วันถัดมาทุกคนในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรวมตัวกันที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมรวมไปถึงผู้อาวุโสนิกายที่เก็บตัวฝึก
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ข้ามิคิดว่าข้าจักสามารถเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยมิต้องใช้เวลาอีกห้าสิบปี” ผู้อาวุโสซุนหัวเราะดังลั่นหลังจากที่ออกจากที่เก็บตัว
“ท่านทำตัวน่าอาย ท่านปู่…” ซุนจิงจิงมองดูเขาแปลกๆ
“แน่นอน ข้าย่อมมิอาจเทียบกับเจ้าได้ เจ้าก้าวไปถึงเขตปฐพีวิญญาณตั้งแต่ยังเยาว์ แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็ยังคงเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้า” เขากล่าว
“ที่ผ่านมาข้าได้ยินจากท่านผู้นำนิกายว่าพ่อแม่ของเจ้าได้มาเยี่ยมพวกเราขณะที่ข้ากำลังเก็บตัวอยู่ พวกเขาพูดกับเจ้าว่าอะไรรึ”
“อย่ากังวล ท่านปู่ นั่นมิใช่อะไรที่ท่านจำเป็นต้องรู้ แต่ถ้าท่านต้องการจะรู้จริงๆ ท่านก็ไปถามพวกเขาเอง”
“โห เจ้าปีกกล้าขาแข็งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ผู้อาวุโสซุนเลิกคิ้วเมื่อเขาสังเกตเห็นบางอย่างผิดแผกไปจากตัวหลานสาวซึ่งดูมีกลิ่นอายเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม
“หลายอย่างได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ท่านเข้าเก็บตัว แต่ท่านจักรู้มิช้าก็เร็ว” ซุนจิงจิงกล่าวแต่เธอก็ยังไม่ยินดีที่จะเปิดเผยทุกอย่างให้กับอีกฝ่าย
“ฮึ่ม เจ้าสามารถเก็บความลับของเจ้า แต่อย่ามาร้องไห้กับข้าถ้าพ่อแม่เจ้าทำสิ่งยุ่งยากให้กับเจ้าในอนาคต” ผู้อาวุโสซุนกล่าวก่อนจะเลิกสนใจเธอ
ไม่นานจากนั้น โหลวหลานจีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาและกล่าวว่า “พวกเราครบหมดหรือยัง”
“พวกเราพร้อมแล้ว ท่านผู้นำนิกาย”
ทุกคนต่างพากันตะโกนด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์รุ่นเยาว์
“ดี” โหลวหลานจีพยักหน้า
หลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไปถึงโคลีเซียม
เมื่อพวกเขาไปถึงประตูใหญ่ ผู้คนที่นั่นต่างพากันหันจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
มีกระทั่งชายหนุ่มหญิงสาวสองสามคนตรงมาหาพวกเขาด้วยเจตนาที่จะเข้าร่วมด้วย
“ขออภัย ท่านผู้นำนิกายและท่านผู้อาวุโส เมื่อไหร่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเริ่มรับศิษย์อีกครั้ง”
“นับตั้งแต่ข้าเห็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาชนะนิกายดอกบัวเพลิง ข้าก็ต้องการที่จะเข้าร่วมนับแต่นั้น”
“ข้าก็เช่นกัน ข้าก็ต้องการเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน”
แม้ว่าเธอถึงกับต้องผงะกับความกระตือรือล้นของพวกเขา โหลวหลานจีก็ยังพูดด้วยสีหน้าของมืออาชีพว่า “การรับสมัครครั้งต่อไปสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั้นวางแผนไว้ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่ทว่าเนื่องจากมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ดังนั้นอาจจะต้องล่าช้าไปบ้าง ดังนั้นขอให้รอหลังจากการการแข่งขันระดับภูมิภาคในการการประกาศอย่างเป็นทางการ”
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าหาพวกเขา แต่ก็มีอีกมากมายที่นั่นที่สนใจในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแต่อายเกินกว่าที่จะตรงเข้ามาหาพวกเขาและได้จดจำคำพูดของโหลวหลานจีอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ
เกือบสองชั่วโมงให้หลัง การแข่งขันระดับภูมิภาคก็ได้เริ่มต้นขึ้นในที่สุด
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่รอบรองชนะเลิศสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค แม้ว่าจะผ่านไปเพียงมิกี่ปีหลังจากการแข่งขันครั้งก่อนนี้ แต่ก็เห็นชัดว่ามีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในยุทธภพในช่วงไม่กี่ปีสั้นๆนี้”
หลังจากที่ใช้เวลาสองสามนาทีในการย้ำถึงกฏ ซื่อตงก็เรียกผู้เข้าร่วมการแข่งขันสำหรับการต่อสู้คู่แรก
“อันดับถัดไปให้ข้าได้แนะนำผู้เข้าแข่งขันสำหรับนัดแรกนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หนึ่งในสองม้ามืดของยุคนี้ และคู่ต่อสู้ของพวกเขา แชมป์ที่มิมีใครล้มได้มาหลายปี สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตื่นเต้นเมื่อสุดท้ายสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที เมื่อพวกเขาได้รอให้อีกฝ่ายกลับมานับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามเพียงแค่ไม่ถึงนาทีนับตั้งแต่สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้ขึ้นไปยืนบนเวที ผู้ชมก็ได้สังเกตเห็นบางอย่างผิดแผกไปจากพวกเขา
“นี่อะไรกัน… มีบางอย่างผิดไปกับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ปีนี้ แต่ข้ามิสามารถที่จะชี้ชัดความผิดปกตินั้นออกมาได้…”
“เจ้าพูดถูก แม้ว่าข้าอาจจะพูดผิดแต่พวกเขาดูเหมือนจะมีสง่าราศีด้อยกว่าเมื่อเทียบกับการปรากฏตัวครั้งก่อนหน้านั้น เหมือนกับว่าพวกเขามิได้เหนือกว่าอีกต่อไป”
“เมื่อเจ้ากล่าวถึงตอนนี้ น่าจะเป็นเหตุผลนั้นแหละ มิว่าอย่างไรก็ยังมีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักเมฆม่วงในปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นอัจฉริยะทึ่เหนือเหตุผลของพวกเขาแล้ว สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ดูมิเห็นว่าแข็งแกร่งแต่อย่างใด ดูพวกเขาสิผู้ฝึกวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาอยู่เพียงแค่ระดับสามเขตปฐพีวิญญาณ ซึ่งมิมีอะไรหากเปรียบเทียบกับฟางซีหลาน ยิ่งมิต้องเปรียบกับหงอวี้เอ๋อร์”
ขณะที่มีหลายคนได้ดูถูกสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีคนมากกว่าที่ปกป้องพวกเขา
“แม้ว่าพวกเขาอาจจะเปรียบกับฟางซีหลานหรือหงอวี้เอ๋อร์ในแง่ของพลังการฝึกปรือได้ แต่สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้มีผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงมากมายทั้งยังมีประสบการการต่อสู้มาหลายร้อยปี”
“จริงด้วย และพวกเขาก็มีอัจฉริยะมากมายที่สามารถต่อสู้กับผู้ที่มีขอบเขตเหนือกว่าตนเองได้ ดังนั้นเจ้ามิอาจที่จะดูหมิ่นพวกเขาได้”
“หากพูดถึงการสู้กับผู้ที่มีขอบเขตเหนือกว่า แล้วชายหนุ่มคนนั้นจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยล่ะ เขาสามารถเอาชนะคนที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณในขณะที่เพียงอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ ถ้าเจ้าถามข้านั่นมิยิ่งน่าตระหนกกว่าหงอวี้เอ๋อร์ที่มีพลังการฝึกปรือในเขตอัมพรวิญญาณอีกรึ”
“เขาชื่อว่าซูหยางใช่ไหม ช่างยากที่จะตัดสินความแข็งแกร่งของเขาจากสิ่งที่พวกเราเห็นมาก่อนหน้านี้ ในเมื่อเขามิเคยแสดงอะไรที่น่าตระหนกถึงที่สุดออกมาอย่างจริงจัง และเขาก็แทบจะมิปรากฏตัวบนเวที ตามจริงข้ายังคงมิเข้าใจว่าทำไมเขาจึงสามารถจัดการนางฟ้าหลินเชาชางได้”
“เอ้อ หวังว่าเขาได้ต่อสู้กับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่พวกเราจักสามารถเข้าใจความแข็งแกร่งของพวกเขาได้”
ในเวลานั้นบนเวที ผู้อาวุโสจงจ้องมองซูหยางซึ่งยืนอยู่ไม่กี่เมตรออกไปจากเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เจ้าเด็กเลว ข้ามิคิดว่าเจ้าเป็นแค่รุ่นหลังของข้าเนื่องมาจากวิธีที่เจ้าพูด เจ้าเล่นตลกกับข้ามาตลอดใช่ไหม” ผู้อาวุโสจงกล่าวกับเขาพร้อมกับหรี่ตา
“ข้ามิรู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” ซูหยางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“โอ เจ้ามิรู้ว่าข้าพูดถึงเรื่องอะไร ดีดี เช่นนั้นมาดูกันว่าเจ้าจักจำได้หรือไม่หลังจากที่พวกเราจัดการกับเจ้าแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูหยางขณะที่เขาพูด “เจ้าสามารถลองดูได้”