หลังจากที่เดินทางได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมง สุดท้ายรถม้าก็ไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เรามาถึงนิกายกุสุุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว ท่านผู้นำตระกูล” คนขับรถม้ากล่าว
สองสามอึดใจให้หลัง หญิงวัยกลางคนที่ดูมีเสน่ห์สวมเสื้อผ้าหรูหราก็เดินออกมาจากรถม้า ติดตามมาด้วยหญิงสาวที่สวยสง่าซึ่งดูเหมือนจะมีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ที่ปลดปล่อยกระแสพลังของผู้ที่อยู่ในระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณออกมาจากร่างกาย
“ที่นี่คือที่เธอได้ซ่อนตัวเป็นเวลานับสิบปีอย่างงั้นรึ มันสะอาดกว่าที่ข้าได้คิดไว้” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
ในเวลานั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายที่ยืนอยู่ตรงบริเวณทางเข้าได้สังเกตเห็นรถม้าของพวกเธอหยุดอยู่ตรงที่หน้าประตู เธอก็ตรงเข้าไปหาพวกเธอและกล่าวว่า “พวกท่านเป็นใครกัน และมีธุระอะไรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หญิงวัยกลางคนก้าวขึ้นมาข้างหน้าและกล่าวว่า “เรามาจากตระกูลฟาง และข้าก็เป็นผู้นำตระกูล ฟางเซียนเจว้”
“ตระกูลในสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลฟางนั่นรึ” ผู้อาวุโสนิกายถามเพื่อยืนยัน ใบหน้าเธอมีแต่ความตกใจ
ฟางเซียนเจว้พยักหน้าและเธอกล่าวต่ออีกว่า “พวกเราตัดสินใจที่จะมาที่นี่หลังจากที่ได้ยินคนพูดกันถึงชื่อของ ฟางซีหลาน ว่าตอนนี้เป็นศิษย์อยู่ที่นี่ ข้าพูดถูกหรือไม่”
“ฟางซีหลานรึ ใช่ มีศิษย์ที่ชื่อนี้ที่นี่จริงๆ” ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้า
“นั่นเยี่ยมมาก เพราะว่าเธอจริงแล้วเป็นคนของตระกูลฟาง และเธอก็เป็นลูกสาวของข้า เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วนับตั้งแต่เธอหายตัวไปจากตระกูล แต่ในที่สุดข้าก็มีโอกาสได้เห็นเธอและพาเธอกลับบ้นอีกครั้ง” ฟางเซียนเจว้พูด
“อะไรกัน เธอเป็นคนตระกูลฟางงั้นรึ และท่านก็เป็นแม่ของเธอด้วย นั่นเป็นไปมิได้เพราะว่าพ่อแม่เธอนั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ข้าเกรงว่าท่านอาจจะเข้าใจผิดคนที่มีชื่อเหมือนกัน…”
ฟางเซียนเจว้ส่ายหน้าเธออย่างเยือกเย็นและกล่าวว่า “ข้าได้ตรวจสอบพื้นเพของเธอเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นข้ามั่นใจว่าเธอเป็นลูกสาวข้า ถ้าเจ้ายอมให้ข้าเห็นตัวเธอ นั่นก็ย่อมจักทำให้เกิดความมั่นใจ”
“ได้โปรดรอชั่วครู่และให้ข้าได้รายงานเรื่องนี้ให้กับท่านผู้นำนิกายและฟางซีหลาน” ผู้อาวุโสนิกายกล่าวก่อนที่จะล้วงหยกสื่อสารออกมาและอธิบายสถานการณ์ให้กับโหลวหลานจี
ในเวลานั้น ในศาลาหยินหยาง หลังจากที่ได้รับข่าวจากผู้อาวุโสนิกาย โหลวหลานจีก็เข้าไปพบกับซูหยาง
“ตระกูลฟางมาที่นี่ และพวกเธอก็อ้างว่าฟางซีหลานเป็นคนของพวกเขา” เมื่อได้ยินซูหยางก็เลิกคิ้ว
“ข้ามิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฟางซีหลานได้กล่าวกับข้าว่าพ่อแม่ของเธอได้ตายไปแล้วก่อนที่เธอจะมายังนิกาย ดังนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ที่เธอโกหกหรือไม่ก็ตระกูลฟางนั้นเข้าใจผิดเธอว่าเป็นคนในตระกูลของพวกเขา” โหลวหลานจีกล่าว
“มิว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม พวกเราไปพาตัวฟางซีหลานไปพบกับตระกูลฟางกัน”
สองสามนาทีให้หลัง ฟางซีหลานก็มาปรากฏตัวที่ศาลาหยินหยางหลังจากที่ถูกเรียกตัว แต่เธอก็ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์
“ศิษย์ฟาง… เจ้าบอกข้าว่าพ่อแม่ของเจ้าได้ตายไปก่อนที่เจ้าจะเข้าร่วมกับนิกาย ใช่ไหม” โหลวหลานจีถามเธอหลังจากนั้น
ฟางซีหลานมีสีหน้างุนงง แต่เธอก็พยักหน้าหลังจากนั้นไม่นาน “ใช่แล้ว ท่านผู้นำนิกาย”
โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าวว่า “เอ้อ… หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่จากภาคตะวันตก ตระกูลฟางตอนนี้อยู่ที่นี่ และพวกเขาก็ยืนยันว่าเจ้าเป็นคนของพวกเขา”
“อะไ–”
สีหน้าตกใจพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟางซีหลานหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้
เมื่อเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปฉับพลันในตาของอีกฝ่าย โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามิรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ แต่พวกเรามิสามารถที่จะปล่อยให้ตระกูลฟางรอไปโดยมิมีกำหนด มิว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด พวกเราก็จักรู้ครั้นเมื่อเจ้าได้พบกับพวกเขา”
ฟางซีหลานกัดริมฝีปากและกล่าวด้วยเสียงเบาหวิวว่า “นั่นมิจำเป็นต้องถึงเช่นนั้น ท่านผู้นำนิกาย พวกเขาพูดถูก และข้าก็จริงแล้วมาจากตระกูลฟาง ข้าต้องขออภัยที่โกหกท่านและซุกงำความจริงนี้เอาไว้ แต่ข้าก็มีเหตุผลส่วนตัวในการทำเช่นนั้น…”
โหลวหลานจีถอนใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ และกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็มีความรู้สึกว่าอาจจะเป็นกรณีนี้ อย่างไรก็ตามข้าสงสัยว่าตระกูลฟางจะยอมจากไปโดยมิได้พบตัวเจ้าหรือไม่ มิว่าเจ้าจะมีเหตุผลเช่นไร พวกเขาก็มาที่นี่เพื่อตัวเจ้าแล้วตอนนี้ และเจ้าก็มิสามารถที่จะหลบหน้าไปได้ตลอด”
“แต่…”
ดวงตาของฟางซีหลานหรี่ตา และเธอก็ปลดปล่อยความรู้สึกลังเลออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการที่จะพบกับตระกูลฟาง แต่ก็ไม่มีอะไรที่โหลวหลานจีสามารถทำได้ ในเมื่อโดยปกติแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะขับไล่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ไปโดยการใช้กำลัง
“ฮาา…” ซูหยางพลันถอนใจ และเขาก็พูดขณะที่จับมือที่สั่นสะท้านของฟางซีหลานเอาไว้ “เจ้าจะกลัวอะไร ข้าจักไปอยู่ที่นั่นกับเจ้าเช่นกัน”
“ซูหยาง…” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยดวงตาที่มีหยาดน้ำตา
“ข้ามิสนใจเกี่ยวกับเหตุกาณ์ของเจ้า หรือว่าสนใจในเหตุผลที่เจ้าต้องโกหก ในเมื่อทุกคนก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขามิต้องการเปิดเผยให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ อย่างไรก็ตามมิว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ข้าก็จักอยู่ข้างเดียวกับเจ้า”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ฟางซีหลานก็พยักหน้า “ตกลง… ข้าจักไปพบกับตระกูลฟาง อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเราจะไปพบกับพวกเขา ข้าต้องการให้ท่านรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างพวกเรา”
จากนั้นเธอก็เริ่มเปิดผยความจริงในเรื่องพื้นเพของเธอให้กับพวกเขา
“เป็นจริงที่ข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฟาง แต่ทว่าเมื่อพวกเขาตระหนักว่าข้ามิได้มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกวิชา พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะขายข้าไปยังตระกูลอื่น เมื่อมีเพียงหน้าตาของข้าเท่านั้นที่คุ้มค่ากับอำนาจอิทธิพลของตระกูลนั้น แน่นอนว่าข้ามิได้ต้องการที่จะใช้ชั่วชีวิตของข้าเป็นเครื่องเล่นของนายน้อยคนใด ดังนั้นข้าจึงหนีออกมาจากตระกูลก่อนที่ข้าจะบรรลุนิติภาวะ”
“หลังจากที่ข้าออกจากตระกูลมาแล้ว ข้าตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ที่ซึ่งข้าสามารถเลือกคู่ครองของข้าได้อย่างอิสระ”
“ข้ามิเคยคิดว่าเจ้าจะมีเรื่องราวเช่นนี้…” โหลวหลานจีแสดงสีหน้าตกใจหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของเธอ
“แต่พวกเขาพูดว่าเจ้ามิมีพรสวรรค์ได้อย่างไร เจ้าเป็นถึงหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งที่พวกเรามี” โหลวหลานจีกล่าวขึ้นในขณะที่ส่ายหน้า คิดว่าตระกูลฟางต้องเข้าใจผิดในเรื่องพรสวรรค์ของเธอเป็นแน่