“การเอาชนะการแข่งขันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจักกุมหางเสือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปสู่ทิศทางของการเป็นสำนักระดับหนึ่งในทวีปตะวันออกและก็จะมิใช่แค่เพียงในนามเท่านั้น”
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองโหลวหลานจีแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าจักปล่อยเรื่องงานก่อสร้างและการต้อนรับแขกให้กับท่านและผู้อาวุโสนิกาย และข้าจักดูแลเรื่องอื่นๆทั้งหมด”
“ในอีกเดือนข้างหน้า ข้าจักเริ่มรับศิษย์ใหม่ แต่อย่างไรก็ตามวิธีของข้าจักแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่พวกเจ้าใช้กันอยู่”
“ข้าจักปล่อยทุกอย่างให้กับเจ้า” โหลวหลานจีพยักหน้า
“ครั้นเมื่อการรับสมัครจบสิ้นลงแล้ว นั่นก็จักเป็นเวลาที่ความสนุกอย่างแท้จริงจะได้เริ่มต้นขึ้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจักสนุกกับมันเท่ากับที่ข้าหวังไว้เมื่อมันเกิดขึ้น” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
เหล่าศิษย์พากันสบสายตา สงสัยว่าเขากำลังวางแผนที่จะทำอะไรอยู่ แต่อนิจจา ซูหยางเป็นคนที่เดาใจไม่ได้ไม่ได้ยึดติดกับกรอบสามัญสำนึกทั่วไป ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปได้หากว่าเป็นเขา
“พวกเจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่” เขาถามพวกเธอ
หนึ่งในเหล่าศิษย์ยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า “พวกเราควรทำอย่างไรในตอนนี้เมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคจบลงแล้ว พวกเรายังจะสามารถร่วมฝึกกับท่านได้อยู่หรือไม่”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ตอนนี้เมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคจบลงแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรอีกสำหรับเขาที่จะร่วมฝึกกับพวกเธอ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็จะรับสมัครศิษย์ใหม่ในอนาคตอันใกล้ เหล่าศิษย์ล้วนกลัวว่าซูหยางจะไม่ร่วมฝึกกับพวกเธอตั้งแต่นี้ต่อไปซึ่งทุกสิ่งก็คงจบสิ้น
ซูหยางหลับตาลงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “เมื่อสถานการณ์และเวลาเปลี่ยนไปเจตนารมณ์ของพวกเราก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ข้าจักยุ่งมากนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปและก็จักยังมีศิษย์ใหม่มาเติมช่องว่างที่พวกเรายังขาดศิษย์ชาย ดังนั้นข้าจึงมิอาจจะสามารถที่จะเก็บพวกเจ้าทั้งหมดไว้ข้างกายได้”
เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินดังนั้น พวกเธอทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าหดหู่ แน่นอนว่าพวกเธอต่างรู้สถานการณ์ของตนเองดีอยู่แล้วว่าเป็นนี่เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและก็จะต้องจบสิ้นลงในสักวันหนึ่ง แต่ในที่สุดเมื่อวันนั้นมาถึง พวกเธอต่างก็ยากที่จะยอมรับได้
“ข-ข้ามิถือหากว่าจะต้องเป็นคู่ในกรณีพิเศษของท่าน เพราะว่ายังไงก็จะต้องมีศิษย์หญิงใหม่อยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเราจะมิสามารถร่วมฝึกกับท่านทุกวัน ขอแค่เพียงบางครั้งก็เพียงพอ” หนึ่งในพวกเธอกล่าวขึ้น
ซูหยางยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะอายุยังน้อย พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเก่งกาจอย่างน้อยก็เก่งกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปในขณะนี้ ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะทำให้ทุกคนที่นี่ ยกเว้นศิษย์รุ่นเยาว์ เป็นผู้อาวุโสนิกายที่จักกลายเป็นเสาหลักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้ายังประสงค์ที่จะเป็นศิษย์ต่อไปนั่นก็ไม่เป็นไร”
“ผ-ผู้อาวุโสนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างสบตากันอีกครั้ง พวกเธอไม่คิดว่าจะมีทางออกเช่นนั้น
“ในตอนนี้เมื่อข้าเป็นผู้นำนิกาย และสิ่งต่างๆก็จักกลับคืนสู่ปกติในเร็ววันนี้ ข้าก็จักมิสามารถที่จะร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์ได้อีก อย่างไรก็ตามถ้าหากเป็นผู้อาวุโสนิกายนั่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บ่อยแต่ข้าก็สามารถที่จะกำหนดเวลาว่าเป็นทุกระยะเวลาหนึ่งในการช่วยเหลือผู้อาวุโสนิกายฝึกวิชาได้”
เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าเศร้าสร้อยของเธอก็พลันเปลี่ยนเป็นยินดีพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“ข้ายินดีที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกาย”
“ข้าก็เช่นเดียวกัน ข้ายอมรับตำแหน่งผู้อาวุโสนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันตกลงใจที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกายกันอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นเหล่าผู้อาวุโสนิกายอื่นต่างพากันงงงันกับสถานการณ์นั้น ในประวัติศาสตร์ของนิกายตลอดมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเลือกผู้อาวุโสนิกายกันแบบนี้ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความจริงที่พวกเขาขาดผู้อาวุโสนิกาย และหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาพร้อมกับศิษย์ใหม่ พวกเขาก็จะต้องการผู้อาวุโสนิกายเพื่อที่จะรักษากฏระเบียบ และสิ่งเหล่านั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้กับจำนวนของผู้อาวุโสนิกายที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้
“อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นทั้งหมดที่ข้าต้องการให้พวกเจ้ารับรู้ในตอนนี้ ข้าจักให้รายละเอียดมากกว่านี้หลังจากที่จบสิ้นการรับสมัครศิษย์ใหม่แล้ว พวกเจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจในตอนนี้จนกว่าการรับสมัครจะเริ่มต้น”
หลังจากที่เขาพูดจบแล้ว เหล่าศิษย์ก็เริ่มพูดคุยกันเอง
เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคก็ได้เล่าถึงช่วงเวลาของพวกเธอในขณะที่อยู่ที่เมืองหิมะโปรยและการดำเนินไปของการแข่งขัน ในเวลานั้นศิษย์บางคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิษย์รุ่นเยาว์ก็เข้ารุมล้อมชินเหลียงหยูและถามคำถามเธอเกี่ยวกับประวัติของเธอและเรื่องของทวีปใต้
“ท่านมาจากทวีปใต้จริงๆหรือ ท่านมาถึงทวีปตะวันออกได้อย่างไรทั้งที่ทะเลหยกขวางกั้นพวกเราไว้”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์มองดูเธอด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น
“เอ้อ… ซูหยางพาข้ามาที่นี่ด้วยยานบิน…” ชินเหลียงหยูพูด
“โหวววว ยานบิน นั่นต้องเป็นลำเดียวกับเมื่อตอนนั้นแน่” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พูดขณะที่นึกถึงยานบินลำใหญ่ที่รับตัวซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ที่งานแข่งขัน
“ทำไมท่านจึงมายังทวีปตะวันออกล่ะ” ศิษย์อีกคนถามเธอ
“ซูหยาง…” เธอตอบด้วยเสียงเอียงอาย
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันสบสายตากันก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นหญิงสาวสวยเช่นท่านจะมาอยู่ข้างกายศิษย์พี่ชายได้อย่างไร”
“ได้โปรดเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับทวีปใต้”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าและเริ่มพูดถึงเกี่ยวกับทวีปใต้ราวกับว่ามันเป็นนิทานให้กับศิษย์รุ่นเยาว์
ในเวลานั้นหลังจากที่ซูหยางพูดบรรยายจบแล้ว โหลวหลานจีก็เข้าไปหาเขาและพูดว่า “ซูหยาง ข้าต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับแผนในอนาคตของพวกเรามากกว่านี้ แต่ว่ามีแขกนับพันอยู่ที่ด้านนอกประตู”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ ท่านไปทำสิ่งที่ต้องทำ”
สองสามอึดใจให้หลัง โหลวหลาจีก็ออกไปจากที่แห่งนั้นพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสนิกายเพื่อต้อนรับแขก ในกรณีนี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาทั้งวันในการต้อนรับแขก นั่นก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ก่อนที่จะความสงบสุขจะกลับมาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้ง
หลังจากที่โหลวหลานจีจากที่แห่งนั้นไปแล้ว ซูหยางก็หันไปมองดูหลานลี่ชิง ผู้ซึ่งยืนเงียบอยู่ที่มุมห้อง มองดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ
เมื่อเธอตระหนักว่าซูหยางได้สังเกตเห็นเธอ เธอก็ยิ้มให้เขาอย่างเอียงอาย
จากนั้นเขาก็เข้าไปหาเธอและกล่าวว่า “มากับข้า ข้ามีเรื่องสองสามอย่างที่จะพูดกับเจ้า”
หลานลี่ชิงพยักหน้าก่อนที่จะติดตามเขาไปที่ซึ่งเป็นส่วนตัว