“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ เกสรร่วงหล่น” ฟางซีหลานส่งการโจมตีด้วยกระบี่นับสิบภายในชั่วพริบตา ระเบิดคู่ต่อสู้กระเด็นไปในทันที
ครั้นเมื่อศิษย์สถาบันกระบี่ภูไคกระเด็นไปจากเวทีแล้ว ซื่อตงก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “ฟางซีหลานเอาชนะคู่ต่อสู้ของเธอได้อย่างง่ายดาย และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ประสบความสำเร็จในการเอาชนะรอบที่ห้าของการแข่งขันนี้”
“แม้ว่าเธอจะอยู่ที่ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ ดูเหมือนว่าเธอก็เพียงใช้ความแข็งแกร่งของคนที่อยู่ที่ระดับหนึ่ง” ซีซิงฟางกล่าวหลังจากที่วิเคราะห์การต่อสู้ “คำอธิบายอีกอย่างก็คือเธอตั้งใจจำกัดความแข็งแกร่งของเธอไว้ที่ระดับหนึ่ง”
“การแข่งขันประจำปีนี้กระทั่งข้าก็ยังเห็นว่าบ้าบอเกินไป” เจ้าซีแสดงรอยยิ้มแปลกประหลาด “หรือว่านี่เป็นยุคใหม่ของผู้ฝึกยุทธ”
ในเวลานั้นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์ก็กำลังดูฟางซีหลานเผด็จการแต่ละรอบด้วยความอิจฉา
“แม้ว่าความแข็งแกร่งของเธอจะจำกัดไว้แค่เพียงระดับแรกของเขตปฐพีวิญญาณ เธอก็ยังคงจัดการกับเหล่าศิษย์จากสำนักระดับสูงได้อย่างง่ายๆ วิชาระดับเซียนอาจจะตกอยู่ในมือเธอแล้วตอนนี้…” ซุนจิงจิงถอนใจ
สองสามนาทีหลังจากนั้น ฟางซีหลานก็จัดการกับศิษย์คนอื่นอีก ทำให้ชัยชนะของพวกเขากลายเป็นหกรอบ
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ฟางซีหลานก็เอาชนะศิษย์คนที่สิบจากสถาบันกระบี่ภูไค นำชัยชนะมาให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสำหรับวันนั้น
“ข้าเอาชนะพวกเขาทั้งหมดแล้ว” ฟางซีหลานกล่าวกับซูหยางซึ่งยิ้มอย่างสบายหลังจากนั้น
“ใช่ เจ้าทำได้” ซูหยางแบมือแสดงให้เธอเห็นหยกชิ้นหนึ่ง “รับไปสิ”
“น-นี่เป็นวิชาระดับเซียนรึ” ฟางซีหลานเลิกคิ้ว เมื่อเธอไม่เคยเห็นวิชาการฝึกยุทธซ่อนอยู่ในหยกชิ้นหนึ่งมาก่อน
“เพียงแค่ถ่ายเทพลังปราณไร้ลักษณ์ของเจ้าเข้าไปในหยกและวิชาก็จักปรากฏขึ้นในหัวเจ้าราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของเจ้า มันสะดวกมากกว่าการถือม้วนกระดาษไป ใช่ไหม”
“ข-ขอบคุณ…”
ฟางซีหลานจนคำพูดและไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงความขอบคุณให้ถูกต้องอย่างไรดี ในเมื่อเธอไม่เคยคิดฝันที่จะได้รับวิชาระดับเซียนมาก่อนในชีวิต
เมื่อเธอรับแผ่นหยก มือของเธอก็สั่นสะท้าน ราวกับว่าเธอกำลังถือสมบัติล้ำค่าที่เปราะบางเหมือนกับแก้วบาง
หลังจากที่ให้รางวัลฟางซีหลานแล้ว เขาก็หันไปมองดูศิษย์คนอื่นที่เกือบจะน้ำลายไหลไปกับแผ่นหยกในมือฟางซีหลาน
“ครั้นเมื่อการแข่งขันนี้จบ พวกเจ้าทุกคนก็จักมีโอกาสได้รับวิชาระดับเซียนด้วยเช่นกัน”
คำพูดของเขาที่เปรียบเสมือนสายฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกคนต่างหันไปมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง เหมือนกับไม่อยากเชื่อ
“จ-จริงรึ” ซุนจิงจิงอดถามไม่ได้
“แน่นอน”
“ข้ารักท่าน ซูหยาง”
“ข้าก็ด้วย”
เหล่าศิษย์พากันทิ้งตัวลงไปที่ซูหยางและกอดเขาแน่นเหมือนกับว่าเขาเป็นตุ๊กตาที่มีไว้สำหรับบีบ
หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะแล้ว สำนักเมฆม่วงก็ขึ้นไปบนเวทีและก็เป็นดังที่หลายคนคาดไว้ คู่ต่อสู้ก็พลันยอมแพ้ในเมื่อความพยายามของพวกเขาล้วนไม่มีความหมาย
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น เมื่อการแข่งขันทั้งหมดจบสิ้นลงแล้ว สำนักที่เหลืออยู่สิบสองสำนักก็จับคู่ในครั้งหน้า
“ข้าภาวนาขอให้พวกเรามิพบกับสำนักเมฆม่วง…” โหลวหลานจีอธิษฐานอย่างเงียบๆต่อสวรรค์ขณะที่เธอหยิบหมายเลขในกล่อง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซื่อตงก็ประกาศผลการจับคู่
“หมายเลขห้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและ โถงเก้าสัตว์ร้าย”
“อย่างงี้สิ” โหลวหลานจีกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้นเมื่อพวกเขาไม่ต้องต่อสู้กับสำนักเมฆม่วง
“แม้ว่าโถงเก้าสัตว์ร้ายจะแข็งแกร่งกว่าสถาบันกระบี่ภูไคอย่างเห็นได้ชัด ตราบเท่าที่พวกเขามิมีใครที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ พวกเราก็อาจจะเอาชนะได้”
ครั้นเมื่อทุกคนรู้ถึงการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ของตนเองแล้ว พวกเขาก็กลับที่พักเพื่อเตรียมความพร้อม
อย่างไรก็ตามเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปถึงโรงเตี๊ยม พวกเขาก็ถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนที่ดูการแข่งขันในวันนี้ในทันที
“ข้าเป็นผู้อาวุโสของตระกูลกู๋จากภาคเหนือ และข้าต้องการแจ้งให้นางฟ้าฟางทราบว่านายน้อยของข้าต้องการให้เธอไปร่วมรับประทานอาหารเย็นคืนนี้”
“อย่าสนใจตระกูลกู๋ พวกนั้นมิอยู่ในสายตาของตระกูลว่านของข้า นายน้อยว่านของข้าได้ตกอยู่ในความงงงันนับตั้งแต่ที่เขาเห็นความสวยของนางฟ้าฟางบนเวทีและต้องการที่จักพูดคุยกับเธอ”
“นางฟ้าฟาง ข้าชื่อหานอี้ฟาน และข้าเป็นศิษย์ตรงของสำนัก–”
“ข้าเจียงเฉิน และข้ามี–”
ผู้คนนับไม่ถ้วนพากันตรงเข้าหาฟางซีหลานด้วยเจตนาที่จะเกี้ยวพาราสีเธอ สร้างความงงงันให้กับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ศิษย์พี่หญิงฟางพลันกลายเป็นคนมีชื่อเสียง…” ศิษย์รุ่นเยาว์พากันงงงัน
เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีผู้คนมากกว่าเดิมรุมล้อมพวกเขา และภายในชั่วพริบตาทั่วทั้งถนนก็เต็มไปผู้คนที่พยายามจะเกี้ยวฟางซีหลาน
แม้ว่าเธอจะมีสถานะเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจว่าเธอจะบริสุทธิ์หรือไม่ ในเมื่อพรสวรรค์ของเธอนั้นเป็นธรรมดาที่น่าตระหนกเกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้ และพวกเขาต้องการที่จะรวบเธอเข้าไปไว้ในตระกูลของพวกเขาโดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้จ่ายเท่าไหร่
“เงียบ” โหลวหลานจีคำรามขึ้นในทันใด ทำให้ทั้งบริเวณนั้นเงียบกริบ
“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะพูดกับศิษย์ของข้า พวกเจ้าต้องผ่านข้าก่อน อย่างไรก็ตามเนื่องจากการประลองยังดำเนินอยู่ ข้าจักมิยอมให้ใครมารบกวนเธอ ถ้าพวกเจ้ายังคงต้องการที่จะพูดกับเธอ พวกเจ้าต้องจัดทำการนัดหมายหลังจากจบการแข่งขันและพวกเรากลับไปยังนิกายของพวกเราแล้ว
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ฟางซีหลานก็กล่าวขึ้นว่า “ผู้นำนิกาย มิจำเป็นต้องมีอะไรเช่นนั้น”
จากนั้นเธอก็พลันก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยเสียงอันดังแต่เยือกเย็นว่า “ข้ามิมีเจตนาที่จะเข้าร่วมกับตระกูลใด ในเมื่อข้าได้ละทิ้งความคิดเหล่านั้นไปก่อนที่ข้าจักกลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว ดังนั้นจงโปรดลืมเรื่องข้าเสีย”
“ถ้าพวกท่านมีอะไรอื่นนอกจากเรื่องนี้แล้ว พวกท่านสามารถไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ทุกเวลาหลังการแข่งขัน ตอนนี้ข้าต้องขออภัยเมื่อพวกเรามีหลายสิ่งที่ต้องตระเตรียมสำหรับวันพรุ่งนี้”