หลังจากที่ซูหยางออกจากพื้นที่ฝึกฝนของพวกเขาแล้ว หลินเชาชางก็ยืนขึ้นและกล่าวกับโหวเยินเจียว่า “ข้าต้องขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วยสำหรับวันนี้ ความสงบสุขของข้าได้ถูกรบกวนและข้ามิมีอารมณ์ที่จะฝึกฝนอีกต่อไป”
โหวเยินเจียไม่ได้กล่าวโทษเธอเพียงแต่พยักหน้า “ไปเถอะ”
และถึงแม้ว่าหลินเชาชางยังคงฝึกต่อไป นั่นก็จะเป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงสำหรับเธออย่างแท้จริง ในเมื่อการฝึกฝนด้วยจิตใจที่ไม่สงบนั้นเป็นอันตรายอย่างมาก การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเพียงครั้งอาจทำให้ร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บ
หลังจากที่หลินเชาชางออกจากพื้นที่ฝึกไปแล้วศิษย์คนอื่นต่างก็ยกมือขึ้นเช่นกัน พวกเธอกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกายข้าก็มิมีอารมณ์ที่จะฝึกฝนเช่นกัน”
“ข้าด้วย ท่านผู้นำนิกาย”
โหวเยินเจียนวดขมับและกล่าวด้วยเสียงหมดเหนื่อยล้าว่า “พวกเจ้าทุกคนจากไปได้ ข้าจักหยุดการบรรยายของวันนี้ไว้แค่นี้ แต่ข้าจักทำให้เสร็จสิ้นในครั้งถัดไป”
กระทั่งเขาเองก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสอนต่อไปหลังจากที่เห็นหน้าซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตใจของเขาเองยังเต้นกระหน่ำเหมือนกับกลองศึกหลังจากที่พบกับเซียวหรงเป็นครั้งแรก เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังใช้ชีวิตวัยหนุ่มอยู่ ที่ซึ่งสาวสวยทุกคนที่เดินผ่านผ่านเขาจะทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ
“ศิษย์น้องหญิงหลิน เจ้าดีอยู่ไหม” เตียวซื่อตูตรงเข้าไปหาเธอหลังจากนั้นและกล่าวขึ้น
“เจ้าควรอย่าไปใส่ใจชายคนนั้น มิมีอะไรดีจักเกิดขึ้นจากการคบหากับคนแบบเขา”
“….”
แต่ทว่าราวกับว่าเธอไม่ได้ยินเขา หลินเชาชางยังคงเดินต่อไปอย่างเงียบๆ และใบหน้าเธอมีสีหน้าสับสน ดูเหมือนกับว่าเธอกำลังถูกร่ายอาคมใส่
“ศิษย์น้องหญิงหลิน…” เตียวซื่อตูหยุดตามเธอและจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
หลังจากที่ออกจากพื้นที่ฝึกแล้ว หลินเชาชางก็กลับคืนสู่ที่พักของเธอที่อยู่ตรงใจกลางนิกาย ที่ซึ่งมีเพียงศิษย์หลักและผู้อาวุโสนิกายพำนัก
ครั้นเมื่อเธออยู่ในห้องแล้ว หลินเชาชางก็นั่งลงข้างหน้าต่างและจ้องมองไปยังท้องฟ้า ยังคงมีสีหน้าสับสน
“ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน” เธอพึมพัมกับตัวเอง
หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะและทั่วทั้งร่างเธอรู้สึกอุ่นเกือบร้อน ถ้าปราณไร้ลักษณ์ของเธอไม่เสถียรในเวลานี้ เธอก็อาจจะคิดว่าเธอถูกพิษ
หลังจากที่นั่งข้างหน้าต่างไปโดยไม่รู้เวลา หลินเชาชางก็พลันมองไปยังอาคารที่อยู่ด้านหน้าเธอ
ตามที่เธอรู้ ที่แห่งนี้ไม่มีคนพักมานานหลายปีแล้วในตอนนี้ แต่ใครสักคนกำลังจะออกจากอาคารแห่งนี้
หลินเชาชางมองขณะที่ประตูของอาคารนั้นเปิดออก และร่างสูงโปร่งก็ออกมาจากบ้านนั้นหลังจากนั้น
“อ-อะไรกัน”
เมื่อหลินเชาชางตระหนักว่านั้นคือซูหยางที่เพิ่งออกมาจากบ้านว่างนั้น เธอก็ยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“จ-เจ้ามาทำอะไรในอาคารที่เป็นของศิษย์หลัก มิได้มีห้องพักแขกในพื้นที่แถบนี้” เธอตะโกนใส่ซูหยางจากหน้าต่างของเธอ
“อ-อย่าบอกข้าว่าเจ้าแอบตามข้ามา” หลินเชาชางสั่นสะท้านเมื่อเธอตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเธอถูกเขาแอบตาม
“หือ เจ้าพักที่นี่รึ” ซูหยางมองดูหลินเชาชางยืนอยู่ที่หน้าต่างด้วยสีหน้าสงบเรียบและกล่าวต่อว่า “ปราณไร้ลักษณ์ในพื้นที่แถบนี้ดูเหมือนจะดีที่สุดตลอดทั่วทั้งสำนักดังนั้นข้าจึงขออยู่ที่นี่ตอนนี้ และอาคารหลังนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้พักอาศัย ดังนั้นผู้อาวุโสนิกายจึงเห็นด้วยที่จะยอมให้ข้าพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว”
แน่นอนว่าเหตุผลเดียวที่ผู้อาวุโสนิกายตกลงยอมให้กับคำขอของซูหยางก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะแยกตัวจากซูหยางอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในเมื่อเขาไม่สามารถทนแรงกดดันรุนแรงจากซูหยางได้อีกต่อไป แต่ห้องพักแขกยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายนาที
“ข-ข้ามิเชื่อ” หลินเชาชางพูด เนื่องจากเหตุบังเอิญนี้มีมากเกินไปสำหรับเธอในการที่จะเชื่อถ้อยคำของเขา
ซูหยางยักไหล่และพูดว่า “ข้าจักเพียงอยู่ที่นี่วันหรือสองวันเป็นอย่างมาก”
“สองสามชั่วโมงก็พอเพียงแล้วสำหรับเจ้าในการแอบเข้ามาในห้องและข่มขืนข้า อย่าว่าแต่ตลอดทั้งวัน”
“นั่นมิจำเป็นต้องหวาดระแวงถึงขนาดนั้น ก็เหมือนกับที่ข้าได้พูดไปหลายครั้งแล้วก่อนนี้ ข้ามิทำอะไรที่จักทำให้สูญเสียความภาคภูมิใจในความเป็นชาย และการบังคับตัวข้าเองให้กระทำชำเราร่างกายของหญิงที่ไร้เดียงสานั้นธรรมดาแล้วเป็นเส้นที่ข้าจักมิมีวันข้าม”
“มิว่าอย่างไรข้ามิมีเวลาที่จะมาให้ความสำราญแก่เจ้าในตอนนี้ ถ้าเจ้าต้องการที่จะพูดคุยมากกว่านี้ เจ้ารู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยก่อนที่จะเดินจากไป
“เขาไปไหนกันหลังจากได้ที่พำนัก ช่างน่าสงสัย” หลินเชาชางคิดในใจ
เธอมั่นใจว่าซูหยางมีแรงจูงใจแอบแฝงในการมายังนิกายดอกบัวเพลิงโดยไม่แจ้งให้ทราบไว้ก่อน
จากนั้นหลินเชาชางจึงตัดสินใจที่จะติดตามซูหยางไปเพื่อดูว่าเขาไปที่ไหนกัน
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ติดตามเขาไปอย่างเปิดเผย และรักษาระยะห่างเบื้องหลังเขาหลายเมตร กระทั่งซ่อนตัวในเงามืดและอะไรก็ตามที่มีท่าทางเหมือนกับพวกเดินย่องตามหรือสตอล์กเกอร์
เวลาหลังจากนั้น หลินเชาชางก็ติดตามซูหยางไปถึงอาคารที่ไม่ห่างไกลไปจากที่พักของตัวเธอเองมากนัก
หลังจากที่เขาไปถึงที่หมาย ซูหยางก็เคาะประตูของอาคารนั้นและรอคอยอยู่ด้านนอกอย่างเงียบๆ
“อาคารนี้เป็นของ…” หลินเชาชางพยายามที่จะนึกว่าใครที่พักอยู่ในอาคารนี้
ในระหว่างที่เธอคิดอยู่สองสามอึดใจนั้น ประตูก็เปิดออกและหญิงสาวที่น่ารักมากหุ่นดีก็ออกมาจากภายในอาคารหลังนั้น
เมื่อหลินเชาชางเห็นใบหน้าของร่างนี้ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกันเมื่อเด็กสาวที่ออกมานั้นเห็นใบหน้าของซูหยาง ใบหน้าของเธอก็สดใสขึ้นด้วยความประหลาดใจและยินดี
“ซูหยางท่านมาทำอะไรที่นี่ที่นิกายดอกบัวเพลิงนี้” จางซิวยิงปิดปากของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแกมยินดี
“ข้ามาเยี่ยมเยือนที่นี่” ซูหยางตอบพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“โปรดเข้ามาด้านใน” จางซิวยิงรีบต้อนรับเขาเข้าไปในอาคาร
ซูหยางพยักหน้าและเดินเข้าไปในเวลาถัดไป หายไปจากสายตาของหลินเชาชาง