บทที่ 620 การเตรียมการ
“ตอนนี้เมื่อเจ้าได้รับวิชาควบคุมเพลิงไปเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จักมิยอมให้เจ้าเลิกล้มแม้ว่าเจ้าต้องการก็ตาม” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น
“ศิษย์ผู้นี้มิกล้าแม้ว่าจะถูกท่านอาจารย์ทรมานก็ตาม…” ไค่เอียนกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าสวยของเธอ
“มิว่าอย่างไรเจ้าก็สามารถที่จะเริ่มศึกษาวิชานี้ได้ในตอนนี้ ถ้ามีอะไรที่เจ้ามเข้าใจ เจ้าสามารถถามข้าได้” ซูหยางกล่าว
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” ไค่เอียนพยักหน้าก่อนที่เธอจะเริ่มมองไปยังวิชาควบคุมเพลิง
ในเวลาเดียวกัน ซูหยางก็ได้หันมาให้ความสนใจกับหวังซูเหริน และถามเธอว่า “เจ้ายังคงต้องการที่จะมีเพลิงปรุงยาเฉพาะตัวอยู่อีกหรือไม่หลังจากที่ตระหนักถึงความเป็นจริง”
เธอรีบพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ใช่ จะเป็นไรไปถ้าข้าต้องทํางานหนักกว่าคนอื่นอีกสักเล็กน้อย มันล้วนคุ้มค่าถ้าข้าสามารถกลายเป็นนักปรุงยาที่ดีกว่าเดิมในที่สุด”
“ตอนนี้เมื่อข้ากลับมาคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้ายังมิได้บอกเหตุผลที่จะมาเป็นนักปรุงยาให้กับข้า” เขากล่าวกับเธอ “ถ้าเจ้ามิคิดอะไรก็บอกให้ข้าฟัง”
“เอ้อ ท่านมิเคยถามข้าเรื่องนั้น” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “ข้าต้องการที่จะเป็นนักปรุงยาเป็นเวลาเนิ่นนานเท่าที่ข้าจําได้ แต่ข้ามิสามารถที่จะนึกถึงเหตุผลได้ชัดเจนว่า ทําไมข้าจึงเลือกทางเดินนี้ ข้าเดาว่ามันเป็นเพราะสถานการณ์ที่ทําให้คนเรามสามารถที่จะจําได้ว่า ทําไมจึงทําสิ่งที่ตนเองทําเช่นนั้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี แต่ก็แปลกนะที่ข้ามเห็นว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนั้น เช่นเดียวกับความหลงไหลในการปรุงยาของข้าก็เป็นจริงเช่นกัน”
“อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้าจะมีความฝันที่จะกลายเป็นนักปรุงยาระดับสุดยอด แต่ข้าก็เพียงได้แต่เข้าสู่สํานักระดับกลางอย่างเช่นนิกายดอกบัวเพลิงและกลายเป็นผู้อาวุโสนิกายหลังจากที่ได้ผ่านความพยายามไปเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่ชื่อเสียงของข้าในฐานะของนักปรุงยานั้นแทบไม่ปรากฏเมื่อเปรียบเทียบกับคนแบบผู้อาวุโสจง ที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งทวีป”
“ถ้าข้ามิได้พบกับท่าน หรือท่านมิได้เลือกข้าแต่เป็นคนอื่นมาเป็นผู้ช่วยของท่าน ข้าบางทีก็อาจจะยังทํางานในโรงประมูลนิกายดอกบัวเพลิงเป็นเพียงแค่ผู้จัดการโดยมิมีชื่อเสียงที่แท้จริงใด” หวังชูเหรินถอนหายใจ
“ตอนนี้เมื่อข้าคิดเรื่องนี้ ท่านก็ยังมิเคยบอกเหตุผลที่รับข้าไว้” เธอกลับหันมาถามเขา “แน่นอนว่ามีคนนับอนันต์ที่มีคุณสมบัติมากกว่าข้าถ้าท่านค้นหา”
ซูหยางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอ่อ เจ้ามิเคยถามข้า”
จากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “ส่วนเหตุผลที่ว่าทําไมข้าเลือกเจ้านั้น… จริงแล้วก็มิได้มีเหตุผลใด ในเมื่อส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงเพราะความต้องการ และเจ้าก็เป็นคนแรกที่ข้าผ่านมาพานพบ”
“อย่างงั้นรึ เช่นนั้นมันก็เป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญ” หวังชูเหรินเผยให้เห็นรอยยิ้มขึ้นขมหลังจากที่ได้ยินคําพูดของเขา
อย่างไรก็ตามซูหยางก็กล่าวต่อไปอีกว่า “แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปเพราะความต้องการ แต่ก็ยังมีเหตุผลอีกสองสามอย่างที่ทําให้ข้าต้องผ่านมันไปให้ได้จริงๆ และปกติแล้วข้าก็มิได้เคลื่อนไหวเพียงเพื่อตาม “ความต้องการ”
“จริง แล้วมันคืออะไร” ดวงตาของหวังชูเหรินพลันเป็นประกายความคาดหวัง
“เอ่อ อันดับแรกที่สําคัญที่สุด เจ้าค่อนข้างที่จะเป็นหญิงที่น่าทึ่ง และมันก็สมเหตุผลสมผลสําหรับผู้ชายเช่นข้าที่ต้องการคนแบบเจ้ามาอยู่ข้างกายข้า”
“….” หวังชูเหรินใบหน้าแดงหลังจากที่ได้ยินคําพูดของเขา แต่มิใช่เป็นเพราะว่าเธอรู้สึกอายในเมื่อเธอได้ทําหลายสิ่งหลายอย่างกับเขาที่น่าอายยิ่งกว่าคําพูดสองสามคํา
ตามความเป็นจริงเหตุที่ทําให้เธอหน้าแดงนั้นเนื่องมาจากคนอื่นๆที่อยู่ในห้อง ซึ่งพวกเขาจะทําอย่างไรถ้าพวกเขารู้ความจริงถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเธอ ในเมื่อการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างอาจารย์กับศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงใจในยุทธภพ จะเป็นการดีกว่าหากว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นจะถูกเก็บซ่อนไว้
แน่นอนว่าผู้อาวุโสจง ไค่เอียน และหลัวอี้เชียวนั้นต่างพากันจ้องมองดูพวกเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างและกังขา คิดสงสัยว่าพวกเขานั้นมีความสัมพันธ์ประเภทนั้นกันจริงหรือไม่
“ข้ามิคิดว่าท่านอาจารย์จะเป็นคนประเภทที่เจ้าชู้ กระทั่งศิษย์ของตนเอง…” ไค่เอียนคิดในใจ สงสัยว่าเธออาจจะได้รับการดูแลแบบเดียวกันในอนาคตยามเมื่อพวกเขารู้จักกันดีขึ้นแล้ว
“อีกเหตุผลหนึ่งที่ทําไมข้าจึงเลือกเจ้าก็เพราะว่ากลิ่นของเจ้า” ซูหยางพูดต่อ สร้างความสงสัยให้กับเธอ
“กลิ่น…กลิ่นของข้างั้นรี” หวังชูเหรินเลิกคิ้วอย่างกระอักกระอ่วน
“กลิ่นยานั้นรุนแรงบนตัวของเจ้าเมื่อตอนที่ข้าพบกับเจ้าในครั้งแรก มันเป็นกลิ่นที่มีเพียงเฉพาะผู้ที่มักจะรายล้อมไปด้วยยาที่จะปลดปล่อยกลิ่นนี้ออกมา บ่งบอกข้าว่าเจ้านั้นอย่างน้อยเจ้านั้นจริงจังอย่างมากเมื่อกล่าวถึงการปรุงยา”
“อย่างไรก็ตามก็ยังมีเหตุผลอื่นอีก แต่มันจะมีความหมายอะไรกับการที่ข้าเลือกเจ้าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว” ซูหยางยักไหล่
“ข้าเดาว่าก็คงไม่”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าสามารถที่จะทํากิจวัตรของเจ้าต่อไปได้ ถ้าเจ้าต้องการ “ความช่วยเหลือใด เจ้าสามารถที่จะหาข้าได้ในอีกห้อง ที่ซึ่งข้าจักฝึกฝีมืออยู่ที่นั่น” ซูหยางพูด
“และนี่ก็เช่นเดียวกันสําหรับทุกคนที่นี่ ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด ก็เพียงแค่เคาะประตูแล้วข้าก็จักช่วยเจ้า อย่ากลัวว่าจะเป็นการรบกวนข้าเพราะว่านั่นก็คือความหมายของการที่เป็นอาจารย์”
จากนั้นซูหยางก็ออกจากห้องปรุงยาและเข้าไปภายในห้องนอนของหวังชูเหริน ที่ซึ่งเขาได้นั่งลงบนพื้นแล้วก็เริ่มค้นหาของที่อยู่ภายในแหวนมิติของเขา
สองสามอึดใจให้หลัง เขาก็มองดูไปยังเมล็ดสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่วที่วางอยู่บนฝ่ามือของเขา
“ข้าควรจะเริ่มเตรียมตัวสําหรับเมื่อสุดท้ายข้าต้องกลืนกินเมล็ดเพลิงนรกนี่ได้แล้ว” เขาคิดในใจ
“แม้ว่าข้ามิได้มีปัญหาในการกลืนกินสิ่งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่กลืนกินเมล็ดเพลิงนรกนี้นั้น…”
ซูหยางก็พลันถอนใจเบาๆ “จะมีคู่ร่วมฝึกมากพอสําหรับข้าที่จะทําให้ปราณหยางอันล้นหลามที่ข้าจักมีหลังจากนั้นเดือดแห้งไปหรือไม่”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะกลืนกินเมล็ดเพลิงนรกอย่างแท้จริง และเขาก็กังวลว่าเหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พนพิสัยจะไม่ใกล้เคียงกับคําว่าเพียงพอที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับความต้องการของเขาหลังจากที่เขากลืนกินเมล็ดนี้
“เมล็ดเพลิงนรกนี้ควรจะพออย่างหวุดหวิดสําหรับข้าเพื่อเข้าถึงจุดสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ และในเมื่อข้าจะต้องกลับไปยังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ภายในสองปี ข้าก็จักต้องเพิ่มพลังการฝึกปรือของข้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนหน้านั้น” ซูหยางจ้องมองไปยังเมล็ดเพลิงนรกด้วยสีหน้านิ่งงัน”
“สองปี เพียงแค่รอข้าอีกสองปี แล้วข้าก็จักกลับคืนไปยังข้างกายพวกเจ้า” เขาพึมพัมด้วยเสียงโหยหา และเขาก็ได้นั่งอยู่อย่างนั้นด้วยหน้าตานิ่งงันเป็นเวลานาน ดูเหมือนกับว่าเขากําลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่ลึกล้ํา