หญิงสาวอีกสามคนต่างพากันดูด้วยใบหน้าประหลาดใจขณะที่เห็นซุนจิงจิงขี่ไปบนแก่นเกร็งของซูหยางเหมือนกับว่าเธอกำลังขี่ม้า ขยับสะโพกของเธออย่างเร่งร้อน
ในเวลาเดียวกันเมื่อซูหยางเห็นอกที่สั่นกระเพื่อมอยู่ตรงหน้า เขาก็ฝังใบหน้าเข้าไประหว่างนั้นตามสัญชาตญาณก่อนที่จะเลื่อนริมฝีปากไปยังปลายยอดถัน ดูดดื่มกับตุ่มตมสีชมพู
ซุนจิงจิงครางออกมาเสียงดังอีกครั้งหลังจากที่รู้สึกถึงลิ้นอันอ่อนนุ่มของเขานวดไปบนยอดถันของเธอ
ครึ่งชั่วโมงให้หลังร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้และปราณหยินก็ไหลหลั่งออกมาจากด้านล่าง
“เอ๋ เธอสำเร็จแล้วรึ”
ฟางซีหลานงงงันเมื่อเห็นซุนจิงจิงจบเร็วเกินไป ในเมื่อปกติแล้วเธอจะอยู่ได้หลายชั่วโมง หรือว่าซูหยางเพิ่มความเข้มข้นอีกงั้นหรือ
หลังจากที่ซุนจิงจิงนั่งพัก โหลวหลานจีก็ตรงเข้าไปหาซูหยางอย่างอุกอาจและสอดใส่แก่นเกร็งแกร่งของเขาเข้าไปในส่วนล่างของร่างเธอ ราวกับว่าความอดทนของเธอมีจำกัด
“โอ เทพ… แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย แต่มันรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่ออยู่ภายในนี้ ราวกับว่ามันใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า” โหลวหลานจีพูดขณะที่ร่างยั่วสวาทของเธอขยับขึ้นลง ทำให้ห้องเล็กนั้นเต็มไปด้วยเสียงอันรัญจวนใจ
สองสามนาทีให้หลัง โหลวหลานจีก็นั่งลงด้วยสีหน้าหมดเรี่ยวแรงเช่นกัน
“ข้าจักเป็นคนถัดไป” ฟางซีหลานยืนขึ้นและตรงเข้าไปหาเขา ก่อนที่เธอจะหันหลังให้กับเขาและนั่งลงบนตักของเขา บีบรัดแท่งสังวาสของเขาด้วยช่องสังวาสคับแน่นของตนเอง
ครั้นเมื่อฟางซีหลานเริ่มขยับ มือของซูหยางก็จับอกของเธอไว้อย่างมั่นคงจากด้านหลัง รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มดังขึ้นสวรรค์จนกระทั่งเขาพึงพอใจก่อนที่จะลูบไล้นิ้วมือของตนเองอย่างอ่อนโยนตรงจุดปลายสุดของอกของเธอ
ฟางซีหลานครวญครางอย่างไหลหลง และสะโพกของเธอก็เริ่มขยับเร็วขึ้น
ในเวลานั้นชินเหลียงหยูได้ดูพวกเธอด้วยสายตาที่ถูกสะกดไว้ เมื่อเห็นว่าร่างกายของพวกเธอขยับด้วยความมั่นใจและง่ายดายอย่างไร เธอก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวทั้งสามนี้ได้ทำเช่นนี้มาหลายครั้งกับซูหยางมาก่อนแล้วและคุ้นเคยกับร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก
เวลาถัดไป สุดท้ายก็เป็นตาของชินเหลียงหยูที่จะนั่งลงบนตักของซูหยาง
อย่างไรก็ตามเธอไม่เหมือนกับศิษย์ที่มีประสบการณ์ ชินเหลียงหยูเข้าหาซูหยางอย่างช้าๆกระทั่งยังต้องใช้เวลาอยู่บ้างในการจัดตำแหน่งร่างกายของตนเอง
“น่ารักจัง…” ซุนจิงจิงหัวเราะคิกคักอย่างเงียบๆหลังจากที่เห็นการเคลื่อนไหวที่ไร้ประสบการณ์ของอีกฝ่าย มันชัดเจนราวกับกลางวันว่าไม่ได้นานเลยนับตั้งแต่ชินเหลียงหยูพ้นสภาพการเป็นสาวบริสุทธิ์
แต่ทว่ายามเมื่อชินเหลียงหยูร่วมฝึกคู่กับซูหยาง หญิงสาวทั้งสามคนที่เหลือต่างก็พากันเพิ่มความประหลาดใจมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งพวกเธอเต็มไปด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าชินเหลียงหยูเป็นมือใหม่ในเรื่องของการร่วมฝึกวิชาคู่ แต่ว่าระดับความอึดของเธอนั้นน่าอัศจรรย์เกินกว่าจะพูดออกมา ในเมื่อเธอสามารถที่จะร่วมฝึกคู่โดยไม่ได้พักมานานเกินกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วตอนนี้
พวกเธอคิดว่าซูหยางปล่อยผ่านเธอเพราะว่าเป็นมือใหม่ในด้านนี้ แต่เมื่อตรวจสอบดูอย่างใกล้ชิด พวกเธอก็ตระหนักว่าจริงแล้วซูหยางเพิ่มความเข้มข้นให้กับเธอมากกว่าตอนที่เขาทำกับพวกเธอเสียอีก
เมื่อพวกเธอรู้ความจริงนี้ ใบหน้าของพวกเธอก็มีสีหน้ายอมรับนับถือชินเหลียงหยูและพวกเธอจึงพากันเข้าใจว่าทำไมเขาจึงยอมรับเธอมาเป็นคู่ครองของเขา
ไม่กี่วันถัดมาเมื่อพวกเธอทั้งสี่หมดแรงและไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ ซูหยางก็ปล่อยพวกเธอพักในขณะที่เขาไปเยี่ยมรถม้าคันอื่นที่ซึ่งศิษย์คนอื่นอยู่เพื่อดูว่าพวกเธอต้องการที่จะ “ตามให้ทัน” หรือไม่
แน่นอนว่าพวกเธอทั้งหมดล้วนตกลงด้วยความยินดี
“เจ้าช่างน่าประทับใจมาก น้องชิน” โหลวหลานจีกล่าวกับเธอหลังจากผ่านกระบวนการฝึกฝนแล้ว “ถ้เจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แน่นอนว่าเจ้าต้องกลายเป็นหนึ่งในศิษย์ระดับสูง”
“เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าเป็นมือใหม่ในด้านนี้” ฟางซีหลานถามอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัย กระทั่งเธอก็ยังไม่ได้มีระดับความอึดดังเช่นที่อีกฝ่ายเป็นอยู่ในตอนนี้เมื่อเธอเริ่มต้น และเธอก็ไม่ได้ฝึกร่วมกับซูหยางด้วยในตอนนั้น
“ใช่ กระทั่งคนที่มีประสบการณ์อย่างเช่นตัวข้าก็ยังมิอาจที่จะอยู่ได้นานกว่าสองสามนาทีเมื่อตอนที่ข้าร่วมฝึกวิชากับเขา แต่เจ้ากลับสามารถยื้อเวลาการร่วมฝึกกับเขาได้มากกว่าพวกเราทั้งสามคนรวมกัน กระทั่งสร้างความละอายใจให้กับข้าที่ต้องพูดเช่นนั้น” โหลวหลานจีถอนหายใจ
“ข้าพอจะเข้าใจว่าทำไมซูหยางจึงยอมรับเจ้าเป็นคู่ครอง” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮี่ฮี่…” ชินเหลียงหยูใบหน้ามีแต่สีแดงซ่านหลังจากที่ได้ยินคำพูดของพวกเธอ ขอบคุณร่างสวรรค์ของตนเองอยู่อย่างเงียบๆสำหรับความอึดที่น่าอัศจรรย์
ผ่านไปอีกสองสามวันให้หลัง เมื่อพวกเขาเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงห่างจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซูหยางก็กลับคืนมายังรถม้า
“พวกเราควรจะไปถึงในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง” โหลวหลานจีกล่าว
ในเวลาหลังจากนั้น รถม้าก็พลันหยุดเคลื่อนไหว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราถึงหยุด หรือว่าพวกเราถึงเรียบร้อยแล้ว”
“ไม่ พวกเราควรจะยังคงอยู่ห่างอีกสองสามกิโลเมตรกว่าพวกเราจะไปถึงนิกาย” โหลวหลานจีส่ายหน้า
เหล่าศิษย์ต่างพากันสงสัย ดังนั้นพวกเธอจึงพากันเปิดหน้าต่างและแอบมองออกไปด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้นในนามของสวรรค์*”
(ผู้แปล – *พวกนี้เขาอุทานกันแปลกๆนะ จะแทนด้วย อกอีแป้นแตก ก็ดูจะไม่เข้าที)
เมื่อโหลวหลานจีและเหล่าศิษย์เห็นภาพด้านนอก พวกเธอทั้งหมดต่างพากันประเดประดังไปด้วยความแตกตื่นและสับสน
“ทำไมจึงมีคนมากมายปานนี้มาเข้าแถวอยู่ที่นี่” ซุนจิงจิงอุทานออกมาหลังจากที่เห็นผู้คนจำนวนมหาศาลต่อแถวยาวไปถึงสุดขอบฟ้าด้านหน้าพวกเธอ
ในเวลานั้นเมื่อผู้คนในแถวสังเกตเห็นรถม้าของพวกเธอและรู้ว่าตัวตนของพวกเธอเป็นใคร พวกเขาต่างพากันทำตาโตด้วยความตระหนก
“นั่นเป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ที่นี่” บางคนพลันตะโกนขึ้นจนทำให้ทุกคนในแถวหันกลับมามองพวกเธอ
“เป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆด้วย”
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจสั้นๆ ผู้คนนับร้อยก็พากันรุมล้อมรถม้าเหมือนกับฝูงหมาที่อยู่ต่อหน้าอาหาร
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราจึงพลันถูกล้อม”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันหวาดกลัวกับฉากเบื้องนอก
ในเวลานั้นผู้อาวุโสนิกายและโหลวหลานจีก็ออกมาจากรถม้าเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์
“พวกท่านเป็นใครกัน และต้องการอะไรจากพวกเรา” ผู้อาวุโสซุนถาม
“หลังจากที่ได้ยินว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับชัยชนะการแข่งขันระดับภูมิภาค ทุกคนที่นี่ต่างพากันตัดสินใจที่จะมาเยี่ยมนิกาย อย่างไรก็ตามพวกเราได้รับคำบอกให้เข้าแถวและรอคอยจนกว่าผู้นำนิกายจะกลับมา ดังนั้นพวกเราจึงรอคอยกันอยู่ที่นี่”
“ร-รอ.. จากที่นี่รึ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ห่างไปอีกตั้งสองสามกิโลเมตร พวกท่านรู้ไหม” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขณะที่เขาชี้ไปยังสุดขอบฟ้า
“พวกเรารู้แต่ว่านั่นก็มีคนมากมายที่รอคอยจนทำให้แถวยืดยาวมาถึงด้านหลังที่นี่” หนึ่งในพวกนั้นอธิบาย
เหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงุนงงกับสถานการณ์ พวกเธอล้วนคาดว่าจะมีแขกมาเยี่ยมมากมายหลังจากที่ได้รับชัยชนะการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว แต่แน่ใจได้ว่าพวกเธอก็ไม่ได้คาดว่าจะมากเกินควบคุมเช่นนี้