Dual Cultivation บทที่ 629 ศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในนิกายกุสุมาลย์พันพิสัย หลังจากที่ปล่อยโหลวหลานจีกับศิษย์ไว้ที่ประตูหน้าของตระกูลซีแล้ว ซูหยางก็กลับคืนไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อที่จะไปหาศิษย์คนหนึ่ง ครั้นเมื่อเขาลงจากท้องฟ้าสู่พื้นดินตรงหน้าอาคารหลังหนึ่งที่ไม่ได้ห่างไปจากศาลาหยินหยางแล้ว เขาก็เคาะประตู สองสามอึดใจให้หลัง ประตูก็เปิดออกและเด็กหญิงน่ารักก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา “อาจารย์” เยี่ยนเยี่ยนทักทายเขาด้วยการก้มหน้า “เจ้าเป็นอย่างไรกับการฝึกฝนของเจ้า เยี่ยนเยี่ยน” เขาถามเธอด้วยรอยยิ้มฉันมิตร “ยอดเยี่ยมที่สุด อาจารย์ ข้าเข้าถึงระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณไปเมื่อวานนี้ และความเข้าใจของข้าที่มีต่อวิชาการฝึกฝีมือก็เพิ่มขึ้นเช่นกันทุกวัน” “นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่ได้ยิน อย่างไรก็ตาม ข้ามาที่นี่ด้วยเหตุประการหนึ่ง” จากนั้นซูหยางก็มองไปที่เธอด้วยสายตาที่จริงจังและกล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้าไปฝึกในสระสวรรค์ ด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าจักต้องเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณตอนเมื่อเจ้าออกมาในเจ็ดวัน” “สระสวรรค์รี” เยี่ยนเยี่ยนมองไปที่เขาด้วยสีหน้าสงสัย “โอ ใช่ เจ้ามิได้ไปที่นั่นตอนที่ข้าอธิบาย สระสวรรค์เป็นสมบัติที่จักเพิ่มความเร็วในการฝึก 100 เท่า ถ้าเจ้าฝึกด้านในนั้น และเจ้าสามารถทําเช่นนั้นหนึ่งครั้งทุก 100 ปี มันมิใช่อะไรที่เจ้าสามารถที่จะทําได้ในทุกๆวัน” “อาจารย์ต้องการให้ข้าฝึกที่นั่นรี” เธอถามเขา “ถูกต้อง มันเพียงแค่เจ็ดวัน และข้าก็จะอยู่ที่นั่นกับเจ้าด้วย” “ตกลง” เมื่อไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เยี่ยนเยี่ยนก็พยักหน้าของเธอ “ดี มากับข้า” จากนั้นซหยางก็พาเยี่ยนเยี่ยนขึ้นไปบนยานบินและบินกลับไปยังเมืองหิมะโปรย ก็เหมือนกับคนอื่นครั้งแรกที่พวกเขาโดยสารเรือบิน เยี่ยนเยี่ยนกลัวสุดชีวิตและรีบกอดซูหยางไว้ทั้งตัวทันที สองสามนาทีให้หลัง พวกเขาก็ไปถึงบ้านตระกูลซี “ยินดีต้อนรับสู่บ้านของพวกเรา ซูหยาง” ซีหวังกล่าวกับเขาก่อนที่เขาจะทันได้ออกจากยานบิน ซูหยางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “คนอื่นๆอยู่ด้านในแล้ว” “ใช่ พวกเขาทั้งหมดล้วนรอเจ้าอยู่ด้านใน จากนั้นซีหวังก็สังเกตเห็นเด็กหญิงตัวเล็กกอดขาซูหยางอยู่ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเขาตระหนักได้ว่าเธอนั้นอยู่ที่ระดับที่เจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ “เด็กหญิงคนนี้เป็นอัจฉริยะที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พันพิสัยก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าเธอเพียงแค่อยู่ในระดับที่ห้าเขตปฐพีวิญญาณ…” ซีหวังถามซูหยาง “ใช่ เธอเป็นเช่นนั้น” ซูหยางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ถ้าเช่นนั้นเจ้ากําลังบอกข้าว่าเธอได้ทําการเพิ่มสองระดับในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์อย่างงั้นรี นี่เธอเป็นพรสวรรค์ประหลาดประเภทไหนกัน” ซีหวังกล่าวด้วยสายตาอิจฉา ถ้าตระกูลซีมีอัจฉริยะเช่นเธอ พลังของพวกเขาจะต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก “อาจารย์เป็นครูที่ดี” เยี่ยนเยี่ยนกล่าวกับซีหวังด้วยสีหน้าเยือกเย็น “โห เจ้าสามารถมองมาที่ดวงตาของข้าได้โดยมีสั่นสะท้านรี นั่นค่อนข้างหายาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเจ้านั้นยังเด็กมาก” ซีหวังพยักหน้ารับรอง เพราะว่าเขตราชันวิญญาณของเขานั้น เขาจะปลดปล่อยกระแสพลังที่กดดันออกมาตามธรรมชาติ และมันไม่ใช่อะไรที่ผู้คนที่มีจิตใจอ่อนแอหรือมีพลังการฝึกปรือที่ต่ําจะสามารถทนได้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่าเขาไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณะ “อย่างไรก็ตามพวกเราไปสนทนากันต่อด้านในพร้อมกับน้ําชากัน เป็นตาของตระกูลซีที่จะแสดงความเป็นเจ้าบ้านต่อพวกเจ้าบ้างแล้ว” หวังกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะน่าพวกเขาไปยังด้านใน ที่ซึ่งโหลวหลานกันคนอื่นๆรออยู่ “ซูหยาง สุดท้านเจ้าก็มาที่นี่” โหลวหลานจีเกือบระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาหลังจากที่เห็นหน้าเขา ในเมื่อ เธอถึงขีดจํากัดของตัวเองในการรับมือกับตระกูลซีแล้ว “ซูหยาง ยินดีต้อนรับสู่บ้านซอมซ่อของพวกเราอีกครั้ง” ซีซึ่งฟางวางชาของเธอลงและยืนขึ้นคํานับเขาอย่างสง่างาม ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณที่รับรองพวกเรา” ในเวลาต่อมา ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดพากันนั่งลงพร้อมกับชาในมือแล้ว ซีซึ่งฟางก็กล่าวขึ้นในขณะที่มองไปยังเยี่ยนเยี่ยนด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เธออยู่ที่ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณแล้วรึ ถ้าข้าจําได้มีผิด เธออยู่เพียงแค่ระดับห้าระหว่างการทดสอบเข้าสํานักมินานมาแล้ว…” “ใช่ เธอค่อนข้างจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งอยู่แล้ว” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าได้คิดถึงศิษย์เยี่ยนมาตลอดเวลาละสินะ…” สุดท้ายโหลวหลานจีก็เข้าใจคําพูดของซูหยางก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเยี่ยนเยี่ยนนั้นเป็นศิษย์ที่อัจฉริยะที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกุสุมาลย์พันพิสัยโดยไม่มีข้อกังขา ไม่รวมซูหยางเข้าไปด้วย เพราะว่าเขาโดยหลักการแล้วถือว่าโกงจากพื้นหลังที่เป็นเซียนของเขา ถ้าใครสักคนที่ควรฝึกที่สระสวรรค์คนนั้นย่อมเป็นเยี่ยนเยี่ยน “ท่านวางแผนที่จะให้เธอฝึกในสระสวรรค์รี ข้ามิอาจจะจินตนาการได้ว่าพลังการฝึกปรือของเธอจักเพิ่มพูนสักเท่าไหร่หลังจากนั้น…” ซีซึ่งฟางพูดด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล ถ้าเยี่ยนเยี่ยนสามารถที่จะฝึกฝนด้วยความเร็ว 100 เท่ายิ่งกว่าอัจฉริยะระดับสูงของโลกนี้ได้อยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเธอฝึกฝนในสระสวรรค์ คงไม่ทําให้พวกเขาแปลกใจแม้แต่น้อยหากว่าแม้ว่าเธอจะเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณหลังจากนั้น “ข้าก็อดใจรอผลลัพธ์ไม่ไหวเช่นกัน” ซีหวังพยักหน้าขณะที่เขามองไปยังเยี่ยนเยี่ยนด้วยความเสน่หา ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นใครแบบเธอมาก่อน “แล้วเจ้าล่ะ ซูหยาง ข้าคาดหวังว่าเจ้าจะฝึกฝนในสระสวรรค์เช่นเดียวกัน ทําไมเจ้าจึงสละไปเสีย” ซีหวังพลันถามเขา เมื่อได้ยินคําถามของเขา ซูหยางก็พูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นว่า “เพราะว่าศิษย์ข้ามีความสําคัญยิ่งกว่าข้า และในฐานะของผู้ฝึกวิชาคู่ สระสวรรค์จักให้ประโยชน์ต่อข้าก็ต่อเมื่อข้ามีคู่ฝึกกับข้าด้วย” ทั้งห้องพลันเปลี่ยนเป็นเงียบงันเมื่อผู้คนพากันจินตนาการไปถึงว่าซูหยางฝึกวิชาร่วมกับคนอื่นภายในสระสวรรค์ ทําให้น้ําอันศักดิ์สิทธิ์เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวจากร่างกายของเขา… เมื่อเห็นบรรยากาศที่ชวนกระอักกระอ่วนในห้อง ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตาม เลิกสนใจสถานการณ์ของข้ากัน เรามาพูดถึงสภาพของซิงเอ๋อร์กันดีกว่า ร่างกายของเจ้านั้นยังดีอยู่ไหมในระยะหลังมานี้ เจ้ารู้สึกเจ็บปวดในร่างกายหรือยัง”
Dual Cultivation บทที่ 629 ศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในนิกายกุสุมาลย์พันพิสัย
หลังจากที่ปล่อยโหลวหลานจีกับศิษย์ไว้ที่ประตูหน้าของตระกูลซีแล้ว ซูหยางก็กลับคืนไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อที่จะไปหาศิษย์คนหนึ่ง
ครั้นเมื่อเขาลงจากท้องฟ้าสู่พื้นดินตรงหน้าอาคารหลังหนึ่งที่ไม่ได้ห่างไปจากศาลาหยินหยางแล้ว เขาก็เคาะประตู
สองสามอึดใจให้หลัง ประตูก็เปิดออกและเด็กหญิงน่ารักก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“อาจารย์” เยี่ยนเยี่ยนทักทายเขาด้วยการก้มหน้า
“เจ้าเป็นอย่างไรกับการฝึกฝนของเจ้า เยี่ยนเยี่ยน” เขาถามเธอด้วยรอยยิ้มฉันมิตร
“ยอดเยี่ยมที่สุด อาจารย์ ข้าเข้าถึงระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณไปเมื่อวานนี้ และความเข้าใจของข้าที่มีต่อวิชาการฝึกฝีมือก็เพิ่มขึ้นเช่นกันทุกวัน”
“นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่ได้ยิน อย่างไรก็ตาม ข้ามาที่นี่ด้วยเหตุประการหนึ่ง” จากนั้นซูหยางก็มองไปที่เธอด้วยสายตาที่จริงจังและกล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้าไปฝึกในสระสวรรค์ ด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าจักต้องเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณตอนเมื่อเจ้าออกมาในเจ็ดวัน”
“สระสวรรค์รี” เยี่ยนเยี่ยนมองไปที่เขาด้วยสีหน้าสงสัย
“โอ ใช่ เจ้ามิได้ไปที่นั่นตอนที่ข้าอธิบาย สระสวรรค์เป็นสมบัติที่จักเพิ่มความเร็วในการฝึก 100 เท่า ถ้าเจ้าฝึกด้านในนั้น และเจ้าสามารถทําเช่นนั้นหนึ่งครั้งทุก 100 ปี มันมิใช่อะไรที่เจ้าสามารถที่จะทําได้ในทุกๆวัน”
“อาจารย์ต้องการให้ข้าฝึกที่นั่นรี” เธอถามเขา
“ถูกต้อง มันเพียงแค่เจ็ดวัน และข้าก็จะอยู่ที่นั่นกับเจ้าด้วย”
“ตกลง” เมื่อไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เยี่ยนเยี่ยนก็พยักหน้าของเธอ
“ดี มากับข้า”
จากนั้นซหยางก็พาเยี่ยนเยี่ยนขึ้นไปบนยานบินและบินกลับไปยังเมืองหิมะโปรย
ก็เหมือนกับคนอื่นครั้งแรกที่พวกเขาโดยสารเรือบิน เยี่ยนเยี่ยนกลัวสุดชีวิตและรีบกอดซูหยางไว้ทั้งตัวทันที
สองสามนาทีให้หลัง พวกเขาก็ไปถึงบ้านตระกูลซี
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านของพวกเรา ซูหยาง” ซีหวังกล่าวกับเขาก่อนที่เขาจะทันได้ออกจากยานบิน
ซูหยางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “คนอื่นๆอยู่ด้านในแล้ว”
“ใช่ พวกเขาทั้งหมดล้วนรอเจ้าอยู่ด้านใน
จากนั้นซีหวังก็สังเกตเห็นเด็กหญิงตัวเล็กกอดขาซูหยางอยู่
ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเขาตระหนักได้ว่าเธอนั้นอยู่ที่ระดับที่เจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ
“เด็กหญิงคนนี้เป็นอัจฉริยะที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พันพิสัยก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าเธอเพียงแค่อยู่ในระดับที่ห้าเขตปฐพีวิญญาณ…” ซีหวังถามซูหยาง
“ใช่ เธอเป็นเช่นนั้น” ซูหยางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากําลังบอกข้าว่าเธอได้ทําการเพิ่มสองระดับในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์อย่างงั้นรี นี่เธอเป็นพรสวรรค์ประหลาดประเภทไหนกัน” ซีหวังกล่าวด้วยสายตาอิจฉา
ถ้าตระกูลซีมีอัจฉริยะเช่นเธอ พลังของพวกเขาจะต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก
“อาจารย์เป็นครูที่ดี” เยี่ยนเยี่ยนกล่าวกับซีหวังด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“โห เจ้าสามารถมองมาที่ดวงตาของข้าได้โดยมีสั่นสะท้านรี นั่นค่อนข้างหายาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเจ้านั้นยังเด็กมาก” ซีหวังพยักหน้ารับรอง เพราะว่าเขตราชันวิญญาณของเขานั้น เขาจะปลดปล่อยกระแสพลังที่กดดันออกมาตามธรรมชาติ และมันไม่ใช่อะไรที่ผู้คนที่มีจิตใจอ่อนแอหรือมีพลังการฝึกปรือที่ต่ําจะสามารถทนได้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่าเขาไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณะ
“อย่างไรก็ตามพวกเราไปสนทนากันต่อด้านในพร้อมกับน้ําชากัน เป็นตาของตระกูลซีที่จะแสดงความเป็นเจ้าบ้านต่อพวกเจ้าบ้างแล้ว” หวังกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะน่าพวกเขาไปยังด้านใน ที่ซึ่งโหลวหลานกันคนอื่นๆรออยู่
“ซูหยาง สุดท้านเจ้าก็มาที่นี่” โหลวหลานจีเกือบระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาหลังจากที่เห็นหน้าเขา ในเมื่อ เธอถึงขีดจํากัดของตัวเองในการรับมือกับตระกูลซีแล้ว
“ซูหยาง ยินดีต้อนรับสู่บ้านซอมซ่อของพวกเราอีกครั้ง” ซีซึ่งฟางวางชาของเธอลงและยืนขึ้นคํานับเขาอย่างสง่างาม
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณที่รับรองพวกเรา”
ในเวลาต่อมา ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดพากันนั่งลงพร้อมกับชาในมือแล้ว ซีซึ่งฟางก็กล่าวขึ้นในขณะที่มองไปยังเยี่ยนเยี่ยนด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เธออยู่ที่ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณแล้วรึ ถ้าข้าจําได้มีผิด เธออยู่เพียงแค่ระดับห้าระหว่างการทดสอบเข้าสํานักมินานมาแล้ว…”
“ใช่ เธอค่อนข้างจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งอยู่แล้ว” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนั้นเจ้าได้คิดถึงศิษย์เยี่ยนมาตลอดเวลาละสินะ…” สุดท้ายโหลวหลานจีก็เข้าใจคําพูดของซูหยางก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเยี่ยนเยี่ยนนั้นเป็นศิษย์ที่อัจฉริยะที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกุสุมาลย์พันพิสัยโดยไม่มีข้อกังขา ไม่รวมซูหยางเข้าไปด้วย เพราะว่าเขาโดยหลักการแล้วถือว่าโกงจากพื้นหลังที่เป็นเซียนของเขา ถ้าใครสักคนที่ควรฝึกที่สระสวรรค์คนนั้นย่อมเป็นเยี่ยนเยี่ยน
“ท่านวางแผนที่จะให้เธอฝึกในสระสวรรค์รี ข้ามิอาจจะจินตนาการได้ว่าพลังการฝึกปรือของเธอจักเพิ่มพูนสักเท่าไหร่หลังจากนั้น…” ซีซึ่งฟางพูดด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล
ถ้าเยี่ยนเยี่ยนสามารถที่จะฝึกฝนด้วยความเร็ว 100 เท่ายิ่งกว่าอัจฉริยะระดับสูงของโลกนี้ได้อยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเธอฝึกฝนในสระสวรรค์ คงไม่ทําให้พวกเขาแปลกใจแม้แต่น้อยหากว่าแม้ว่าเธอจะเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณหลังจากนั้น
“ข้าก็อดใจรอผลลัพธ์ไม่ไหวเช่นกัน” ซีหวังพยักหน้าขณะที่เขามองไปยังเยี่ยนเยี่ยนด้วยความเสน่หา ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นใครแบบเธอมาก่อน
“แล้วเจ้าล่ะ ซูหยาง ข้าคาดหวังว่าเจ้าจะฝึกฝนในสระสวรรค์เช่นเดียวกัน ทําไมเจ้าจึงสละไปเสีย” ซีหวังพลันถามเขา
เมื่อได้ยินคําถามของเขา ซูหยางก็พูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นว่า “เพราะว่าศิษย์ข้ามีความสําคัญยิ่งกว่าข้า และในฐานะของผู้ฝึกวิชาคู่ สระสวรรค์จักให้ประโยชน์ต่อข้าก็ต่อเมื่อข้ามีคู่ฝึกกับข้าด้วย”
ทั้งห้องพลันเปลี่ยนเป็นเงียบงันเมื่อผู้คนพากันจินตนาการไปถึงว่าซูหยางฝึกวิชาร่วมกับคนอื่นภายในสระสวรรค์ ทําให้น้ําอันศักดิ์สิทธิ์เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวจากร่างกายของเขา…
เมื่อเห็นบรรยากาศที่ชวนกระอักกระอ่วนในห้อง ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตาม เลิกสนใจสถานการณ์ของข้ากัน เรามาพูดถึงสภาพของซิงเอ๋อร์กันดีกว่า ร่างกายของเจ้านั้นยังดีอยู่ไหมในระยะหลังมานี้ เจ้ารู้สึกเจ็บปวดในร่างกายหรือยัง”