สามชั่วโมงผ่านนับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มต้นในวันที่ห้า
“สำหรับการแข่งขันรอบถัดไป พวกเรามีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกับโถงเก้าสัตว์ร้าย”
สำนักทั้งสองปรากฏตัวขึ้นบนเวทีและโค้งคำนับแต่ละฝ่ายก่อนที่ซื่อตงจะบอกให้กลับออกไป
“ข้ามิได้เข้าร่วมด้วยในวันนี้ ดังนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวัง” ฟางซีหลานกล่าวกับศิษย์คนอื่น
“อย่ากังวลพี่ฟาง พวกเราสามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง สบายใจได้” ซุนจิงจิงแสดงรอยยิ้มมั่นใจ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ได้ตัดสินกันว่าเป็นซุนจิงจิงที่จะต่อสู้ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นคนแรก
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ เกสรร่วงหล่น”
“อา”
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ บุปผาเบ่งบาน”
“อาา”
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ กลีบดอกไม้พิโรธ”
“อาาาา”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะรอบที่สี่ติดต่อกัน” ซื่อตงประกาศหลังจากที่ซุนจิงจิงเอาชนะคู่ต่อสู้คนที่สี่ติดต่อกัน
“จัดการกับพวกนั้นเลย ศิษย์พี่หญิงซุน”
“ซัดพวกเขาเลย ซัดพวกเขาให้หมดเลย”
“แสดงให้โลกประจักษ์ถึงพลังของนิกายของพวกเรา”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันส่งเสียงเชียร์เธอด้วยสีหน้าบ้าระห่ำ
“เด็กสาวคนนี้… เพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่เธอสู้ครั้งสุดท้ายแต่เหมือนกับว่าเธอได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม เป็นการฝึกฝนประเภทไหนกันที่เธอได้รับที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หญิงวัยกลางคน ที่น่าจะเป็นแม่ของซุนจิงจิง ดูเธอต่อสู้ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
“นอกจาก “แบบนั้น” เจ้าคิดว่าพวกเขาจักทำการฝึกฝนแบบไหนอีก ข้าเพียงภาวนาว่าเขาจะเป็นชายที่มีค่าสำหรับเธอ” ชายวัยกลางคนข้างตัวเธอกล่าว
หญิงวัยกลางคนมองดูเหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและกล่าวว่า “ข้าได้ดูพวกเขามาตลอด และชายหนุ่มรูปงามนั่นดูเหมือนจะเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียวที่พวกเขามี แม้ว่าหน้าตาของเขาจะมีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่จะเป็นคู่ของลูกสาวของข้า แต่ข้าก็มิมั่นใจในตัวตนของเขา”
“ข้าได้ทำการสืบสวนบางอย่างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงศิษย์ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในนิกายหลังจากสถานการณ์ครั้งนั้น นอกจากเขาแล้วจะมีใครที่เธอจักฝึกฝนด้วย” ชายวัยกลางคนกล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าต้องสนทนากับเขาในภายหลังเพื่อดูด้วยตนเองว่าเขามีค่าพอกับลูกสาวของเราหรือไม่”
“เอ๋ เจ้าวางแผนที่จะรับเขาเข้ามาในตระกูลเหรอ แล้วเรื่องนั้นล่ะ…”
“ใครจะไปสนใจเรื่องตระกูลเย่ ข้ามิยอมให้เจ้าหื่นสกปรกน่าเกลียดนั่นแตะลูกสาวข้าแน่นอนต่อให้นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำได้ก็ตาม”
ขณะที่พ่อแม่ของซุนจิงจิงกำลังพูดถึงอนาคตของเธอนั้น ซุนจิงจิงเองก็เก็บชัยชนะรอบถัดไปให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
หลังจากที่จัดการคู่ต่อสู้จากโถงเก้าสัตว์ร้ายไปครึ่งหนึ่งด้วยตนเองแล้ว ซุนจิงจิงก็ก้าวออกจากเวทีแล้วกล่าวว่า “ข้าจักปล่อยครึ่งที่เหลือให้กับพวกสาวเจ้า”
ต่อไปหลังจากนั้นซื่อตงก็ประกาศผลการแข่งขัน “ขอแสดงความยินดีกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขันนี้ สิบต่อเจ็ดแต้ม เป็นหนึ่งในสิบของอันดับสูงสุดของการแข่งขันระดับภูมิภาคของปีนี้”
“ศิษย์พี่หญิงซุนช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เธอสามารถเอาชนะพวกเขาห้าคนในขณะที่พวกเราที่เหลือเอาชนะพวกนั้นแต่ละคนได้อย่างยากลำบาก…”
เหล่าศิษย์พากันถอนหายใจหลังจากที่ได้รับชัยชนะ
“ทำได้ดีสาวๆ เหลือการแข่งขันให้ชนะอีกเพียงแค่สามครั้งเท่านั้นก่อนที่เราจะได้กลายเป็นแชมป์ของปีนี้” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้ม
บรรดาศิษย์ต่างพากันมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ชายพยายามที่จะเอาชนะการแข่งขันนี้จริงๆ พวกเราต้องมิทำให้เขาผิดหวัง”
หลังจากการแข่งขันของพวกเขาแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตัดสินใจกลับที่พัก
อย่างไรก็ตามพวกเขาถูกคนคู่หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าหรูหราหยุดไว้ขณะที่พวกเขาออกมาจากโคลีเซียม
เมื่อซุนจิงจิงเห็นคนทั้งสอง ดวงตาเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านมาทำอะไรกันที่นี่” ซุนจิงจิงรีบตรงเข้าไปหาพวกเขา
“ตระกูลของผู้อาวุโสซุนรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“พวกเขาเป็นพ่อแม่ของศิษย์พี่หญิงซุนรึ พวกเขาดูร่ำรวยมาก…” ความสนใจของศิษย์คนอื่นต่างพากันพุ่งพรวด
“ทำไมพวกเราจักมิอยู่ที่นี่สำหรับเหตุการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ล่ะ พวกเราต้องการรู้ด้วยตนเองว่าลูกสาวแสนดื้อของเราเติบโตแค่ไหนแล้ว” แม่ของเธอพูด
“ว่าไปแล้วปู่ของเจ้าอยู่ที่ไหนรึ ข้ามิเห็นเขามาตั้งแต่ต้น เขายังอยู่ในเมืองนี้หรือไม่” ชายวัยกลางคนถาม
“ผู้อาวุโสซุนตอนนี้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในโรงเตี๊ยม อย่างน้อยก็คงอีกสองสามวันกว่าเขาจะออกมา” โหลวหลานจีก้าวไปข้างหน้าแล้วพูด
“ท่านต้องเป็นผู้นำนิกาย ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวของพวกเรา ดูเหมือนว่าเธอจะกลายเป็นคนน่าเกรงขามก็เพราะว่าท่าน” ผู้เป็นพ่อคำนับเธอ
“ข-ข้ามิได้ทำอะไรที่ควรแก่คำชมเชยของท่านแม้แต่น้อย ถ้าจะมีบ้าง ท่านต้องขอบคุณผู้นำนิกายซู เขาเป็นคนเดียวที่สอนลูกสาวท่าน” โหลวหลานจีหันมองไปที่ซูหยาง
“ผ-ผู้นำนิกายซูรึ เขาก็เป็นผู้นำนิกายเช่นเดียวกันด้วยรึ” คนทั้งคู่ต่างพากันตะลึงกับข่าวนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่คาดคิดว่าหนุ่มน้อยเช่นนั้นจะเป็นผู้นำนิกาย
“เจ้าชื่อซูหยางใช่ไหม ข้ารู้ว่าเจ้าได้หลับนอนกับลูกสาวข้า และข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะดูว่าเจ้ามีค่าพอสำหรับเธอหรือไม่” แม่ของซุนจิงจิงก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท-ท่านแม่ ท่านสามารถพูดอะไรน่าอายแบบนั้นต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไรกัน” หน้าของซุนจิงจิงแดงไปหมดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ และเมื่อเธอมองไปรอบๆ คนรอบข้างต่างพากันมองดูพวกเขาด้วยหน้าตาที่ไม่อยากเชื่อ
“อายรึ อะไรที่น่าอายกว่ากัน คำพูดมิกี่คำหรือว่าลูกสาวของตระกูลซุนเป็นศิษย์ของสถานที่แบบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แม้ว่าข้าได้เตือนเจ้าหลายครั้งแล้วเจ้าก็ยังตามรอยปู่ของเจ้า เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าเจ้าได้นำความอับอายมาสู่ชื่อเสียงของตระกูล” แม่ของซุนจิงจิงดุเธอ
“…” ซุนจิงจิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะก่อนที่จะเถียงกลับว่า “นั่นท่านหมายความว่าอย่างไร ดูข้าตอนนี้สิ ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธเขตปฐพีวิญญาณเพราะว่าการตัดสินใจนั่น กระทั่งปู่ซึ่งเป็นอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งในตระกูลของเรายังติดอยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณมาหลายสิบปีก่อนที่จะได้รับโอสถสู่ปฐพี มีคนมากมายเท่าไหร่ในโลกที่ได้เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณเมื่อมีอายุเท่าข้า หือ”
แม่และลูกสาวต่างติดพันสงครามคารมกันในทันที
“ทำไมพวกเจ้าทั้งคู่มิเย็นลงสักหน่อย พวกเรายังอยู่ในที่สาธารณะ” สุดท้ายผู้เป็นพ่อก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้าไปหยุดพวกเธอ
“ถ้านี่มิสะดวก ทำไมพวกท่านมิกลับไปที่โรงเตี๊ยมกับพวกเราล่ะ ข้ามั่นใจว่าต้องมีเรื่องมากมายที่จะพูดคุยกัน” โหลวหลานจีแนะนำเพื่อให้คนทั้งคู่ยอมรับ