บทที่ 619 ยังมีสายถ้าจะเลิก
“ข้าขอโทษ… ข้ามิรู้ว่าท่านมีความเป็นไปเช่นนั้น” หวังชูเหรินกล่าวขึ้นมาหลังจากนั้น
“มิเป็นไร ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 150 ปีก่อน…” ผู้อาวุโสจงถอนหายใจจากนั้นเขาก็มองไปยังโหลวอี้เซียวที่ยังสลบไสล “ข้ามิได้รับศิษย์คนใหม่อีกเลยนับตั้งแต่นั้น แต่นั่นก็ได้เปลี่ยนไปเมื่อข้าได้พบกับอี้เซียว ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ด้านการปรุงยา ซึ่งสุดท้ายก็สามารถช่วยให้ข้าสามารถเอาชนะความเจ็บปวดได้”
จากนั้นเขาก็พูดกับไค่เอียนว่า “ข้าขอโทษ แต่ข้าก็มิอาจที่จะให้คําแนะนําอะไรกับเจ้าในเรื่องเพลิงปรุงยาเฉพาะตัวของเจ้าได้ ในเมื่อข้าเองก็ยังคงหวาดกลัวว่าการไร้ความสามารถของข้าจักทําร้ายเจ้าเหมือนกับศิษย์คนก่อนหน้าของข้า”
หวังชูเหรินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าก็คิดว่าเราควรรอให้ท่านอาจารย์กลับมาก่อนที่พวกเราจะทําอะไรที่จักทําให้เราเสียใจ สวรรค์คงรู้ว่าเขาจักทําอะไรกับข้าถ้าข้าขัดขวางความสามารถของเจ้าด้วยการสอนของข้า…”
หลังจากที่รับฟังอดีตของผู้อาวุโสจง หวังชูเหรินก็กลัวว่าไค่เอียนอาจจะทําให้ตัวเองเป็นอันตรายโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงงดการให้คําแนะนําให้กับอีกฝ่ายมากไปกว่านั้น
“ข้าเข้าใจ…” ไค่เอียนพยักหน้า
แม้ว่าเธอจะท้อแท้อยู่บ้างที่พวกเขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเธอได้ แต่ก็เห็นได้ว่าไม่มีอะไรที่พวกเขาจะสามารถทําได้ในเวลานี้นอกจากรอให้ซูหยางกลับคืนมา
“แม้ว่าข้ามสามารถที่จะให้คําแนะนํากับเจ้าได้ในเรื่องเพลิงปรุงยา ข้าก็ยังสามารถที่จะช่วยเจ้าได้ในด้านการปรุงยา เพราะว่าไม่ว่าเจ้าจะมีเพลิงปรุงยาแบบไหนก็ตาม พื้นฐานก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน” จากนั้นหวังชูเหรินก็ได้กล่าวกับเธอ
“และเจ้าก็มจําเป็นที่จะต้องใช้เพลิงปรุงยาในการเรียนการปรุงยา ดังนั้นเรามาเริ่มกันตั้งแต่ต้นกันเถอะ”
หวังชูเหรินทําการอธิบายกระบวนการปรุงยาให้กับไค่เอียนอย่างละเอียด ส่วนสําหรับผู้อาวุโสจงนั้น เขากลับไปอุ่นเตาปรุงยาจนกระทั่งเขาหมดแรงไปอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ในอีกห้องหนึ่ง ซูหยางก็ทํางานสร้างวิชาให้กับไค่เอียน
“เพลิงหยกของไค่เอียนเป็นเพลิงอันดับที่ 98 ของเพลิงปรุงยาเฉพาะตัว และมีความแข็งแกร่งมากกว่าเพลิงปรุงยาโดยทั่วไปมาก ทั้งยังเหนือกว่าเพลิงปรุงยาเฉพาะตัวอีกหลายแบบในเรื่องของความรุนแรง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมากที่มันต้องการพลังวิญญาณในการใช้งานมากกว่าเพลิงปรุงยาอย่างอื่น ไค่เอียนตอนนี้นั้นยังอยู่แค่เขตสัมมาวิญญาณเท่านั้น นอกจากว่าเธอจะก้าวไปถึงเขตปฐพีวิญญาณ มิเช่นนั้นเธอก็จะมิสามารถที่จะใช้เพลิงหยกได้นานกว่าสองสามนาที แม้ว่าจะใช้วิธีการควบคุมเปลวเพลิงนี้”
หลังจากที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงเขียนวิชา สุดท้ายซูหยางก็กลับคืนไปที่ห้องปรุงยา ที่ซึ่งหวังชูเหรินกับไค่เอียนกําลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนมในเรื่องหม้อปรุงยาบางอย่าง
“ท่านอาจารย์” ไค่เอียนพลันมีสีหน้าสดใสขึ้นในทันใดหลังจากที่เห็นเขากลับคืนมา
“สุดท้ายท่านก็กลับมา” หวังชูเหรินพูดด้วยสายตาโล่งอก
“มีอะไร ทําไมเจ้าดูท่าทางเหนื่อย” ซูหยางถามพวกเธอหลังจากที่เห็นใบหน้าหมดแรงของพวกเธอ
“เอ้อ มันเป็นเช่นนี้ท่านอาจารย์” ไค่เอียนทําการอธิบายสถานการณ์ของเธอที่ไม่สามารถจะใช้เพลิงปรุงยาได้นานไปกว่าสองสามวินาทีก่อนที่จะพลังวิญญาณจะหมดลงไปให้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหยางก็ตอบด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติในเมื่อเจ้ายังมิมีวิชาควบคุมเพลิงที่เหมาะสมกับเพลิงหยกของเจ้า”
“เอ๋ ท่านหมายความว่านั่นมิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์หรือพลังการฝึกปรือของเธองั้นรึ” หวังชูเหรินถามเขาด้วยสายตาประหลาดใจ
ซูหยางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เพลิงหยกนั้นมีธรรมชาติที่ดุร้ายและต้องการพลังวิญญาณในการรักษาให้คงอยู่มากกว่าเพลิงปรุงยาเฉพาะตัวส่วนใหญ่ที่มีอยู่ หากมิมีวิชาการควบคุมเพลิงที่เหมาะสม ก็เหมือนกับการที่จะพยายามย้ายหินใหญ่ด้วยแรงอย่างเดียว ทั้งที่มีเครื่องมือจัดสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเจ้าย้ายหินใหญ่นั้นได้อย่างง่ายดาย แต่นี่ก็มิได้หมายความว่าพลังการฝึกปรือของเธอนั้นมิมีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่เธอยังมิมีพลังการฝึกปรือที่เพียงพอที่จะใช้เพลิงหยก”
“ถ้าเจ้าต้องการที่จะเริ่มใช้เพลิงหยก อย่างน้อยเจ้าจักต้องอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ส่วนสําหรับการปรุงยานั้น เจ้าสามารถคิดถึงเรื่องนั้นได้ยามเมื่อเจ้าได้เข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณแล้วเท่านั้น”
“ข้าต้องเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณก่อนที่ข้าจะเริ่มปรุงยางั้นรี” ไค่เอียนอุทานออกมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก นั่นจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กัน บ้าไปแล้ว เธออาจจะไม่มีความสามารถที่จะเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณเสียด้วยซ้ํา
เมื่อเห็นใบหน้าหดหูของไค่เอียน ซูหยางก็กล่าวกับเธอว่า “มิใช่ว่าข้าบอกเจ้าไว้ก่อนแล้วว่ามิใช่ทุกคนที่เกิดมาพร้อมกับเพลิงปรุงยาเฉพาะตัวจักมีชีวิตที่ง่ายดายในฐานะนักปรุงยาในทันที ยิ่งเพลิงปรุงยาของเจ้าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ความต้องการความพยายามของเจ้าที่จะก้าวไปข้างหน้าก็จะสูงขึ้น เพลิงหยกของเจ้านั้นมีความแข็งแกร่งพอตัวแม้จะอยู่ท่ามกลางเพลิงปรุงยาเฉพาะตัวแบบอื่น ดังนั้นเจ้าจักต้องฝึกฝนหนักกว่าคนส่วนใหญ่ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นนักปรุงยา”
“แน่นอนว่าถ้าเจ้าต้องการที่จะเลิก นั่นก็ยังมีทางเลือกนั้นอยู่ ในเมื่อเจ้ายังมิได้ก้าวเข้าสู่โลกของนักปรุงยา ข้าเองก็รู้จักคนมากมายเช่นกันที่ต้องการเป็นนักปรุงยา แต่โชคร้ายที่เกิดมาพร้อมกับเพลิงปรุงยาเฉพาะที่มิสามารถควบคุมหรือฝึกฝนได้เพราะว่าขาดวิธีหรือวิชา บีบบังคับพวกเขาให้เลิกล้มความฝันของตัวเอง”
จากนั้นซูหยางก็ยื่นแขนของเขาที่มีม้วนคัมภีร์ในมือ “ถ้าเจ้ายังคงปรารถนาที่จะเดินทางในเส้นทางนี้แม้ว่าจักต้องเผชิญหน้ากับความท้าทาย ก็จงรับไว้ ถ้าไม่ เจ้าก็เพียงแค่ส่ายหน้า แล้วข้าก็จักพาเจ้ากลับไปยังตระกูลของเจ้าในทันที”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวว่า “บอกท่านตามตรง ท่านอาจารย์ ข้ามิได้ปรารถนาที่จะเข้ารับการทดสอบเพื่อที่จะเป็นศิษย์ของท่านเพราะว่าข้าต้องการที่จะเรียนการปรุงยา แต่มันเป็นความปรารถนาล้วนๆของพ่อของข้าที่ข้าได้เข้าร่วมการทดสอบถึงแม้ว่าข้าจะมิมีโอกาสที่จะผ่านเลยก็ตาม อย่างไรก็ตามเมี่ท่านได้รับข้าเป็นศิษย์ของท่านนั้น ข้าก็ได้เริ่มเรียนรู้วิชาที่ท่านให้กับข้า ความหลงไหลในการปรุงยาก็เริ่มเติบโตขึ้น และหลังจากที่ใช้เวลาทั้งเดือนในการเรียนการปรุงยา ข้าก็สามารถที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ข้าต้องการที่จะเป็นนักปรุงยา”
จากนั้นไค่เอียนก็เอื้อมมือไปยังม้วนคัมภีร์ในมือของซูหยาง จากนั้นในวินาทีถัดไป เธอก็รับวิชานั้นไป
“ข้าหวังว่าเจ้าจะมเสียใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ในภายหลัง “ซูหยางพูดพร้อมกับรอยยิ้มเบื้องหลังหน้ากาก