“ซูหยิน… เจ้าเป็นน้องสาวของซูหยางใช่ไหม ข้าต้องการที่จะได้พูดกับเจ้ามานานแล้ว” ซีซิงฟางพลันมองมายังเธอด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารึ…” ซูหยินแสดงสีหน้างงงัน
ซีซิงฟางพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเจ้ามีเวลาบ้างในตอนนี้ จะเป็นไรไหมหากจะมานั่งคุยกับข้า ข้าจักบริการน้ำชาชั้นเยี่ยมประจำตระกูลของข้าเป็นการแลกเปลี่ยนกับเวลาของเจ้า”
“น้ำชากับองค์หญิงรึ” ซูหยินงงงัน ในเมื่อเธอได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่คนปกติไม่เคยได้รับอย่างกระทันหัน แต่ทว่าเธอก็ไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ว่าทำไมซีซิงฟางจึงสนใจในตัวเธอ
แม้ว่าเธอจะมาจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ แต่เธอก็ไม่เคยทำอะไรที่ควรได้รับความสนใจเช่นนี้ ดังนั้นนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเธอแต่เป็นเรื่องของซูหยางแทน
“เจ้ามิต้องการรึ” ซีซิงฟางแสดงสีหน้าท้อแท้เมื่อซูหยินยังคงเงียบเฉย
“ม-มิใช่เช่นนั้น นับเป็นเกียรติของข้าที่ได้ดื่มน้ำชากับองค์หญิง” เธอกล่าว
“ก็อย่างที่ข้าได้พูดไป เจ้าควรงดใช้พิธีรีตอง ในเมื่อมีแค่พวกเราอยู่ที่นี่ เพียงแค่เรียกข้าว่า พี่หญิงซิงฟาง”
“ข้ามิกล้า…” ซูหยินส่ายหน้าอย่างเป็นกังวล
“นั่นคงทำให้สิ่งต่างๆเกิดความซับซ้อนกับข้า ในเมื่อข้าใกล้ชิดกับพี่ชายของเจ้าเป็นอย่างมาก”
“ท่านใกล้ชิดกับพี่ชายของข้างั้นรึ” ซูหยินมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง แล้วเธอก็ถามว่า “ใกล้ชิดระดับไหนที่เรากำลังพูดถึง”
“ซูหยิน… เจ้ามิควรถามคำถามที่จาบจ้วงเช่นนั้น…” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเธอด้วยสีหน้ากระสับกระส่าย
ซีซิงฟางหัวเราะคิกคักกล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้องการรู้ ข้าจักบอกเจ้าทุกอย่างถ้าเจ้ามากับข้า”
“ตกลง พี่หญิงซิงฟาง” ซูหยินตอบรับทันที และทัศนคติที่เธอมีต่อซีซิงฟางก็เปลี่ยนไป 180 องศา
“ข้าต้องขออภัยเป็นการล่วงหน้ากับพฤติกรรมหยาบคายของศิษย์ข้า องค์หญิง…” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับซีซิงฟางก่อนที่ซีซิงฟางจะพาซูหยินไป
ครั้นเมื่อพวกเธอจากไปแล้ว ซีหวังก็มองไปยังไป่ลี่ฮัวแล้วกล่าวว่า “สำนักหงส์สวรรค์ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยใช่ไหม และนี่ก็เกิดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะชนะการแข่งขันระดับภูมิภาค ถ้าเจ้ามิถือ เจ้าพอที่จะบอกข้าได้ไหมว่าอะไรเป็นเหตุให้เจ้ามีการตัดสินใจเช่นนั้น ข้ามิได้มีความคิดที่จะล่วงเกินแต่อย่างใดเพียงแต่สำนักระดับสูงปกติแล้วมักจะมิเห็นหรือใส่ใจในสำนักที่เล็กและไร้ความสำคัญอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เจ้ากลับทิ้งความภาคภูมิทั้งหมดของตนเองและร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ข้าจึงมิสามารถที่จะจินตนาการได้ว่าอะไรที่มีอิทธิพลต่อเจ้าให้ทำเช่นนั้น”
“เอ้อ… เรื่องนี้..” ไป่ลี่ฮัวแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่เป็นเรื่องฉลาดสำหรับเธอที่จะเปิดเผยรายละเอียดเบื้องหลังการร่วมเป็นพันธมิตรของพวกเขา แต่เธอก็กำลังเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ของตระกูลซี ซึ่งยิ่งน่ากลัวและมีพลังอำนาจมากกว่าเจ้าซีคนปัจจุบัน
สวรรค์ จะรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอโกหกต่อหน้าเขาแล้วเขาพบเห็น
“หือออ… ถ้ามันเป็นการยากสำหรับเจ้าที่จะตอบคำถามนี้ของข้า เจ้าก็สามารถมองข้ามมันไปได้” ซีหวังพลันกล่าวขึ้น “ข้ามั่นใจว่าซูหยางต้องเสนออะไรบางอย่างแก่เจ้าที่เจ้ามิสามารถที่จะปฏิเสธได้ใช่ไหม ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จักมิซักไซ้ไล่เลียงไปอีกต่อไป”
หลังจากที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ซีหวังก็กลับคืนไปสู่ที่พักของตนเอง
ในเวลานั้นในห้องของซีซิงฟาง เธอก็เทน้ำชาให้กับซูหยินหนึ่งถ้วย
“องค์หญิงจากตระกูลซีเทน้ำชาให้กับข้า…” ซูหยินตระหนักในตอนนี้ว่าสถานการณ์ของเธอนั้นมีความประหลาดพิกลซึ่งปกติแล้วควรจะเป็นอย่างอื่น
“ชานี้เรียกว่า ชาเขียวชำระใจ และมันผลิตมาจากใบไม้พิษในป่าร้าง แน่นอนว่าพิษของมันนั้นได้ถูกสกัดออกไปจากใบเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเจ้ามิต้องกังวลว่าจะถูกพิษ และมันก็เป็นหนึ่งในชาที่ข้าชื่นชอบเช่นกัน”
“ข-ขอบคุณพี่หญิงซิงฟาง” ซูหยินกล่าวกับเธอก่อนที่จะจิบชาที่มีสีเขียวเข้ม
“อืมม มันหวานจัง ข้ามิเคยได้ลิ้มชิมชารสชาติอร่อยเช่นนี้มาก่อน” ซูหยินมีสีหน้าประหลาดใจในเวลาถัดไป
“ข้าดีใจที่มันถูกปากเจ้า น้องหญิง” ซีซิงฟางยิ้ม
สองสามนาทีให้หลัง ครั้นเมื่อพวกเขาจิบชาเรียบร้อยแล้ว ซูหยินก็ถามซีซิงฟางว่า “พี่หญิงซิงฟาง ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับพี่ชายของข้ารึ”
“ข้าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี…”
จากนั้นซีซิงฟางก็เริ่มเล่าย้อนให้ซูหยินฟังถึงตอนที่เธอพบกับาซูหยางเป็นครั้งแรก
“แม้ว่าข้ามิเคยได้เห็นตัวเขามาก่อน และก่อนที่ข้าจะรู้จักตัวตนของเขา นั่นเพียงใช้เวลาข้าแค่เหลือบมองครั้งเดียวในการรับรู้ถึงตัวตนอันเหนือธรรมดาของเขา” ซีซิงฟางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เธอรำลึกไปถึงตอนที่ซูหยางยื่นส่งวิชาระดับเซียนที่มีประโยชน์ต่อร่างเซียนให้กับเธออย่างไม่ใส่ใจ”
“ข้าได้รับความช่วยเหลือจากเขามากมายหลังจากนั้น ดังนั้นข้าจึงเป็นหนี้เขามิน้อย แต่ทว่าด้วยฐานะของข้า ข้าก็พบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะทดแทนเขา ในเมื่อข้ารู้สึกเหมือนกับว่ามิว่าข้าให้อะไรกับเขาก็ตามมันก็เปรียบเหมือนกับขยะในสายตาเขา”
สองสามนาทีให้หลัง ซีซิงฟางก็กล่าวกับเธออีกว่า “ตอนนี้เมื่อเจ้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับซูหยางแล้ว ทำไมเจ้ามิบอกข้ามากกว่านี้ในเรื่องของเขา มิว่าอย่างไรข้าก็ชื่นชอบที่จะรู้เกี่ยวกับผู้มีบุญคุณของข้าให้มากขึ้น”
จากนั้น ซูหยินกับซีซิงฟางก็เริ่มพูดคุยกันโดยมีหัวข้อหลักเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับซูหยาง
หลายชั่วโมงหลังจากนั้น ซูหยินก็ออกจากที่แห่งนั้นและกลับคืนสู่ศาลาหยินหยาง
“นั่นหมายความว่าซูหยางเดิมทีมิได้เป็นเช่นนี้งั้นรึ ดูเหมือนว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่อะไรบางอย่างได้เกิดขึ้นกับเขาหลังจากที่เขาจากตระกูลซูจนเป็นเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น” ซีซิงฟางพึมพัมกับตนเองหลังจากนั้น
หลังจากที่ฟังซูหยินพูดถึงเกี่ยวกับซูหยาง เธอก็คิดว่าความเข้าใจที่เธอมีต่อเขานั้นชัดเจนขึ้น แต่เธอจะคาดคิดแม้แต่น้อยก็หาไม่ว่านั่นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
“จริงแล้วท่านเป็นใครกัน ซูหยาง” ซีซิงฟางถอนใจ
ในเวลานั้นที่ห่างออกไปสองสามกิโลเมตรจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ก็เห็นรถม้าหรูหราหลายคันมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางของนิกาย และรถม้าแต่ละคันนั้นก็ปักธงขนาดใหญ่มีชื่อตระกูล “ฟาง” เย็บติดไว้อย่างสง่างาม
“ท่านผู้นำตระกูลฟาง พวกเราเกือบถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว” คนขับรถม้ากล่าวกับคนที่อยูภายในรถม้าที่เขากำลังขับให้อยู่
“ดี…” เสียงที่เย็นเยียบเหินห่างดังขึ้นหลังจากนั้น