“เรามาถึงทวีปตะวันออกแล้ว” ซูหยางกล่าวกับชินเหลียงหยู ซึ่งมีท่าทางประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
พวกเขาเพิ่งออกจากทวีปใต้ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น แต่ว่าพวกเขาก็มาถึงทวีปตะวันออกแล้วซึ่งอยู่ไกลหลายแสนกิโลเมตรแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าแต่ยานบินลำนี้มีความเร็วน่าเหลือเชื่อมากแค่ไหนกัน
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนแล้ว” เธอถามเขา
“เมืองหิมะโปรย หนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปตะวันออก พวกเรากำลังจะไปพบกับคนบางคน”
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองดูชิวเยว่และกล่าวว่า “เจ้าควรกลับไปยังนิกายก่อน ข้ามีความรู้สึกว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ และข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นั่นในกรณีที่มันเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะทันได้กลับไป”
ชิวเยว่พยักหน้า
อีกชั่วขณะหลังจากนั้น ซูหยาง ถังหลินชีและชินเหลียงหยูก็ออกจากยานบินลงห่างจากเมืองหิมะโปรยไม่กี่กิโลเมตร
“ไปกันเถอะ”
หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาไปถึงทางเข้า ซูหยางก็แสดงเหรียญตระกูลซีให้กับทหารยามและพวกเขาก็ได้รับการยินยอมให้เข้าไปในเมืองโดยไม่มีเหตุขัดข้องใดๆ
หลังจากที่เข้าไปในเมืองแล้ว ซูหยางก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ ที่ซึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยควรจะรออยู่ถ้าพวกเธอยังไม่ได้กลับไปยังนิกายก่อนแล้ว
“ทวีปตะวันออกนี้ต่างจากทวีปใต้มากเหลือเกิน…” ชินเหลียงหยูพึมพัมขณะที่เธอสำรวจทุกเส้นทางและผู้คนที่พวกเขาเดินผ่าน ราวกับว่าเธอกำลังอยู่ในระหว่างการท่องเที่ยว
แม้ว่าทวีปใต้ก็มีเมืองใหญ่เช่นกัน แต่พวกนั้นก็ยังไม่มีสีสันและสะอาดเหมือนกับเมืองหิมะโปรย และทุกคนที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีผิวสีอ่อนหากเปรียบเทียบกับทวีปใต้ซึ่งคนส่วนใหญ่แล้วจะมีผิวสีแทน
นอกจากนั้นบรรยากาศในที่แห่งนี้ก็สามารถเพียงอธิบายได้ว่าสงบสุขและคึกคักในขณะที่ทวีปใต้จะมีบรรยากาศป่าเถื่อนและอันตรายซึ่งสัตว์อสูรที่ดุร้ายจะสามารถโจมตีได้ทุกขณะจิต
ชินเหลียงหยูรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้เดินเข้าไปในโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเธอก็เคลิบเคลิ้มไปกับสภาพแวดล้อมนี้ เหมือนกับเด็กในสวนสนุกแสนเพลิดเพลิน
แน่นอนว่าตัวชินเหลียงหยูเองก็ได้รับความสนใจมากมายเช่นกันขณะที่เดินไปบนถนน ไม่เพียงแต่เธอมีผิวสีแทนที่สวยเป็นพิเศษ แต่ตัวเธอเองก็เป็นสาวสวยระดับต้นๆ
มีกระทั่งบางคนที่ต้องการจะเข้าไปหาเธอ แต่เมื่อพวกเขาเห็นซูหยางกับถังหลินชี พวกเขาล้วนพากันตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ราวกับว่าพวกเขาเห็นภูตผี
ในเวลาต่อมา พวกเขาก็เจอกับฝูงชนจำนวนมหาศาลรุมล้อมอาคารหลังหนึ่ง
“ก-เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ดูเหมือนจะมีคนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าพันคนที่นี่…” ชินเหลียงหยูงงงันกับภาพที่เห็น หรือว่าคนจำนวนนี้มักจะมารวมตัวกันบ่อยๆในทวีปตะวันออกนี้
“ดูเหมือนว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้าได้รับความนิยมอยู่บ้างนับตั้งแต่การแข่งขัน” ถังหลินชีกล่าวด้วยรอยยิ้มและเธอก็กล่าวต่อว่า “เมื่อประตูถูกปิดกั้นเช่นนั้น ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะไปไหนกันในเร็วๆนี้”
ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
“ข้าบอกกับพวกเจ้าทั้งหมดกี่ครั้งแล้วว่าผู้นำนิกายของเราจักยังมิรับผู้มาเยี่ยมใดๆจนกว่าพวกเราจะกลับคืนไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
เสียงของผู้อาวุโสซุนดังก้องขณะที่เขากั้นประตูไว้เบื้องหลังจากการถูกผลักดันจากคนเหล่านี้
“ข้าเป็นผู้นำตระกูลของตระกูลเฉิน ถ้าท่านบอกผู้นำนิกายของท่านว่าตระกูลเฉินมาขอพบเธอที่นี่ ข้ามั่นใจว่าเธอจักให้เป็นข้อยกเว้น”
“ข้าเป็นหัวหน้าพ่อค้าจากสมาคมปีกเงิน และพวกเราต้องการที่จะสนับสนุนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย โปรดให้ข้าได้พูดกับท่านผู้นำนิกายของท่าน”
“ข้าชื่อฟู่ซวน นายน้อยของตระกูลฟู่ และข้ามาที่นี่ก็เพียงเพราะนางฟ้าฟาง”
ฝูงชนปฏิเสธที่จะจากไปแม้ว่าผู้อาวุโสซุนจะได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสซุน
แต่ทว่า ไม่นานหลังจากนั้น…
“เฮ้ เจ้าเปิดทางหน่อยได้ไหม ข้ากำลังพยายามจะเข้าไปข้างใน” ซูหยางกล่าวกับหนึ่งในผู้คนที่นั่น
“เจ้ามิเห็นรึว่าพวกเราทั้งหมดต่างก็พยายามที่จะเข้าไปข้างใน เจ้ามิได้มีอะไรพิเศษที่นี่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”
คนผู้นั้นตอบเขาโดยไม่แม้จะหันมามอง
“ฮ-เฮ้ น-นั่น”
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นั่นไม่ได้สนใจแม้จะหันมาใส่ใจกับซูหยาง แต่ก็มีคนบางคนที่สังเกตเห็นเขาจากหางตา และพวกเขาก็จ้องมองเขาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“ซ-ซูหยาง นี่คือซูหยาง ในที่สุดแล้วเขาก็กลับมา” หนึ่งในพวกเขาพลันตะโกนออกมา ทำให้ผู้คนที่นั่นต่างพากันเงียบและหันมามอง
“ท-ท่านคือ…”
เมื่อคนที่ได้ตอบกับซูหยางได้หันมาและเห็นซูหยางที่มีใบหน้าเยือกเย็นยืนอยู่ด้านหลังเขา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก และร่างของเขาก็เริ่มเหงื่อไหลโชก
ผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาที่ได้ยินคำพูดของเขาก็กลืนน้ำลายอย่างประหม่าเช่นเดียวกัน เมื่อมาคิดว่ามีคนบางคนที่โชคร้ายถึงกับมาล่วงเกินซูหยาง คนที่ได้รับขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดังหนึ่งในทวีปตะวันออกหลังจากการแข่งขัน คนเหล่านี้ล้วนกลัวว่าโชคร้ายของอีกฝ่ายจะระบาดมาหาพวกเขาถ้าพวกเขายังคงยืนชิดกับอีกฝ่าย ดังนั้นคนเหล่านี้จึงรีบเร่งถอยห่างออกไปในทันที
“ผ-ผู้อาวุโสซู…ผ-ผู้ต่ำต้อยคนนี้ขออภัยเป็นอย่างสูงสำหรับ…”
“ข้ามิสนใจ ออกไปให้พ้นจากทางของข้า” ซูหยางรีบตัดบท ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนี้
ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ฝูงชนก็แบ่งออกเป็นสองซีก สร้างเส้นทางเส้นหนึ่งไปยังโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ ยอมให้เขาเห็นประตูโรงเตี๊ยมและใบหน้าตื่นตะลึงของผู้อาวุโสซุนในที่สุด
“แยกกันที่นี่ตอนนี้ที่รัก” ถังหลินชีพลันกล่าวกับเขา
“ข้าต้องกลับไปยังสำนักของข้า ในเมื่อที่นั่นยังมีงานที่ข้าจะต้องทำ แต่ข้าจักไปหาเจ้าเร็วๆนี้”
“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนพวกเรา” ซูหยางพยักหน้า
ก่อนจากถังหลินชีหันไปมองดูชินเหลียงหยูและกระซิบกับเธอว่า “ดูแลเขาแทนข้าด้วยนะ”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าอย่างเงียบๆด้วยใบหน้าแดงซ่าน
หลังจากที่ถังหลินชีจากไปเพื่อกลับไปยังสำนักเมฆม่วงแล้ว ซูหยางและชินเหลียงหยูก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมหิมะโปรยพร้อมกับผู้อาวุโสซุน