงจิงก่อนที่จะพร่างพรมลงไปยังชายหนุ่มตรงหน้าเธอ
“เตาแผดเผา”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงสร้างเตาปรุงยาขนาดใหญ่ตรงหน้าเพื่อป้องกันตนจากแสงกระบี่ แต่น่าเสียดายมันขาดกระจุยอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันถูกจัดสร้างมาจากกระดาษ
“อาาา”
แสงกระบี่ที่ทิ่มทะลุเตาปรุงยานั้นยังพุ่งเข้าทิ่มแทงศิษย์คนนั้น ทำใหเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเขาถูกทิ่มแทงด้วยกระบี่นับสิบเล่ม ถ้ามิใช่เพราะว่าเกราะป้องกันผลลัพธ์ก็คงเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
“ข้า..ข้ายอมแพ้”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงยอมแพ้การแข่งขันหลังจากดิ้นรนต่อสู้ซุนจิงจิงไปอีกหลายนาที
“นั่นมิสมเหตุผล…” โหวเยินเจียพึมพัมพร้อมขมวดคิ้ว
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิได้เป็นที่รู้จักในเรื่องความแข็งแกร่งหรือวิชาฝีมือ ดังนั้นพวกเธอสามารถเอาชนะศิษย์ของพวกเราได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นกุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์เป็นเพียงแค่วิชาฝีมือระดับทั่วไป มันมิควรจักสามารถต่อต้านวิชาระดับปฐพีของพวกเราได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเหนือกว่าอีกด้วย”
ไม่เพียงแต่โหวเวินเจีย ทุกคนที่อยู่ในโคลีเซียมต่างพากันงงงันกับผลลัพธ์ ในเมื่อไม่มีใครในที่นั้นคาดว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเอาชนะนิกายดอกบัวเพลิงได้แม้แต่รอบเดียว อย่าว่าแต่จะชนะสี่ครั้งรวด
“สวรรค์ ดูเหมือนว่าพวกเราล้วนประเมินนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่ำไปอย่างมากมาย”
“มิเพียงแต่พวกเราจะประเมินพวกเขาต่ำไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปีนี้ช่าง… ราวกับว่าต่างกันเป็นคนละสำนักเมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จที่ได้ในครั้งที่แล้ว”
“จริงด้วย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปกติจะอยู่อันดับท้ายสุดหรือไม่ก็ท้ายๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาแสดงให้เห็นความสามารถเช่นนี้
“ข้าสงสัยว่าอะไรที่เปลี่ยนแปลง”
“บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ผู้ชมต่างพากันมองไปที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยรูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตามยังคงมีผู้คนที่ปฏิเสธที่จะชื่นชมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“นิกายดอกบัวเพลิงคงจะมิได้เอาจริงจังกับพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นพันธมิตรกัน”
“ข้าพนันกับเจ้าว่าพวกเขาเพียงยอมให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้รักษาหน้า จริงแล้วนิกายดอกบัวเพลิงยังมิได้ส่งอัจฉริยะของพวกเขาออกมา”
ในเวลานั้นบนเวที ซื่อตงก็ได้ถามซุนจิงจิงว่า “เจ้าสามารถสู้ต่อหรือไม่ หรือว่าเจ้าต้องการที่จะส่งนักสู้คนอื่น”
ซุนจิงจิงครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ข้าสนุกมาพอแล้ววันนี้ ข้าจักให้พี่น้องของข้าจัดการที่เหลือ”
แม้ว่าเธอยังมีเรี่ยวแรงเหลืออีกมากในร่าง ซุนจิงจิงก็ไม่ต้องการที่จะดึงดูดความสนใจทั้งหมดมาไว้ที่ตนเองและหยุดไว้เพียงแค่นั้น
“นั่นช่างน่าประหลาด พี่สาวจิงจิง ท่านจัดการกับพวกเขาสามคนได้อย่างง่ายดาย”
เหล่าศิษย์พากันชื่นชมเธอในทันที
“ฮี่ฮี่… นั่นมิมีอะไรมาก..” ซุนจิงจิงหน้าแดง
“อย่างไรก็ตามวิชานี้ช่างน่ามหัศจรรย์ แม้ว่าข้าเพิ่งได้สู้กับคนในเขตปฐพีวิญญาณถึงสามคน แต่ปราณไร้ลักษณ์ในร่างของข้ายังแทบมิลดลงเลยแม้แต่น้อย” ซุนจิงจิงมองดูซูหยางด้วยสายตาชื่นชม
อย่างไรก็ตามซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตัววิชานี้เองมิได้มีอะไรพิเศษ ที่สำคัญก็คือมันช่วยเติมพลังให้กับร่างของเจ้าให้แข็งแกร่ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ซุนจิงจิงก็ลูบท้องของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นที่มาของต้นกำเนิดของความแข็งแกร่ง
“พูดจากใจ มันทรงพลังจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกับโกง” ซุนจิงจิงแสดงรอยยิ้มขื่นขม
เพราะว่าความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำนี้ยืมมาจากปราณหยางที่ตอนนี้อยู่ในร่างของพวกเธอ มันเป็นการโกงทางเทคนิคที่อาศัยความช่วยเหลือจากสิ่งภายนอก
“มิจำเป็นต้องรู้สึกผิด ในเมื่อนี่เป็นวิธีการต่อสู้ของผู้ฝึกวิชาคู่” ซูหยางส่ายหน้า “ถ้าเจ้าคิดว่าการฝึกวิชาคู่ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์และความสุขและมิมีอะไรไปกว่านั้น เจ้ามิอาจถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ที่แท้จริง ตามจริงสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหมดได้ทำมาจนถึงวันนี้นั้นเป็นเพียงการเริ่มต้นของสิ่งที่การฝึกวิชาคู่ได้มอบให้เท่านั้น”
“ผู้ฝึกวิชาทั่วไปมีวิธีของตนเองในการต่อสู้ และพวกเราก็มีวิถีทางของตนเองเช่นเดียวกัน วิชานี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในวิชาหลากหลายที่บ่งบอกว่าการฝึกวิชาคู่ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร”
“จำไว้ มันเรียกว่าการฝึกวิชาคู่เพราะว่ามีเหตุผล แม้ว่าเหมือนจะเป็นแบบนั้นพวกเจ้าก็มิได้อยู่คนเดียวแต่อย่างใดในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นของการฝึกวิชาทั่วไป”
“แม้ว่าเหมือนจะเป็นแบบนั้นพวกเราก็มิเคยอยู่คนเดียวแต่อย่างใด…”
ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังย้ำถ้อยคำของเขาอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับว่าพวกเธอพยายามที่จะประทับมันไว้ในใจของพวกเธอ