อีกห้าชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่จำนวนของคู่นอนของซูหยางลดลงเหลือสิบคน และระหว่างระยะเวลาห้าชั่วโมงนี้ ชินเหลียงหยูได้แอบมองเข้ามาข้างในเป็นเวลาทั้งสิ้นสองชั่วโมง
ทุกครั้งที่เธอมีความกล้าที่จะเบือนหน้าหนี เธอก็จะกลับมาแอบดูอีกครั้งในบางเวลาหลังจากนั้น
ในเวลานั้นภายในกระท่อมหญิงสิบคนสุดท้ายที่ได้อยู่มานานกับซูหยางถึงตอนนี้ก็ได้ถึงขีดจำกัดของพวกเธอแล้วเช่นกัน ถ้าพวกเธอฝึกต่อไปอีกก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของพวกเธอ
“ขอบคุณที่ให้ประสบการณ์อันล้ำค่านี้แก่พวกเรา ข้าจักมิลืมช่วงเวลาของข้าที่อยู่กับท่านในวันนี้ไปตลอดชั่วชีวิต”
บรรดาเด็กสาวคุกเข่าคำนับเขา ให้ความเคารพและขอบคุณอย่างสูงสุดแก่เขาก่อนที่จะออกไปจากกระท่อม
เมื่อชินเหลียงหยูเห็นเด็กสาวเหล่านั้นกลับออกมาและได้นับจำนวนของพวกเธอ เธอก็ถามว่า “พวกเจ้าทั้งหมดเสร็จกิจแล้วรึ”
บรรดาเด็กสาวพยักหน้าและตอบว่า “แม้ว่าพวกเราจักชื่นชอบในการร่วมฝึก แต่ว่าร่างกายของพวกเราก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงมิมีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะจากไป”
“ล-แล้วท่านผู้อาวุโสซูล่ะ เขาสบายดีไหม”
“เขาได้เติมพลังปราณไร้ลักษณ์ของเขาไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว”
“เพียงแค่ครึ่งเดียวเองรึ”
ชินเหลียงหยูตะลึงงัน เขาร่วมฝึกกับหญิงสาวตั้งมากมายตั้งนานแต่ฟื้นฟูได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของปราณไร้ลักษณ์งั้นรึ จริงแล้วเขาแข็งแกร่งมากมายแค่ไหนกัน
“ข้าเข้าใจ ขอบคุณพวกเจ้าทุกคนสำหรับความร่วมมือ” ชินเหลียงหยูกล่าวกับพวกเธอ
“ไม่ พวกเราควรจะขอบคุณท่านที่ให้โอกาสนี้กับพวกเราได้มีโอกาสร่วมฝึกกับเขา”
เหล่าหญิงสาวพากันคำนับเธอก่อนที่จะจากไป
ครั้นเมื่อเหล่าหญิงสาวจากไปหมดแล้ว ชินเหลียงหยูก็พูดเสียงดังว่า “ท่านผู้อาวุโสซู ข้าขอเข้าไปด้านในได้ไหม”
“เข้ามาสิ” เสียงเยือกเย็นของซูหยางแว่วมาในเวลาถัดไป
“ขออภัย…”
ชินเหลียงหยูเลิกผ้าม่านด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
แต่ทว่าเมื่อเธอเห็นว่าซูหยางยังคงเปลือยเปล่าและนั่งอยู่บนเตียง เธอพลันหันกายกลับด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“ข-ข้าขอโทษ ข้ามิคิดว่าท่านยังคง…”
ซูหยางหัวเราะหึๆกับปฏิกิริยาของเธอและพูดว่า “นั่นมิสายเกินไปหน่อยรึที่จะขอโทษ”
“ท-ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น ผู้อาวุโสซู”
เธอถามโดยที่ยังหันหลังให้กับเขา
“เจ้าได้ดูพวกเราร่วมฝึกมาชั่วขณะแล้วใช่ไหม มันชัดเจนจนกระทั่งข้าเกือบหัวเราะออกมาดังๆเมื่อข้าสังเกตเห็นเจ้า ถ้าเจ้าต้องการที่จะดูเจ้าก็เพียงแค่ขอและข้าก็จักให้เจ้าได้ชมทุกสิ่งที่เจ้าต้องการจากระยะใกล้โดยมิจำเป็นต้องลำบากจากการแอบมองจากด้านนอก”
“อา?!?!”
เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าของชินเหลียงหยูในทันทีที่รู้ว่าซูหยางรู้ถึงการกระทำของเธอมาโดยตลอด และขาของเธอก็หมดแรงทำให้เธอล้มลงก้นจ้ำเบ้า
“ข-ข้าขอโทษจริงๆ ถ้าข้าได้ล่วงเกินท่านผู้อาวุโสซูอย่างหนึ่งอย่างใด ข้าจักยินดีให้ชีวิตไร้ค่าและน่าอับอายนี้เป็นสิ่งชดเชย”
เธอคุกเข่าและเริ่มอ้อนวอนขอโทษ
“ข้ามิต้องการชีวิตของเจ้า” ซูหยางส่ายหน้า
“ช-เช่นนั้นท่านต้องการอะไรจากข้า ข้ายินดีทำทุกสิ่ง”
“อืม…”
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ซูหยางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าเติมปราณไร้ลักษณ์ของข้า เจ้าสนใจใช่ไหม ร่วมฝึกวิชาคู่ไง มิเช่นนั้นเจ้าคงมิจ้องมองอย่างคร่ำเคร่งเช่นนั้น”
ชินเหลียงหยูจ้องมองเขาด้วยสีหน้างงงัน
อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “อะไรก็ได้ยกเว้นเรื่องนั้น ได้โปรด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ข้ามิสามารถทำได้”
“โห” ซูหยางยังคงเยือกเย็นและถามว่า “เจ้ายินดีที่จะมอบชีวิตให้กับข้า แต่เจ้ามิยินยอมที่จะให้ร่างกายกับข้าอย่างนั้นรึ หรือว่าข้ามิได้เป็นแบบที่เจ้าชอบ ข้าพอจะฟังเหตุผลเจ้าได้ไหม”
“นั่นเป็นเพราะว่าข้าอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน และข้าต้องรับผิดชอบในการที่จะให้ร่างกายกับคนที่จะมาเป็นหัวหน้าคนต่อไป และเพียงเขาเท่านั้น ถ้ามิใช่เพราะว่าตำแหน่งของข้า ข้าย่อมยอมรับคำขอร้องของท่านอย่างแน่นอน”
“อย่างนั้นรึ…”
เพราะว่าเขาสิ้นสติอยู่ในตอนที่ชินเหลียงหยูได้กล่าวถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เขาจึงไม่รู้สถานการณ์ของเธอ
“ถึงแม้ว่าข้ามิรู้ถึงสถานการณ์ของเจ้า ข้าก็ยังต้องขออภัยในการผลักเจ้าเข้าสู่สถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าต้องขอโทษสำหรับคำขอที่มิเหมาะสมของข้า หัวหน้าชิน”
“…”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจบนหน้าชวนฝันของเขา ชินเหลียงหยูก็พูดไม่ออกและจิตใจของเธอก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ
“อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้ายังมิฟื้นตัวเต็มที่นัก แต่มันก็ดีพอแล้วสำหรับข้าในการเคลื่อนไหวไปมา ดังนั้นข้าจักไปจากที่นี่แล้วในตอนนี้ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับและทุกสิ่งที่ชนเผ่าหมูป่าได้ทำให้ข้า” ซูหยางกล่าวก่อนที่เขาจะเริ่มสวมใส่เสื้อผ้า
“เอ๋ ท่านจะไปในตอนนี้แล้วรึ” ชินเหลียงหยูถามเขาโดยไม่รู้ตัว
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ามิกล้าที่จะก้าวก่ายเรื่องของหมู่บ้านเจ้าอีกต่อไป และข้าก็มีคนที่รอคอยข้าให้กลับไปในที่อื่น อย่างไรก็ตามข้าจักขอให้ชิวเยว่ให้ยังคงอยู่ที่นี่อีกชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬเพิ่ม ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าก็เพียงแค่ไปหาเธอ”
ชินเหลียงหยูยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆขณะที่เธอมองดูเขาแต่งตัว
“ท่านจักกลับมาที่ชนเผ่าหมูป่าอีกไหม” เธอพลันถามเขา
“ข้าจักกลับมาในเวลาสองปีสำหรับกระจกนิลกาฬ แต่หลังจากนั้นด้วยความสัตย์จริงข้ามิรู้”
“…”
ชินเหลียงหยูกลับไปเงียบอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามจิตใจของเธอเปี่ยมไปด้วยความคิดในเวลานั้น
เมื่อยามที่ซูหยางแต่งตัวเสร็จไปครึ่งหนึ่ง ชินเหลียงหยูก็ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง
และเมื่อถึงตอนที่ซูหยางกำลังจะเสร็จ ชินเหลียงหยูก็กล่าวด้วยเสียงเบาว่า “ท่านผู้อาวุโสซู ท่านพอที่จะรับฟังคำขอสุดท้ายของข้าได้ไหม”
“หือ อะไรรึ” ซูหยางหันไปมองเธอ
“ท่านพอที่จะพาข้าไปด้วยได้ไหม” ชินเหลียงหยูกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว เสียงของเธอชัดเจนราวกับท้องฟ้าครามที่แจ่มใส
“เอ๋”
ซูหยางดูเหมือนจะประหลาดใจอยู่บ้างหลังจากที่ได้ยินคำขอของเธอ ดังนั้นเธอจึงพูดต่อว่า “ข้ามิสนใจว่าท่านจะไปที่ไหน ข้าต้องการที่จะติดตามท่านไป”
“แม้ว่านี่อาจจะฟังดูค่อนข้างกระทันหันไปหน่อย แต่ข้าก็เกลียดการเป็นหัวหน้าชนเผ่าตลอดมานับตั้งแต่ข้าได้เป็น ข้ามิเห็นด้วยกับประเพณีนี้มาโดยตลอดนับตั้งแต่ข้ารู้จัก แต่เพราะว่าพ่อของข้า ข้าจึงมิมีทางเลือกนอกจากยอมรับมัน พ่อของข้า… เขาตายหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บหนักจากสัตว์ร้าย และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเกิดจากความผิดพลาดของข้า ดังนั้นข้าจึงรู้สึกเหมือนกับว่าข้าต้องรับผิดชอบและรักษาประเพณีนี้ต่อไป”
“ถ้าข้ามิได้พบกับท่านผู้อาวุโสซู บางทีข้าก็จักเลือกเลอเป่าขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนถัดไปและเป็นคู่ครองของข้าด้วยเช่นกัน เขาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและทุกคนในชนเผ่าชอบเขา ข้าก็เคารพเขาในฐานะนักรบด้วยเช่นกันแต่ความรู้สึกของข้าก็มีเพียงเท่านั้น”
“ในเมื่อเลอเป่ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหัวหน้าคนถัดไปของชนเผ่าหมูป่า ข้าย่อมต้องทำให้เข้าเป็นหัวหน้าคนถัดไป แต่อย่างไรก็ตามนั่นมิได้เป็นเพราะว่าข้าจักทำให้เขาเป็นคู่ของข้า ไม่… เขาจักกลายเป็นหัวหน้าคนถัดไปเพราะว่าข้าปรารถนาที่จะสละตำแหน่งหัวหน้าของข้าและออกไปจากชนเผ่าหมูป่า หากว่าท่านพยักหน้า ท่านผู้อาวุโสซู ข้าจักมิลังเลในการไปจากชนเผ่าหมูป่าเพื่อไปกับท่าน”
“ข้ารู้ว่ามิได้นานเท่าไหร่เลยนับตั้งแต่พวกเราพบกันครั้งแรก แต่ข้าต้องการที่จะอยู่กับท่าน ท่านผู้อาวุโสซู ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเพียงหนึ่งในคู่เคียงจำนวนมากของท่าน ข้าก็ยังเต็มใจที่จะติดตามท่าน”
“…”
ความเงียบเข้าครอบงำหลังจากที่ชินเหลียงหยูเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเธอและทุกสิ่งที่อยู่ในใจของเธอ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้น “ซูหยาง”
“หือ” ชินเหลียงหยูเลิกคิ้วด้วยท่าทางงงงวย
“ถ้าเจ้ามีความตั้งใจในการติดตามข้า เช่นนั้นอย่างน้อยเจ้าควรจะสามารถพูดชื่อของข้าได้โดยปราศจากพิธีรีตอง”
ชินเหลียงหยูตาเบิกกว้าง และเธอก็พูดด้วยสีหน้าสดใสว่า —
“ซูหยาง”