“นี่เป็นไปไม่ได้…” เจ้าซีขมวดคิ้ว “เทวรูปวิญญาณรายงานว่าพลังการฝึกปรือของเธออยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณ แต่เห็นชัดว่าเธอแสดงพลังการฝึกปรือที่เขตอัมพรวิญญาณ เทวรูปวิญญาณมิเคยผิดพลาดมานับพันปี”
หลังจากนั้นชั่วขณะ เจ้าซีก็พลันนึกอะไรได้บางอย่าง
“เดี๋ยวก่อน เธอมิใช่เพียงคนเดียว ซูหยางนั่นก็รายงานมว่าอยู่ที่เขตคัมภีร์วิญญาณ ซึ่งเห็นชัดว่าไร้สาระ นี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าพวกเขามีวิธีที่จะซ่อนพลังการฝึกปรือที่แท้จริงจากเทวรูปวิญญาณ”
ขณะที่เจ้าซีครุ่นคิดอยู่นั้นซูหยางก็จ้องไปที่หงอวี้เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“ซ-ซูหยาง ก-เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เธอพลันไปอยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณได้อย่างไรกัน” โหลวหลานจีถามเขาด้วยสีหน้างุนงง
“ท่านหมายความว่าอะไรกับคำว่า “พลัน” เธออยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณตลอดมาอยู่แล้ว เพียงแค่เธอซ่อนความจริงไว้และทำเหมือนกับว่าอยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณมาตลอดเท่านั้น”
“เอ๋ แต่นั่นยิ่งน่าสับสน เธอน่าจะได้รับการทดสอบด้วยเทวรูปวิญญาณ…”
“ของเล่นเล็กน้อยเช่นนั้นจักใช้งานมากไปแล้ว มีหลายวิธีที่จะทำให้มันผิดพลาด”
“เช่นนั้น…” โหลวหลานจีตระหนักถึงบางสิ่งและมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง “อย่าบอกข้าว่าเจ้าเองก็ทำบางอย่างกับพลังการฝึกปรือของเจ้าเช่นกัน อย่างไรก็ตามมันค่อนข้างเป็นไปได้ยากที่จะเชื่อว่าเจ้าเพียงอยู่แค่เขตคัมภีร์วิญญาณในเมื่อทุกคนอย่างน้อยต่างก็อยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณ”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “บางที”
ในเวลานั้นซูหยินยืนอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ดูเหมือนว่าจะสูญเสียความมั่นใจและความปรารถนาทั้งหมดที่จะต่อสู้กับหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งเห็นชัดว่าอยู่เหนือเธออีกขอบเขตหนึ่ง
“ฮาฮา…. เรื่องตลกอะไรกันนี่ ข้าจักชนะการต่อสู้นี้ได้อย่างไร” เธอพึมพัมกับตัวเอง
“ท้ายที่สุดเจ้าก็คงเข้าใจความแตกต่างระหว่างเราและเหตุใดที่เจ้ามิอาจเอาชนะข้าได้แล้วใช่ไหม น้องสาวของซูหยาง ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปี ข้าก็ยังคงชนะการต่อสู้นี้” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวกันเธอ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยินก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่หงอวี้เอ๋อร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรามิรู้จนกว่าข้าจักได้ลองพยายาม พี่ชายของข้ากำลังดูข้าอยู่ในตอนนี้ ข้ามิสามารถยอมแพ้ได้หากมิได้ลองพยายาม” เธอตะโกน
หงอวี้เอ๋อร์แสดงรอยยิ้มให้เห็นเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ซูหยิน ช่างน่าชื่นชม”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นให้ข้าสู้กับเจ้าจนถึงที่สุด”
ซูหยินพลันตั้งท่าในทันทีและเตรียมที่จะเข้าปะทะกับหงอวี้เอ๋อร์
“รูปแบบสวรรค์ที่สาม รัศมีสวรรรค์”
แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งพลันโอบล้อมซูหยิน เพิ่มพลังการฝึกปรือของเธอขึ้นไปอีกสามระดับ
“ข้าเพิ่งเรียนได้เมื่อวานนี้ ดังนั้นข้าก็จักเพียงสามารถใช้ได้เพียงแค่หนึ่งนาทีเป็นอย่างมาก…” ซูหยินคิด
“ดังที่คาดไว้สำหรับคนตระกูลซู พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจมิไหวหวั่น”
แม้ว่าผู้ชมจะไม่เชื่อว่าซูหยินจะสามารถเอาชนะคนที่มีพลังเหนือกว่าอีกหนึ่งขอบเขตได้ พวกเขาก็พากันชื่นชมซูหยินที่ไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งที่ต่างกันเห็นชัดเจน ทั้งยังให้กำลังใจเธออีกด้วย
“ต่อให้เธอแพ้ในครั้งนี้ ก็มิมีใครที่จะโทษเธอ”
“ลืมเรื่องนางฟ้าซูไปเถอ ในเมื่อกระทั่งเจ้าสำนักหงสวรรค์เองก็อาจจะมิสามารถเอาชนะเธอได้ นางฟ้าหงแข็งแกร่งเกินไป”
“ซูหยิน ถ้าเจ้ายังคงยืนอยู่หลังจากการโจมตีของข้าครั้งนี้ ข้าจักยอมแพ้ ฟังดูเป็นไงบ้าง” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวกับเธอ
“จริงรึ” ความหวังอันริบหรี่ปรากฏขึ้นในดวงตาของซูหยิน
“แน่นอน” หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าและเลียนแบบการเคลื่อนไหวของซูหยินอีกครั้ง
“รูปแบบสวรรค์ที่สอง อีกครั้งรึ” ซูหยินเลิกคิ้ว
“ข้าเข้าไปแล้ว”
หงอวี้เอ๋อร์พลันพุ่งเข้าไปหาซูหยิน ซึ่งรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังมองดูมังกรที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้พุ่งเข้าใส่ตัวเธอ
“รูปแบบสวรรค์ที่สอง หมัดเกลียวสวรรค์”
หงอวี้เอ๋อร์ทิ่มหมัดทั้งคู่ไปข้างหน้าแต่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ มันสนับสนุนด้วยพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณทำให้ความแข็งแกร่งของวิชาระดับสวรรค์นี้เหมือนกับเป็นวิชาระดับเซียน
ซูหยินตัดสินใจที่จะเน้นในการป้องกันโดยเฉพาะ เธอยื่นแขนออกไปเบื้องหน้าเตรียมป้องกันการโจมตีด้วยตัวตนของตนเอง
บูม
ทันทีที่หมัดของหงอวี้เอ๋อร์ปะทะเข้ากับซูหยิน ริ้วคลื่นที่ทรงพลังที่เต็มไปด้วยปราณไร้ลักษณ์ก็กวาดไปทั่วทั้งเวที จนทำให้เกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อยภายในโคลีเซียม
สำหรับซูหยินนั้นเธอไม่สามารถต่อต้านแรงกระแทกจากการโจมตีและปลิวตรงออกไปนอกเวที ก่อนที่จะปะทะเข้ากับผนังและร่วงลงสิ้นสติ
“น-น-นักสู้ซูหยินตกจากเวทีและสิ้นสติ ผู้ชนะการแข่งขันรอบนี้คือหงอวี้เอ๋อร์และสำนักเมฆม่วงได้ชนะการแข่งขันครั้งนี้” ซื่อตรงประกาศหลังจากที่หลุดออกมาจากความงงงัน
หลังจากที่เอาชนะซูหยินแล้ว หงอวี้เอ๋อร์ก็หันมองไปยังคนผู้หนึ่งภายในหมู่ผู้ชมและแสดงรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของเธอ
“ข้าจักพูดกับเจ้าเร็วนี้ ซูหยาง…” เธอพึมพัมก่อนที่จะลงจากเวที ทิ้งกลิ่นอายอันงดงามสง่าไว้ด้านหลัง
“ข้ามิอยากเชื่อ… สำนักหงส์สวรรค์ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับพวกเขา…” โหลวหลานจีพึมพัมหลังจากที่เห็นความพ่ายแพ้ของพวกเธอ
“พ-พวกเรามีโอกาสในการสู้กับพวกเขาจริงเหรอ” ซุนจิงจิงถอนหายใจด้วยเสียงโศกเศร้า “คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณสามารถจัดการกับผู้เชี่ยวชาญเขตปฐพีวิญญาณนับสิบได้อย่างง่ายดาย นอกจากว่าพวกเราก็มีคนที่อยู่ในระดับนั้นเช่นกัน ข้าสงสัยว่าพวกเราจักสามารถจัดการกับหงอวี้เอ๋อร์หรือไม่ พวกเจ้าคิดอย่างไร พี่สาวฟาง”
“ใครจะรู้…” ฟางซีหลานยักไหล่อย่างเยือกเย็น
“ท่านยังคงใจเย็นอยู่ได้อย่างไร เป็นความมั่นใจหรือมีอะไรหรือ” ซุนจิงจิงเลิกคิ้ว
“ความเชื่อมั่น… ข้าเดาว่าควรเป็นความเชื่อมั่น” เธอตอบ
“ความเชื่อมั่นรึ กับอะไร”
“ไม่ใช่อะไร แต่เป็นใคร…” ฟางซีหลานยิ้ม
—
“ม-เมื่อไหร่กันที่เจ้าเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณ อย่างน้อยเจ้าควรจะบอกข้า อาจารย์ของเจ้า” กูกว่านถิงกล่าวกับหงอวี้เอ๋อร์เมื่อเธอกลับมายังพวกเขา
“โอ ข้ามิได้บอกรึ เช่นนั้นข้าคงลืมไป” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
“จ-เจ้าลืมรึ ฟังนี่–”
“ข้าเหนื่อย เช่นนั้นข้าจักขอพักสักวัน” หงอวี้เอ๋อร์ตัดบทเขาและรีบเดินจากไป
“ฮ้าาาา…. ทำตามที่เธอต้องการเสมอเลย…” กูกว่านถิงถอนใจ
แม้ว่าเขาต้องการที่จะสั่งสอนเธอ เขาก็ไม่มีความกล้าแม้ว่าจะเป็นเจ้าสำนัก มีบางอย่างในตัวหงอวี้เอ๋อร์ที่ทำให้เขารู้สึกกังวลเมื่อเขาอยู่ใกล้เธอ ราวกับว่าอยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตระดับสูง