17
ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงมองไปยังฉากรอบข้างพร้อมกับขมวดคิ้วบนใบหน้าดุดัน ศิษย์หลายคนนั้นครวญครางด้วยความปวดร้าว เลือดสาดกระจายไปทั่วพื้น และทั่วทั้งพื้นที่ดูเหมือนกับว่าเพิ่งเกิดสงครามใหญ่ขึ้น
เขาจึงหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสงบพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมายังตัวเขา
ผู้นำนิกายดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาพบว่าพลังการฝึกปรือของซูหยางอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด อย่างไรก็ตามเห็นชัดว่าเขาสวมชุดที่เป็นของศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเท่าที่เขาจำได้ ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพียงอยู่ที่ระดับกลางของเขตปฐพีวิญญาณ ดังนั้นผู้มีฝึมือระดับสูงสุดนี้มาจากไหนกัน
“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้รึ” ผู้นำนิกายถามซูหยางด้วยเสียงเรียบเฉย แต่เปี่ยมไปด้วยการคุกคาม
แต่ทว่า ผู้อาวุโสสูงสุดหานกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย ทั้งหมดนี้สาเหตุมาจากความโง่เขลาของชายชราผู้นี้…”
“อะไรกัน เจ้ารึ ไหนลองอธิบายมาซิ” ผู้นำนิกายมีท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหาน เหตุใดคนที่มีปัญญาอย่างเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานจึงเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี้
ผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะบอกผู้นำนิกายตามความเป็นจริงในตอนนี้ ในเมื่อไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทะเลาะรอบใหม่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนถ้าคนที่หยิ่งทระนงและใจร้อนดังเช่นผู้นำนิกายได้รู้ถึงการกระทำของซูหยางต่อศิษย์ของตนเองในพื้นที่ของเขา
“มีอะไรผิดไปรึ ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ทำไมเจ้าจึงมิพูด” ผู้นำนิกายขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปเป็นเวลานาน
“ท่านผู้นำนิกาย โปรดรอสักครู่ ข้าจักอธิบายทุกสิ่งให้กับท่าน… เพียงแต่…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานหันไปมองดูซูหยางด้วยท่าทางสับสน
เขาต้องการอธิบายสถานการณ์ให้กับผู้นำนิกาย แต่เขาไม่ต้องการให้เกิดการถูกซ้อมข้างเดียวรอบใหม่เกิดขึ้น บางทีอาจจะเป็นการฆาตกรรมหมู่ในคราวนี้ ซึ่งเขาแน่ใจว่าแม้จะเป็นผู้นำนิกายก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้
ยิ่งไปกว่านั้น ซูหยางยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับข้อเสนอของผู้อาวุโสหานให้ละเว้นนิกายดอกบัวเพลิงโดยใช้ชีวิตเขาแทน
เมื่อเห็นสายตาของผู้อาวุโสหาน ซูหยางยิ้มและหันไปหาจางซิวยิงและกล่าวว่า “ซิวยิง เจ้าพอที่จะพาข้าไปยังทางออกได้หรือไม่ ข้าจำมิได้ว่าอยู่ตรงไหน”
ซูหยางไม่มีเจตนาที่จะเอาชีวิตผู้อาวุโสหาน เหตุผลเดียวที่ซูหยางตัดสินใจเข้าร่วมทะเลาะวิวาทครั้งนี้ง่ายๆก็คือเขาต้องการทดสอบความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา และผลลัพธ์ก็น่าพอใจยิ่งนัก
“หยุดอยู่ตรงนั้น ใครบอกให้เจ้าไปได้” ผู้นำนิกายพลันตะโกนไปยังซูหยาง จนทำให้หัวใจผู้อาวุโสหานเต็มไปด้วยความตระหนก เขาพึ่งขอบคุณสวรรค์ไปก่อนหน้านั้นเมื่อซูหยางตัดสินใจปล่อยพวกเขาไป
ซูหยางหยุดเดินและหันไปมองผู้นำนิกายพร้อมกับหรี่ตา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดฆ่าฟัน
“เจ้าคิดหยุดข้ารึ” ซูหยางพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ รังสีฆ่าฟันในดวงตาของเขาพลันแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ เป็นเหตุให้ทุกคนในที่นั้นสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าผู้นำนิกายตระหนกกับรังสีฆ่าฟันที่น่าหวาดหวั่นของซูหยาง แต่เขายังยืนหยัดและเริ่มปลดปล่อยแรงกดดันของตนเองออกมา ดูเหมือนว่าเขาเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับซูหยาง
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานเห็นภาพนี้ ร่างกายของเขาทั้งหมดพลันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
“จบสิ้นกัน เขากำลังจะฆ่าพวกเราทั้งหมด” ผู้อาวุโสสูงสุดหานร่ำร้องในใจ เขาสามารถจินตนาการฉากของนิกายดอกบัวเพลิงถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ซูหยางหันหน้ามาเผชิญกับผู้นำนิกายและดึงเอาแมงป่องดำออกมาจากแหวนมิติ เป็นเหตุให้บรรยากาศดูร้ายแรง ราวกับว่าอากาศเปลี่ยนเป็นพิษเพียงแค่การปรากฏตัวของแมงป่องดำ
ท่าทางของผู้นำนิกายเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเห็นแมงป่องดำ ผิวของเขาซีดเผือด
“ข-ข-เขามีกระทั่งสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ ชายผู้นี้เป็นใครกัน” แม้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้นำนิกายเห็นสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ เขาสามารถบอกถึงระดับของมันได้โดยอาศัยกลิ่นอายที่สามารถเปลี่ยนสภาพบรรยากาศที่มันปลดปล่อยออกมา สิ่งที่กระทั่งสมบัติระดับปฐพีของเขาไม่อาจทำได้
ส่วนสำหรับศิษย์และผู้อาวุโสนิกายคนอื่น พวกเขารู้สึกว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขายากที่จะหายใจหลังจากที่แมงป่องดำปรากฏขึ้น
หลังจากที่เผยให้เห็นแมงป่องดำ ซูหยางก็เริ่มตรงเข้าไปหาผู้นำนิกาย สายตาของเขายังเปี่ยมไปด้วยควมคิดฆ่าฟัน
ผู้นำนิกายเริ่มก้าวถอยหลัง เห็นชัดว่าเขาหวาดหวั่นกับสิ่งสวยงามสีดำในมือซูหยางที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายราวกับว่าต้องการกลืนกินชีวิตของเขา
“ร-รอสักครู่–เรามาตกลงกัน–”
ขณะที่ผู้นำนิกายเปิดปากพูด ซูหยางใช้ก้าวเก้าดาราปรากฏตัวเบื้องหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับแมงป่องดำห่างเพียงมิลลิเมตรเดียวจากคอของผู้นำนิกาย
“มีดสั้นเล่มนี้แช่ด้วยพิษที่สามารถฆ่าได้กระทั่งผู้มีฝีมือเขตอัมพรวิญญาณภายในเวลาไม่กี่วินาที และถ้าเจ้ามิต้องการให้ข้าเผลอฆ่าเจ้าโดยไม่เจตนา ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเคลื่อนไหว”
“…”
ผู้นำนิกายตกตะลึงกับความเร็วของซูหยางจนทำให้เขาตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก และหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง เขาไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลาย ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเผลอขยับผิวหนังบริเวณลำคอ
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะที่มีความรู้สึกเหมือนผ่านไปหลายชั่วโมงสำหนับเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกาย ซูหยางดึงแมงป่องดำออกจากคอของผู้นำนิกายและเพียงหันกายไปอย่างง่ายๆ
“ข้าสามารถฆ่าทุกคนในที่นี้ได้อย่างง่ายๆและทำให้ชื่อนิกายนี้กลายเป็นความจริง แต่ข้ามิต้องการให้เพื่อนตัวน้อยของข้ากลายเป็นคนไร้บ้าน ดังนั้นจงถือว่าพวกเจ้านั้นโชคดี” ซูหยางกล่าวกับพวกเขาในขณะที่เขามองดูจางซิวยิง
แม้ว่าคำพูดซูหยางอาจจะฟังดูตรงไปตรงมา แต่ทั้งผู้นำนิกายและผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้ถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นการเตือนพวกเขาว่าถ้าพวกเขาทำร้ายจางซิวยิงเหตุเพราะว่าอีกฝ่าย โดยไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดและทำลายนิกายดอกบัวเพลิง
ซูหยางพลันหันไปมองดูจางซิวยิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่เป็นไร ซิวยิง ข้าควรไปด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็นำเอาเรือบินออกมาจากแหวนมิติและกระโดดเข้าไปในนั้น ก่อนที่จะออกตัวบินไปด้วยความเร็วที่สามารถอธิบายว่าเร็วดุจสายฟ้า
ครั้นเมื่อร่างของซูหยางหายไปจากนิกายดอกบัวเพลิง ทุกคนที่ตรงนั้นค่อยหันกายไปมองดูจางซิวยิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเกรงกลัว