บทที่ 617 ตีก้นเธอ
“แม้ว่าท่านจะยกโทษให้ข้า แต่ข้าก็จักมิมีวันให้อภัยแก่ตัวเองสําหรับความผิดพลาดในครั้งนี้ ข้าเสียใจจริงๆ ท่านอาจารย์!” ไป่ลี่ฮัวยังคงคุกเข่าให้เขา รู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้ทําสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการทรยศหักหลัง
“ได้โปรดลงโทษข้า เพื่อที่ข้าจักได้รู้สึกผิดน้อย ลงข้าจะไม่บ่นแม้ว่าท่านจะยกเลิก มิยอมรับว่า ข้าเป็นศิษย์ของท่านอีกก็ตาม!” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“เจ้าต้องการให้ข้าลงโทษเจ้าอย่างงั้นรี” ซูหยางเลิกคิ้ว
“ใช่ ได้โปรด มิเช่นนั้นความรู้สึกผิดในใจข้าจักมิดับลง!” เธอยืนยัน
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ก็ดี หันหลังไป”
ไป่ลี่ฮัวหันหลังกลับทันทีโดยไม่ถามเขา
วินาทีถัดมา
เพี้ยะ
ซูหยางตบก้นของไป่ลี่ฮัวอย่างแรงจนเธอเกือบจะฉ่ราด
“อ้าาา”ไปลี่ฮัวร้องครางอย่างเจ็บปวดแต่ก็มีความยินดีปะปนอยู่ในน้ําเสียงของเธอด้วย
“ท-ท่านอาจารย์…นั่นมันเจ็บ…”ไปลี่ฮัวพูดหลังจากนั้นชั่วขณะ รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ก้นของตัวเอง
“เป็นเรื่องปกติ มิเช่นนั้นก็คงมิใช่การลงโทษ แต่เป็นการให้รางวัลแทน” ซูหยางกล่าว
“อย่างไรก็ตาม ไหนลองบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องราวของเจ้าซิ แม้ว่าข้าพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่ข้าก็ยังอยากได้ยินเรื่องนี้จากตัวเจ้าเอง”
ไป่ลี่ฮัวพยักหน้าด้วยน้ําตาคลอและเริ่มอธิบายว่าตัวเธอนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร
” หลังจากที่ข้าได้ศึกษาวิชาที่ท่านให้ข้าแล้ว ข้าก็อยากจะทําให้ท่านประทับใจ ดังนั้นข้าจึงเริ่มปรุงยาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าในตอนแรกนั้นข้าได้เผาผลาญแม้กระทั่งเม็ดยาที่ง่ายที่สุด แต่หลังจากฝึกฝนต่อไปอีกไม่กี่วันข้าก็สามารถที่จะทําให้ยามิถูกเผาได้นานๆครั้ง”
“อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้ามิได้ทําให้ยาใหม้จนหมดทุกเม็ดแล้ว แต่พวกมันก็ล้วนมีคุณภาพต่ําที่สุด และอันตรายเกินไปที่จะกลืนกินเพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งเจือปน”
“จากนั้นไม่กี่วันที่ผ่านมาในที่สุดข้าก็สามารถปรุงยาที่ปลอดภัยสําหรับกิน ดังนั้นข้าก็เลย”
“เช่นนั้น เจ้าก็กินมันงั้นรี” ซูหยางต่อประโยคให้กับเธอ
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ และเนื่องจากว่าข้ามิรู้ว่าตัวเองพัฒนาตัวเองมากแค่ไหนขาจึงกินเม็ดยาทุกเม็ดที่ปลอดภัยพอที่จะกินเพื่อรับรู้ถึงพัฒนาการของตัวข้าเอง…”
ซูหยางถอนหายใจในคําพูดของเธอและกล่าวว่า “ข้าต้องปรบมือให้กับความกระตือรือร้นของเจ้าในการปรุงยาและรู้สึกยินดีที่เจ้าต้องการจะทําให้ข้าประทับใจ แต่การใช้ร่างกายของตัวเจ้าเอง เพื่อทดลองยาในฐานะนักปรุงยามือใหม่นั้นถือว่าค่อนข้างโง่ที่ทําเช่นนั้น ซึ่งเจ้าอาจจะวางยาตัวเองโดยมิได้ตั้งใจได้เหมือนอย่างเช่นวันนี้…”
“ข้าจะมิทําอีกแล้วท่านอาจารย์” เธอพูดด้วยใบหน้าขออภัย
“ข้าจักมิบอกว่าเจ้าไม่ควรกินยาของตัวเองซ้ําอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามเจ้าก็ยังมีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านี้น้อยเกินไป เมื่อเจ้ามีประสบการณ์มากขึ้น เจ้าจะสามารถทํามันได้อย่างเป็นธรรมชาติ” ซูหยางกล่าวและพูดต่อไปอีกว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าได้วางแผนที่จะอบรมเจ้าในวันนี้ แต่เจ้ากลับยังมีพร้อมสําหรับเรื่องนั้น จงใช้เวลาสองสามวันข้างหน้าในการกําจัดสิ่งเจือปนในร่างที่เจ้าสร้างขึ้นมาแทนก็แล้วกัน”
“แล้วการอบรมของข้าล่ะ” เธอถาม ยังคงรู้สึกปรารถนาที่จะเรียนรู้ในขณะที่เธอชอบปรุงยามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ได้ทําด้วยตัวเอง
“ข้าจะสอนเจ้า ยามเมื่อเจ้าหายเป็นปกติแล้ว” เขากล่าว
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไว้ตามลําพังในตอนนี้”
เมื่อซูหยางจากที่นั้นไปแล้ว ไป่ลี่ฮัวก็ยืนขึ้นพร้อมกับเอามือจับก้นที่ซูหยางฟาดด้วยความเจ็บ
“ข้ามิคิดว่าเขาจะตบก้นข้าเพราะความผิดพลาดของข้าเหมือนกับว่าข้ายังเป็นเด็ก…”ไป่ลี่ฮัวถอนหายใจลึก ๆ ยังคงรู้สึกแปลก ๆ ที่ก้นของตัวเอง
“ข้าช่างผิดพลาดอะไรเช่นนี้ในวันนี้ เพียงแค่หวังว่าตอนนี้เขาจะมเห็นข้าเป็นผู้หญิงแปลกๆ…”
หลังจากถอนหายใจอีกสองสามครั้งไป่ลี่ฮัวก็ไปฝึกวิชาเพื่อขจัดสิ่งตกค้างที่เกิดขึ้นจากการกินยาของตัวเอง
ในเวลาเดียวกันหลังจากกลับไปที่บ้านของหวังซูเหรินแล้ว ซูหยางก็อธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟัง
“ไม่น่าเชื่อ….เมื่อมาคิดว่าไปลี่ฮัวจะถูกพิษจากยาของตัวเอง…” หวังซูเหรินไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ เพราะเป็นเรื่องแปลกที่คนอย่างไป่ลี่ฮัวจะทําผิดเช่นนี้
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสจงกลับรู้สึกประทับใจไป่ลี่ฮัว
“เธอมิเคยเรียนการปรุงยามาก่อนที่ท่านจะรับเธอเป็นศิษย์ใช่ไหม ช่างน่าทึ่งมากที่เธอได้เรียนรู้วิธีปรุงยาด้วยตัวเองในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ สมกับเป็นศิษย์ของอาวุโสเซียว เธอเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง” ผู้อาวุโสจงพูดด้วยน้ําเสียงชื่นชม
“ใช่ ข้าก็ประหลาดใจเช่นกันที่ได้ยินว่าเธอเรียนรู้ที่จะปรุงยาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามการมีพรสวรรค์จะมิมีความหมายอะไรถ้าเธอมิสามารถใช้มันได้ หากว่าเธอได้ตายไปแล้ว” ซูหยางถอนหายใจ
“จริงๆแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าสํานักไปมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด มักจะมีศิษย์อย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนในสวนธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ที่จะถูกพิษจากการกลืนเม็ดยาของตัวเองทุกปี แต่ก็จะเกิดขึ้นกับนักปรุงยามือใหม่ที่ทุ่มเทกับงานของตัวเองมากเกินไปเท่านั้น” ผู้อาวุโสจงกล่าว
“อย่างไรก็ตามในเมื่อเจ้าสํานักไปจะไม่เข้าร่วมการอบรมนี้ ดังนั้นพวกเราจะทําอะไรต่อไปงั้นรึ” เขาถามขึ้นต่อจากนั้น
“เราจะดําเนินต่อไปโดยมิมีเธอในตอนนี้” ซูหยางกล่าว
ในเวลาต่อมา ซูหยางก็พาพวกเขาทั้งสี่คนเข้าไปในห้องปรุงยาแล้วพูดกับผู้อาวุโสจงและโหลวอี้เซียวว่า “เนื่องจากพวกเจ้าสองคนมีประสบการณ์ในการปรุงยามานานแล้วข้าจะมีบรรยายอะไรให้พวกเจ้าในตอนนี้ กลับกัน ข้าจะให้เจ้ามีส่วนร่วมในการฝึกหัดที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปรุงยาได้อย่างเห็นได้ชัดเจน”
“จริงรึ มีแบบฝึกหัดที่ลึกล้ําเช่นนั้นด้วยรึ” ดวงตาของผู้อาวุโสจงเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาในทันที ดูเหมือนเด็กที่เพิ่งได้รับของเล่นชิ้นแรก
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “มันง่ายจริงๆ”
จากนั้นเขาก็มองไปที่หวังซูเหรินและถามเธอว่า “เจ้าช่วยนําเตาปรุงยามาที่นี่อีกสองใบได้ไหม”
ไม่กี่นาทีต่อมา หวังซูเหรินก็กลับมาพร้อมเตาปรุงยาใหม่สองเตาและวางเตาปรุงยาแต่ละใบไว้ที่มุมห้อง
จากนั้นซูหยางก็ออกไปข้างนอกสักครู่และกลับมาพร้อมกับถังน้ําและส่วนผสมบางอย่าง
เขาเทน้ําลงในเตาปรุงยาทั้งสองจนเต็มไปด้วยน้ําจากนั้นเขาก็โยนส่วนผสมลงไปข้างใน
“ใช้เพลิงปรุงยาของเจ้าเพื่อทําให้เตาปรุงยาร้อนขึ้น อย่างไรก็ตามข้าต้องการให้มันมีอุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส และเจ้าต้องรักษาอุณหภูมินั้นไว้ให้นานกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยที่อุณหภูมิไม่เปลี่ยน”
“ไม่แม้แต่องศาเดียวรี” ผู้อาวุโสจงเลิกคิ้ว
“ข้าพูดติดอ่างรี” ซูหยางตอบด้วยน้ําเสียงจริงจัง
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ผู้อาวุโสองพยักหน้าและเขาก็รีบไปให้ความร้อนเตาปรุงยาทันที
อย่างไรก็ตามเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า ไม่ว่าเพลิงปรุงยาของเขาจะรุนแรงเพียงใดก็ตามเตาปรุงยาก็จะร้อนขึ้นถึงเพียงแค่ 200 องศาเซลเซียสเท่านั้น และจะไม่เพิ่มขึ้นไปอีกจนกว่าอย่างน้อยสิบนาทีต่อมา และเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นมันจะเพิ่มขึ้นเพียงแค่หนึ่งถึงสององศาเซลเซียสเท่านั้น
“กะเกิดอะไรขึ้นทําไมเตาปรุงยาถึงไม่ร้อนขึ้น” ผู้อาวุโสจงพึมพําด้วยใบหน้าสับสน เนื่องจาก นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่พบปัญหาเช่นนี้
“เป็นเพราะส่วนผสมที่ท่านใส่ไว้ในเตาปรุงยาก่อนหน้านี้ใช่ไหม ท่านอาจารย์” โหลวอี้เซียวถามเขาพร้อมกับหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อ
“ถูกต้องส่วนผสมภายในเตาปรุงยาจะดูดซับความร้อนส่วนใหญ่จากเพลิงปรุงยาของเจ้าทําให้มันเป็นเรื่องยากสําหรับพวกเจ้าที่จะเพิ่มความร้อนของเตาปรุงยา หากพวกเจ้าต้องการบรรลุเป้าหมายพวกเจ้าจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของเพลิงปรุงยาของเจ้า”
“การเพิ่มพลังและความร้อนแรงของเพลิงปรุงยาของเรานั้นพูดง่ายกว่าทํา ในเมื่อต้องใช้เวลาฝึกฝนหลายปี” ผู้อาวุโสจงกล่าว
“จริงรึ” ซูหยางถามเขา
“ท-ท่านหมายความว่าไง”
จากนั้นซูหยางก็กล่าวว่า “ก็เหมือนกับวิธีที่ผู้คนใช้เพิ่มความอดทนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว หากพวกเขาออกแรงจนถึงขีดจํากัด พวกเจ้าก็สามารถเสริมสร้างเพลิงปรุงยาของเจ้าได้อย่างรวดเร็วโดยการออกแรงตัวเองเช่นเดียวกัน สิ่งที่เจ้าต้องทําจริงๆคือผลักดันตัวเองและทําให้เราปรุงยาร้อนขึ้นราวกับว่าเจ้ากําลังพยายามละลายเตาปรุงยาเสียเอง”
“แต่เราจะควบคุมเปลวไฟได้อย่างไรถ้าเราต้องออกแรงมากจนเกินไป เราจักมิสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ อย่าว่าแต่จะรักษามันไว้” ผู้อาวุโสจงกล่าวด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ทีละขั้นทีละตอน ผู้เฒ่า เจ้าค่อยคิดควบคุมเปลวไฟ หลังจากที่เจ้าสามารถอุ่นเตาปรุงยาได้ ถึง 300 องศาเซลเซียส” ซูหยางกล่าว
แม้ว่าผู้อาวุโสจงจะยังคงมีคําถามมากมาย แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเก็บมันไว้ในใจ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะแสดงความไม่เชื่อถือมากเกินไป ด้วยกลัวว่านั่นจะทําให้ซูหยางโกรธ
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสจงและโหลวอี้เซียวก็กลับไปอุ่นเตาปรุงยา แต่พวกเขาไม่ทําการควบคุมเพลิงปรุงยาอีกต่อไป แต่ใช้พลังวิญญาณทั้งหมด จนทําให้เปลวไฟคลุ้มคลั่ง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะใช้พละกําลังทั้งหมดของ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจงหรือโหลวอี้เซียวก็ไม่สามารถที่จะให้ความร้อนไปถึงอุณหภูมิที่สูงกว่า 250 ได้ก่อนที่พวกเขาจะหมดพลังวิญญาณและล้มลงด้วยความเหนื่อยล้า
“ข้าจะให้เจ้าทําแบบฝึกหัดนี้ต่อไปจนกว่าพวกเจ้าจะสามารถรักษาอุณหภูมิที่ข้าต้องการได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง หากเจ้ามิสามารถทําได้แม้จะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ข้าก็จะมอบรมเจ้าอีกต่อไป ส่วนในกรณีของ โหลวอี้เซียวข้าจะยกเลิกฐานะศิษย์ข้าทิ้งไป”
เมื่อพวกเขาได้ยินคําพูดของซูหยาง หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และพวกเขาก็เริ่มอุ่นเตาปรุงยาอีกครั้งในทันทีแม้จะอ่อนเพลีย จะหยุดก็ต่อเมื่อพวกเขาหมดสติไปแล้ว