“เจ้ามั่นใจว่าไม่มีปัญหาที่จะทำเช่นนี้รึ” ฟางซีหลานถามฟางเซี่ยวหรูหลังจากที่แม่ของพวกเธอลับหายไปจากที่แห่งนั้นแล้ว “ข้าออกจากตระกูลเพราะว่าพวกเขาทอดทิ้งและกลั่นแกล้ง แต่เจ้านั้นกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าเป็นถึงอัจฉริยะระดับสูงคนหนึ่งภายในตระกูล แต่เจ้ากลับโยนทิ้งสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้จักฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิง”
“นั่นไม่มีปัญหา” ฟางเซียวหรูตอบอย่างเยือกเย็น “มิมีอะไรอีกที่ข้าสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้อีกแล้ว และข้าก็มิชอบบรรยากาศที่นั่นด้วย”
“ว่าแต่ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าจักสามารถรับการทดสอบศิษย์” เธอถามขึ้น
“เราสามารถทดสอบได้ในทันทีนี้” ซูหยางกล่าว
ในเวลาถัดไป ซูหยางก็นำฟางเซี่ยวหรูไปยังพื้นที่ทดสอบ โดยมีฟางซีหลานและโหลวหลานจีคอยมองดูอยู่ที่ด้านหลัง
“ท่านคิดว่เธอจักผ่านหรือไม่” ฟางซีหลานถามโหลวหลานจี
“ในฐานะอัจฉริยะของตระกูลซี พรสวรรค์ของเธอนั้นแน่นอนว่าเป็นของจริง แต่ข้ามิสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเธอจักผ่านการทดสอบ ในเมื่อการทดสอบที่ท้าทายที่สุดสำหรับเธอในการทดสอบนี้ย่อมเป็นการทดสอบเม็ดยาจิตอสูร ซึ่งมิได้สนใจถึงพรสวรรค์ของผู้ใดแต่กลับเป็นวิถีจิตของพวกเขาแทน”
ในเวลานั้นบนเวทีแรก ฟางเซี่ยวหรูได้สัมผัสเทวรูปกระดูกและเทวรูปวิญญาณ
“อายุยี่สิบเอ็ดปี ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณ”
หลังจากที่ผ่านการทดสอบแรก เธอก็เดินไปยังเวทีที่สอง
ครั้นเมื่อเธอเตรียมตัวพร้อมแล้ว ซูหยางก็บีบเม็ดยาจิตอสูร
“…”
ฟางซีหลานมองดูอย่างเป็นกังวลขณะที่ฟางเซี่ยวหรูนั่งอยู่ตรงใจกลางหมอกสีแดง
ห้าวินาทีผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สิบวินาทีให้หลัง ร่างของฟางเซี่ยวหรูก็เริ่มสั่นสะท้าน
เมื่อถึงเวลายี่สิบวินาที ก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากจมูกของเธอ
“นี่…” ฟางซีหลานแสดงสีหน้าเป็นกังวล
ถ้าฟางเซี่ยวหรูไม่ผ่านการทดสอบ เธอก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปยังตระกูลฟาง แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ใครจะรู้ว่าแม่ของพวกเธอจะทำอะไรกับเธอถ้าเธอกลับไป
ยี่สิบห้าวินาทีในการทดสอบ รูจมูกของเธอทั้งสองข้างของเธอก็มีเลือดไหลออกมา
แต่ทว่าฟางเซี่ยวหรูไม่ได้ยอมแพ้น และซูหยางเองก็ไม่ได้ยับยั้งเธอ
ยี่สิบหกวินาที… ยี่สิบเจ็ดวินาที… ยี่สิบแปด… ยี่สิบเก้าวินาที…
เมื่อตอนที่เวลาแตะกำหนดสามสิบวินาที ซูหยางกสะบัดชายเสื้อจนทำให้เมฆสีแดงนั้นหายไปในทันที
แค่ก
ฟางเซี่ยวหรูกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำทันทีนับจากนั้น
“ข้า… ข้าได้ผ่านการทดสอบแล้วใช่ไหม” เธอถามเขาด้วยเสียงหมดแรง
“ใช่ เจ้าผ่าน” ซูหยางพยักหน้า และเขากล่าวต่ออีกว่า “แต่ทว่าเจ้าผ่านอย่างฉิวเฉียด ถ้าเจ้าต้องทนต่อไปอีกหนึ่งถึงสองวินาที เจ้าก็จะตาย”
สองสามอึดใจให้หลัง ฟางเซี่ยวหรูก็ไปยังเวทีที่สามและผสมเลือดของเธอจากริมฝีปากเข้าไปในชามใส่น้ำ และทุกคนที่นั่นก็พากันดูในขณะที่น้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ขอแสดงความยินดี เจ้าได้ผ่านการทดสอบที่สาม และตอนนี้เจ้าต้องมาต่อสู้กับข้า ให้กล่าวไปแล้วข้าย่อมมิต่อสู้และทำร้ายผู้หญิง ถึงแม้ว่ามันจักเป็นเพียงแค่การประลองฉันมิตร ดังนั้นข้าก็จักให้เจ้าได้มีเวลาฟื้นตัวก่อนที่พวกเราจะเริ่มต่อสู้” ซูหยางกล่าวก่อนที่จะส่งหินวิญญาณให้เธอสองสามก้อน
ฟางเซี่ยวหรูรับหินวิญญาณและก็เริ่มดูดซับพลังวิญญาณจากหินวิญญาณในทันทีเพื่อฟื้นฟูพละกำลังของเธอ
ในขณะที่ฟางเซี่ยวหรูฟื้นฟูพละกำลังของเธอเองอยู่นั้น ฟางซีหลานก็ตรงเข้าไปหาซูหยางและกล่าวถามว่า “ในเมื่อเธอผ่านทั้งสามการทดสอบ นี่ย่อมทำให้เธอเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์แล้วใช่ไหม”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “มิเพียงแต่เธอมีพรสวรรค์สูงล้ำ แต่เธอก็ยังมีการตัดสินใจที่แน่วแน่ แม้ว่าวิถีจิตของเธอจำเป็นต้องฝึกฝนอยู่บ้าง แต่ยามที่เธอได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม โดยมิต้องสงสัยเลยว่าเธอจักกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากในโลกนี้ ถึงแม้ว่าจะปราศจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เธอก็จักสามารถเข้าถึงระดับของเจ้าซีได้”
“เธอมีพรสวรรค์ถึงเช่นนั้นเลยรึ” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อยากที่ซูหยางจะชมเชยใครสักคนเป็นอย่างสูงแบบนั้น
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของนิกายนี้ มีเพียงเยี่ยนเยี่ยนที่เหนือกว่าเธอในเรื่องของพรสวรรค์ ตระกูลฟางบางทีอาจจะมิรู้ถึงพรสวรรค์ที่แท้จริงของเธอ มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงมิยอมปล่อยวางเธอง่ายดายเช่นนี้”
เวลาหลังจากนั้น ครั้นเมื่อฟางเซี่ยวหรูเสร็จสิ้นการฟื้นฟูพลังของเธอ เธอก็ตรงเข้าไปยังเวทีที่สี่
“ข้าจักมิเคลื่อนไหวจนกว่าเจ้าจะโจมตีข้าก่อนเป็นอันดับแรก” ซูหยางกล่าวกับเธอ “และก็มิจำเป็นที่จะต้องยั้งมือ โจมตีข้าด้วยทุกสิ่งที่เจ้ามี”
ฟางเซี่ยวหรูพยักหน้า จากนั้นเธอก็เริ่มสะสมพลังปราณในส่วนหนึ่งของร่างกาย มือขวาของเธอ
“น-นั่นคือ…” ฟางซีหลานพลันจดจำวิชานี้ได้และมีท่าทางประหลาดใจ
“นั่นเป็นวิชาประเภทไหนกัน” โหลวหลานจีถามเธอด้วยความอยากรู้
“นั่นเป็น “หมัดภูเขาสุดยอด” วิชาประจำตระกูลฟาง และเป็นหนึ่งในวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดวิชาหนึ่งของพวกเขา มีคำร่ำลือว่ามันมีพลังที่สามารถที่จะทำลายเขาทั้งลูกได้ด้วยการต่อยเพียงหมัดเดียวถ้าฝึกปรือถึงขั้นสมบูรณ์ ถ้าตระกูลฟางยอมให้เธอเรียนรู้วิชานี้ พวกเขาต้องเห็นคุณค่าในพรสวรรค์ของเธอจริงๆ” เธออธิบาย
“ใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าในการโจมตีครั้งแรก อย่างน้อยถือว่าเจ้ามีความสำนึกอยู่บ้าง” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า
สองสามอึดใจให้หลัง ฟางเซี่ยวหรูก็พุ่งเข้าไปหาซูหยางพรัอมกับหมัดที่พุ่งเข้าไปยังใบหน้าของเขา
และแรงกดดันมหาศาลก็พลันโถมทับลงไปยังร่างของซูหยาง ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเขาแบกภูเขาไว้บนบ่า
และในขณะที่ฟางเซี่ยวหรูปลดปล่อยพลังในหมัดของเธอ พื้นเวทีที่เธอยืนอยู่ก็แตกออกเป็นชิ้นๆ
“ฮ่าาาาา”
ฟางเซี่ยวหรูตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังขณะที่เธอต่อยไปยังซูหยาง
ซูหยางยังคงยิิ้มและเพียงแค่ยกมือขึ้นไปอย่างสบายๆจับหมัดของฟางเซี่ยวหรูโดยการใช้ฝ่ามือของเขา
บูม
คลื่นพลังงานที่แข็งแกร่งมากถูกสร้างขึ้นจนสามารถที่จะผลักฟางซีหลานและโหลวหลานจีถอยไปสองสามก้าว แต่ซูหยางยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“เป็นไปไม่ได้…” ฟางเซี่ยวหรูจ้องมองหมัดของเธอด้วยใบหน้าสับสน ดูเหมือนว่าจะตกใจที่ซูหยางสามารถที่จะหยุดวิชาการต่อสู้ของเธอโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ