Dungeon Defence – ตอนที่ 100

วันนี้เป็นวันที่ฝนตกสั้นๆ ของต้นฤดูใบไม้ผลิและท้องฟ้าปลอดโปร่ง

 

แม้ว่าทุกๆที่จะมีแอ่งโคลนที่หยุดนิ่งอยู่บนพื้น แต่ก็รู้สึกราวกับว่ากำลังจะเหือดแห้งในไม่ช้าเพราะแสงแดดจากดวงตะวัน เมื่อดินเริ่มแข็งตัว สงครามน่าจะกลับมาดำเนินต่ออย่างดุเดือดอีกครั้ง ในปัจจุบันกลุ่มพันธมิตรจันทร์เสี้ยวและกลุ่มครูเซด พวกเขาต่างเพียงแค่ส่งกองกำลังแยกออกไปเป็นครั้งคราวและมีการสู้รบกันเล็กน้อย

 

หญิงสาวคนนี้นำทีมเดียวและเดินจากด้านหนึ่งไปยังอีีกด้านหนึ่งของที่ราบใหญ่ ระหว่างทาง เราพบหน่วยสอดแนมของศัตรูและโจมตีพวกเขา แต่พวกมันแทบไม่เป็นปัญหาใดๆกับเรา ในจังหวะที่หญิงสาวคนนี้คิดว่าวันนี้กำลังจะจบลงแบบง่ายๆ เหมือนเมื่อสองสามวันก่อน จากอีกด้านหนึ่งของที่ราบ ทหารศัตรูกลุ่มหนึ่งค่อยๆ พุ่งเข้ามาหาเรา หญิงสาวคนนี้กลั้นหายใจชั่วขณะหลังจากมองดูธงที่ทหารศัตรูถืออยู่

 

“······”

 

ธงที่มีรูปของดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าและกวางตัวผู้

 

เป็นของ ดยุค ฟาร์นาเซ่ จากภาคเหนือของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย

 

ธงของครอบครัวที่หญิงสาวคนนี้เกิดและเติบโตมา

 

“อ่ารา? สำหรับกองทหารเล็กๆ แบบนั้นที่พยายามจะสู้กับเรา พวกมันมีความกล้ามากเลยนะ เราควรทำอย่างไรดีท่านเเม่ทัพ? ถ้าท่านบอกให้เรากำจัดพวกมัน เราจะจัดการทันที”

 

“······”

 

“ท่านเเม่ทัพ? พวกเราจะเคลื่อนไหวได้ก็ต่อเมื่อท่านออกคำสั่งเท่านั้นนะ”

 

หญิงสาวคนนี้เพียงตอบหัวหน้าราชองครักษ์ ฮัมบาบาด้วยความเงียบ แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะเงียบ แต่เวลาก็ไหลไปเรื่อย ๆ และทหารของศัตรูก็ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ จากนั้นไม่นานศัตรูก็หยุด

 

ไม่นานนัก ก็มีชายคนหนึ่งออกมาจากใจกลางกลุ่มศัตรูขณะขี่ม้าศึก ชายผู้สวมชุดเกราะและหมวกสีน้ำเงินโดดเด่น กางแขนออกกว้างแล้วตะโกนออกมา

 

“ลอร่า! ลูกรักของข้า! พ่อมาหาลูกที่นี่เเล้ว!”

 

⎯⎯⎯⎯ตามเสียงที่ได้ยินนั้น ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรู พวกทหารทุกคนต่างก็จ้องมองมาที่หญิงสาวคนนี้

 

ความงุนงงบนใบหน้าของทหารปรากฏเด่นชัด โดยเฉพาะแม่มดที่เป็นส่วนหนึ่งของราชองครักษ์ แม่มดรู้ความลับเบื้องหลังการเกิดของหญิงสาวคนนี้ การที่หญิงสาวคนนี้เป็นลูกสาวของทาสและยังเป็นเด็กที่ถูกขายไปเป็นทาสอีกด้วย

 

ถูกต้อง.

 

เป็นสามวันพอดีถูกต้อง. ตามที่ฝ่าบาทบอก

 

แม้จะไม่ได้เห็นฝ่าบาท แต่องค์หญิงก็พูดพล่ามอย่างราบรื่นราวกับว่านางเข้าใจฝ่าบาทเป็นอย่างดี และฝ่าบาทเองก็สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าองค์หญิงจักรพรรดิจะทำอะไรต่ออีกด้วย เพราะพระองค์เข้าใจนางแม้ว่าจะมองไม่เห็นนางก็ตาม

 

หญิงสาวคนนี้สังเกตชายสูงอายุอย่างระมัดระวัง ใบหน้าที่มีรอยย่นลึก รอยยิ้มที่ปรากฏราวกับว่ามันเต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อผู้คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายผู้นี้คือบิดาผู้ให้กำเนิดหญิงสาวคนนี้และยังเป็นผู้ล่วงละเมิดเธออีกด้วย

 

“ข้าเร่งรุดรีบมาที่นี่หลังจากได้ข่าวว่าเจ้าอยู่ที่นี่ อ่า แต่นี่มันอะไรกัน? พ่อของเจ้าคนนี้เป็นมนุษย์และเจ้าเองก็เป็นลูกของมนุษย์ แต่ไยทำไมฝ่ายที่เจ้ายืนอยู่ถึงไม่ใช่ท่ามกลางมนุษย์ แต่เป็นศูนย์กลางของปีศาจล่ะ? ลอร่า กลับไปยังสถานที่ที่เจ้าต้องอยู่อย่างถูกต้องเถอะนะ”

 

“······”

 

พ่อของหญิงสาวคนนี้

 

สถานที่ที่เธอต้องอยู่อย่างถูกต้อง

 

พ่อผู้ให้กำเนิดของหญิงสาวคนนี้หมายถึงห้องสมุดที่เต็มไปด้วยฝุ่นเป็นสถานที่ที่หญิงสาวคนนี้ต้องอยู่หรือไม่ล่ะ? ห้องเล็ก ๆ ที่ต้องถวายร่างกายเพียงเพียงเพื่อเเลกกับอาหารมื้อเดียวน่ะเหรอ? ชื่อของคุกที่หญิงสาวคนนี้พยายามจะจากไปทั้งแบบนั้นด้วยการอดอาหารจนตาย แต่พ่อของเธอจะพังประตูเข้ามาเพื่อรักษาชีวิตหญิงสาวคนนี้ไว้ และด้วยการช่วยชีวิตเธอไว้ ก็เปรียบดั่งทำให้เธอตาย .

 

หญิงสาวคนนี้ปิดตาของเธออย่างเงียบ ๆ เสียงจักจั่นที่ยังคงได้ยินชัดเจนอยู่ที่นั่น และระหว่างเสียงแมลงร้องที่ดังก้องไปทั่ว ก็มีเสียงครวญครางเล็ดลอดเข้ามา

 

Ο

 

⎯⎯ ลอร่า หืดดดฮ่าาา. ลอร่าาาา······.

 

Ο

 

เมื่อพ่อของหญิงสาวคนนี้ล่วงเกินเธอ หญิงสาวคนนี้ก็นิ่งเฉย

 

เธอไม่ได้ต่อต้าน

 

หญิงสาวคนนี้ไม่ต้องการที่จะจิกเล็บของเธอและทิ้งรอยไว้ด้วยการกดเข้าสะบักไหล่ของเขา ผู้คนที่ไม่ต้องการหายไปจากโลกนี้จะต้องอยากไขว่คว้าบางสิ่งไว้ แต่สิ่งเดียวที่เดียวที่หญิงสาวคนนี้จะไขว่คว้าไว้ได้คือแผ่นหลังของพ่อของเธอ เมื่อใดก็ตามที่พ่อของหญิงสาวคนนี้รุ่มร่ามเล็กน้อยที่ต้นขา ท้อง และใบหน้าของหญิงสาวคนนี้ ความคิดที่ว่ามนุษย์ตรงหน้ายังต้องการมีชีวิตอยู่ก็จะเข้ามาในความคิดของเธอ

 

ดีล่ะ.

 

เนื่องจากหญิงสาวคนนี้อวดอ้างความงามของตัวเองออกมาอย่างมากมาย ไม่ใช่ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่เข้าใจพ่อของเธอ หากมีไม้เรียวขนาดใหญ่ติดอยู่ที่ร่างกายท่อนล่างของหญิงสาวคนนี้ และหลังจากสลัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทางจริยธรรมของหญิงสาวคนนี้ทิ้งไปได้ หญิงสาวคนนี้จะทำการสอดใส่ไปที่หญิงสาวที่สวยที่สุดในโลกอย่างอิสระ จากนั้นหญิงสาวคนนี้ก็จะ ทดสอบประสิทธิภาพของไม้เท้าของตัวเองโดยไม่ลังเล ถ้าไม่ได้ใช้มันทำในเวลาแบบนั้นเเล้ว จะเกิดมาทำไมกันล่ะ?

 

ผู้แปล: ลอร่าก็เข้าใจพ่อเหมือนกันเเละสมมุติว่าถ้าตัวเองมีดุ้นจะไม่ทะลวงหญิงที่สวยที่สุด(ในที่นี้หมายถึงตัวเอง)เหรอ ประมาณนั้น

 

Ο

 

⎯⎯ ข้ารักเจ้านะ ลอร่า ข้ารักเจ้าอย่างจริงใจเลยนะ······

 

⎯⎯ ข้ามาหาเจ้าเพราะข้ารักเจ้า เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าทำตัวแปลกไปล่ะ

Ο

 

“······”

 

อา

 

 

หญิงสาวคนนี้สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าตอนนี้เธอได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของตัวเองเเล้ว นั่นไม่ใช่ความรัก พฤติกรรมนั้นซึ่งทำร้าย หันเห และหักหลังหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่และไม่มีวันเป็นความรักได้ หากมีความรักในโลกนี้ จะต้องไม่เป็นแบบนั้น การบังคับตัวเองให้เข้าหาคนอื่นและอยู่ในสถานะที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโอบกอดเขานั้น จะเรียกว่าความรักได้อย่างไรกันล่ะ?

 

ถ้าสิ่งนั้นคือความรัก หญิงสาวคนนี้ก็จะขออยู่อย่างเย็นชาตลอดไป

 

ไม่มีใครที่ยอมรับหญิงสาวคนนี้ได้ และไม่มีใครที่หญิงสาวคนนี้ยอมรับได้

 

ความจริงแล้ว มีเพียงความรักประเภทเดียวเท่านั้นที่คนเช่นฝ่าบาท หญิงสาวคนนี้ และมิสลาพิสสามารถทำได้ ไม่ใช่ความรักที่เรารักกัน แต่เป็นความรักที่เราต่างก็รักในสิ่งเดียวกัน สิ่งเดียวที่เป็นวิถีชีวิตเดียวที่สามารถหลีกเลี่ยงความพินาศได้ หนึ่งเดียวเท่านั้น. เพื่อให้คนประเภทเรามีชีวิต ด้วยตัวคนเดียวได้······ เราคงตายถ้ารักด้วยวิธีอื่น เราจะฆ่าและจะตายด้วย ด้วยตัวคนเดียวคนเดียวเท่านั้น······

 

มีบางอย่างแตะที่แก้มของหญิงสาวคนนี้อย่างเงียบ ๆ และไหลผ่านไป

 

ที่ด้านข้างหญิงสาวผู้นี้ หัวหน้าราชองครักษ์พึมพำด้วยน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังคลานอยู่บนพื้น

 

“ท่านเจ้าคุณ เเม่ทัพรักษาการ······?”

 

“โลกนี้ช่างเลวร้ายจริงๆ ฮัมบาบา หญิงสาวคนนี้ไม่สามารถให้อภัยใครได้เลย หญิงสาวคนนี้ไม่ได้เกิดเพราะอยากเกิดและไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบนี้เพราะปรารถนาจะโตมาเป็นแบบนี้ แต่ทำไมหญิงสาวคนนี้ต้องจัดการทั้งชีวิตด้วยตัวเธอเองล่ะ”

 

เธอต้องไม่พยายามให้อภัยด้วยซ้ำ

 

“หญิงสาวคนนี้ไม่มีความแข็งแกร่งแบบนั้น”

 

เธอต้องไม่พยายามคิดต่างออกไป

 

“ไม่มีความสามารถ”

 

หญิงสาวคนนี้ถูกล่อลวงให้ฆ่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ

 

อา

 

“หญิงสาวคนนี้ไร้ความสามารถ······ หญิงสาวคนนี้ไร้ความสามารถแบบที่สุด หญิงสาวคนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ชีวิตในแบบที่เธอเกิดมา แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะมีชีวิตอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้เรียกว่ามีชีวิตอยู่ คำพูดของเจ้าหญิงนั้นถูกต้อง หญิงสาวคนนี้เป็นศพตุ๊กตา เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่เพราะหญิงสาวคนนี้ไร้ความสามารถ······”

 

“······”

 

ฮัมบาบา หัวหน้าราชองครักษ์จับแขนหญิงสาวคนนี้อย่างระมัดระวัง

หัวหน้าเเม่มดเปล่งเสียง ‘อืมมมมม’ เป็นเวลานานราวกับว่าเธอพยายามที่จะเลือกคำพูดของเธอให้ได้ยินภายในปากของตัวเอง ก่อนที่ในที่สุด เธอจะยิ้มอย่างร่าเริง

 

“ย่าา! ถูกตัองเเล้ว. โลกจริงมันก็ป่วยแบบนี้เเหละ! นอกจากท่านเเม่ทัพจะยังไร้ความสามารถอีกด้วยเเล้ว ต่อให้เธอฆ่าคนไปเป็นหมื่นและรู้วิธีฆ่าคนเป็นแสน เธอจะทำอย่างไรในเมื่อเธอไม่สามารถแม้แต่จะฆ่าสิ่งที่เหมือนอดีตของตัวเองได้กันล่ะ? อะฮ่าฮ่า! แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ท่านเเม่ทัพ ไม่เป็นไรเลย”

 

หัวหน้าเเม่มดฮัมบาบาหัวเราะ

 

“ถ้ามันจำเป็นจริงๆ เราจะฆ่ามาสเตอร์และฆ่าตัวตายไปด้วยกัน!”

 

“······”

 

“อ๊าาา เป็นเรื่องน่าโล่งใจจริงที่ยังมีคนจำนวนมากในโลกที่พยายามฆ่าเจ้านายของเรา ‘คนอย่างเจ้ากล้าดียังไงที่พยายามจะแย่งชิงชีวิตของเจ้านายของเรา’ และเราต้องเป็นคนฆ่าคนพวกนั้นก่อนใช่ไหม? นั่นเป็นเหตุผลที่เเม่ทัพ พยายามอย่างสุดกำลังและฆ่าคนให้มากที่สุดเข้าไว้! จนถึงวันที่ไม่มีใครที่ต้องการฆ่าเจ้านายของเราเหลืออยู่ในโลกใบนี้แม้แต่คนเดียว!”

 

พวกแม่มดหัวเราะลั่น สนุกสนานเหมือนปีศาจและไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ แม่มดส่งเสียงหัวเราะอันร้อนแรงไปทั่วอากาศ หญิงสาวคนนี้แน่ใจว่าเธอได้เห็นดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิซึ่งตอนนี้หยุดนิ่งอยู่บนแอ่งโคลนเท่านั้นเองเเล้ว ในที่สุดสายธารก็กระเพื่ือมไหลเพราะเสียงหัวเราะของแม่มด

 

เป็นแบบนี้นี่เอง? หญิงสาวคนนี้ต้องการคนที่จะตายไปพร้อมกับเธอสินะ?

 

หญิงสาวคนนี้จินตนาการว่าตัวเองถูกฆ่าโดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้านาย นั่นเป็นสิ่งที่ยกโทษให้ไม่ได้ หญิงสาวคนนี้ยังนึกภาพองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราถูกฆ่าโดยคนอื่นที่ไม่ใช่หญิงสาวคนนี้ นั่นเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เลยเช่นกัน

 

เข้าใจเเล้ว.

 

เป็นแบบนั้นนี่เอง เป็นแบบนั้นเองสินะ ······

 

หญิงสาวคนนี้พยักหน้าของเธอ

 

“ผู้ชายคนนั้น. หญิงสาวคนนี้ไม่ชอบหน้ามันเลย กวาดล้างพวกมันและนำมันมานี่”

 

“เยสเซอร์ ท่านเจ้าคุณ!”

 

แม่มดบินขึ้นไปในอากาศอย่างร่าเริง แม่มดมีอาณาเขตการบินบริเวณท้องฟ้าซึ่งมีไอระเหยเพียงเล็กน้อยลอยออกมาตั้งแต่ฤดูฝนสิ้นสุดลง แม่มดกระจายดินปืนออกจากกระเป๋าและจุดไฟไปทั่วอากาศ การเผชิญหน้ากับกองกำลังของศัตรูถูกทำให้พังทลายลงและเเตกสลายไปในทันที

 

หากหญิงสาวคนนี้อยู่คนเดียว เธอคงคิดคำนวณตามความเป็นจริง

 

“ลอ-ลอร่า······!เจ้า เจ้ากล้าดียังไ······?”

 

แต่หญิงสาวคนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว

 

ผู้ชายที่มีความสามารถมากกว่าหญิงสาวคนนี้ยืนอยู่ข้างหลังเธอ

 

แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะไปทั่วทุกสนามรบที่น่าตื่นเต้นตามที่เธอปราถนา แต่ก็มีบุคคลหนึ่งที่สนับสนุนเธอจากด้านหลังและจะคอยติดตามเธอเสมอ

 

ดังนั้น.

 

ตอนนี้หญิงสาวคนนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ

 

“พ่อ.”

 

หญิงสาวคนนี้มองลงมาที่พ่อของเธอจากที่แม่มดลากมาให้ต่อหน้าหลังจากมัดแขนขาแล้ว เขามองมาทางนี้ด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ชายที่น่าสมเพช เขารู้หรือเปล่าว่ากำลังถูกใช้โดยเจ้าหญิง?

 

ผู้ชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวคนนี้น่าคงจะถูกล่อลวงด้วยวาจาเสนาะของเจ้าหญิง ถ้าเขาสามารถเกลี้ยกล่อมหญิงสาวคนนี้และนำเธอไปอยู่ข้างพวกครูเสดได้ นั่นก็เหมือนกับการสร้างช่องโหว่ที่จะคงอยู่ไปตลอดประวัติศาสตร์ จงโทษตัวเองที่โง่พอที่จะถูกหลอกโดยชื่อเสียงนั้นเถอะ

 

“ลอร่า······”

 

“ถูกต้องพ่อ เราคือลอร่าของท่านเอง ผู้หญิงที่เป็นลอร่าของท่านอยู่ที่นี่เเล้ว เพราะเหตุใดท่านจึงจงใจกลิ้งลงมายังสถานที่อันตรายเช่นนี้กันหรือ? นี่คือสนามรบที่เหล่าปีศาจต่างกระหาย นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนเลินเล่อเช่นพระบิดาจะกล้าย่างเท้าเข้ามาได้”

 

หญิงสาวคนนี้คุกเข่าข้างหนึ่งและอยู่ในระดับสายตาของพ่อ เขาสัมผัสได้ถึงคววามรู้สึกเมตตาจากคำพูดของหญิงสาวคนนี้ในขณะที่ใบหน้าของเขาดูสดใสขึ้น ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงความหวังที่อย่างน้อยที่สุดเขาจะไม่เสียชีวิตไป

 

หญิงสาวคนนี้ยกแขนขวาของบิดาและกดลงไปที่แก้มของเธอแน่น แขนที่ล่วงละเมิดและกดขี่หญิงสาวคนนี้ ฝ่ามือที่แข็งแกร่งและหยาบกร้านของสัตว์ประหลาดตัวนั้นทำเอาเราจั๊กจี้

 

“ขอบคุณที่ให้กำเนิดหญิงสาวคนนี้มา พ่อ”

 

“ข้า-ข้าก็ดีใจด้วยที่เจ้าเป็นลูกสาวของข้า”

 

“อืม.. พ่อจะได้จากไปอย่างมีความสุข”

 

หญิงสาวคนนี้ยิ้มเเฉ่ง

 

 

 

ในตอนนี้ หญิงสาวคนนี้คงกำลังยิ้มออกมาได้งดงามที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมาตั้งแต่แรกเกิดเป็นเเน่

 

หญิงสาวคนนี้รู้สึกได้เลย

 

พ่อของหญิงสาวคนนี้กระพริบตา

 

“ว่าอะไรนะ······?”

 

“จากจุดนี้ไป หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ลอร่าของพ่ออีกต่อไป แต่เธอเป็นเพียงฟาร์นาเซ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเธอ แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะไม่มีความสุขกับการเป็น ฟาร์นาเซ่ ของฝ่าบาทก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ามันจะเพียงพอสำหรับหญิงสาวคนนี้ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเเล้ว หญิงสาวคนนี้รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ขอบคุณพ่อที่ให้กำเนิดหญิงสาวคนนี้มา แล้วเธอจะไม่แสดงความขอบคุณครั้งสุดท้ายนี้ได้อย่างไรกันล่ะ”

 

หญิงสาวคนนี้หยิบกริชออกมาจากเสื้อ และก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้พูดอะไรอีก เธอก็เชือดคอชายตรงหน้า เส้นสีแดงเข้มได้พาดผ่านและเลือดกระเซ็นไหลออกมา แม้ว่าชายคนนั้นจะดิ้นพรวดพราดแต่หญิงสาวคนนี้ก็ไม่ปล่อยแขนขวาของเขาจนถึงจุดจบอันขมขื่น หญิงสาวคนนี้กดมือพ่อลงไปที่แก้มของตัวเองแน่นจนชายคนนั้นโซซัดโซเซ

 

“โปรดตายลงอย่างเจ็บปวด ดยุคแห่งฟาร์นาเซ หญิงสาวผู้นี้ดีใจที่สามารถฆ่าท่านได้”

 

อัก, อัก ชายคนนั้นอาเจียนเป็นเลือดในขณะที่ล้มลง หญิงสาวคนนี้ลูบศีรษะของชายคนนั้นเป็นเวลานาน แม่มดหัวเราะด้วยกันขณะที่ปลิดชีวิตเชลยคนอื่นๆ ‘ฆ่าแล้วก็ฆ่าอีก’ คำพูดที่เจ้านายของเราเคยพูดกับหญิงสาวคนนี้เกิดขึ้นที่นี่เเล้ว เพราะคำพูดของฝ่าบาทเป็นดั่งคำสัญญาด้วยวาจา จึงไม่มีวันที่คำพูดของเขาจะไม่เป็นจริง ธงชัยซึ่งฝ่าบาทได้ให้ไว้เเก่เราก่อนหน้านี้กำลังโบกสะบัดเหนือศีรษะของเราเนื่องจากสายลมที่พัดเอื่อยๆ

 

อำนาจเพื่อเลือด

 

เลือดเพื่ออำนาจ

 

อา ในวันที่ฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเชลยช่างสวยงาม หญิงสาวคนนี้นั่งลงบนโคลนที่มีเลือดไหลและหลับตา แอ่งเลือดที่พ่อของหญิงสาวคนนี้หลั่งออกมานั้นรับน้ำหนักร่างของหญิงสาวคนนี้ไว้อย่างเหนียวหนืด เป็นครั้งแรกในชีวิตของหญิงสาวคนนี้ หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความคาดหวังสำหรับฤดูกาลที่ใกล้เข้ามา

 

 

หญิงสาวคนนี้ฆ่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอในวันนี้

 

และในวันนี้เองหญิงสาวคนนี้ก็ได้กลายเป็นลูกของฝ่าบาทอย่างเเท้จริง

.

.

.

.

………………………………………………………………………………………………….

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้แปล:ฮั่นเเน่ เเถมให้ละกันจะได้จบเเชปเตอร์ด้วย

 

 

 

 

 

.

 

 

 

 

 

▯ราชาแห่งไพร่ อันดับ 71 ดันทาเลียน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 10

ที่ราบบรูโน กองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว คุกธรรมดา

Ο

 

แท่นบูชาถูกเอาไปตั้งอยู่ที่เชิงเขาซึ่งมองเห็นได้จากที่คุมขัง มันไม่ใช่แท่นบูชาทที่ดูหรูหรานัก เเต่เป็นแท่นบูชาที่สร้างขึ้นเพื่อให้กองทัพซึ่งประสบกับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับสามารถระงับความโกรธของเทพเจ้าได้ ความความหรูหราจึงไม่คู่ควรกับพวกทวยเทพตอนนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะไม่หรูหรา แต่ บาร์บาทอส ก็เป็นผู้หญิงที่รู้วิธีทำสิ่งต่างๆ ให้ดูสวยงาม

 

“ข้าได้ยินมาว่าจำนวนกะโหลกที่ผู้หญิงของเเกรวบรวมมาได้มีเป็นร้อยเป็นพัน ถ้าเราสร้างหอคอยด้วยกะโหลกนั่นคงจะเป็นการตกแต่งที่สมบูรณ์แบบสำหรับพิธีกรรมเเน่”

 

กล่าวโดยสรุปก็คือ มันเป็นคำแนะนำในการสร้างหอคอยหัวกระโหลก แม้ว่าจะเป็นการออกแบบที่ผิดเพี้ยนไปจนทำให้หลายๆคนเห็นเเล้วรู้สึกชวนหัว แต่การประกอบพิธีกรรมบรรพบุรุษด้วยกะโหลกของศัตรูก็เหมาะสมที่จะใช้เป็นตัวชูโรงหลัก เหนือสิ่งอื่นใด ฟาร์นาเซ่ยังรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งด้วย

 

“อืม.. คนรักของฝ่าบาทมีรสนิยมดีนี่ กะโหลกศีรษะมีรูปแบบทางกายภาพที่สวยงามที่สุดในร่างกายมนุษย์ เมื่อนำมันไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การแสดงเฉพาะส่วนที่สวยงามที่สุดของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นที่เหมาะสมอยู่เเล้ว? หญิงสาวคนนี้ขอออกเสียงสนับสนุนหอคอยหัวกระโหลก”

 

“อย่าพยายามมาเป็นเพื่อนเล่นกับข้า เจ้ามนุษย์ เเกซึ่งเกิดมาพร้อมกับเลือดสีโคลนคิดว่าเเกกำลังพูดกับกษัตริย์เช่นข้าโดยไม่ใช้ภาษาทางการได้เรอะ? ถ้าเจ้าไม่ใช่แม่ทัพของ ดันทาเลี่ยน เจ้าคงตายด้วยน้ำมือข้าเป็นร้อยครั้งแล้ว”

 

แม้ว่า บาร์บาทอส จะบ่นออกมา แต่เธอก็เตรียมเวทีให้อยู่ดี เธอใช้กองทหารของเธอนำกระโหลกมากองไว้อย่างเรียบร้อย กะโหลกที่ฟาร์นาเซ่ครอบครองนั้นมีทั้งกระโหลกของเหล่าไพร่พล, กระโหลกของนายทหารชั้นประทวน, กระโหลกของแม่ทัพ, และกระโหลกของผู้บังคับบัญชา ทั้งหมดแยกลำดับตามประเภทโดยชนชั้นต่ำสุดจะถูกกองไว้เป็นฐานไล่ขึ้นไล่ตามลำดับศักดิ์ที่สูงขึ้น ไพร่พลอยู่ที่ด้านล่างสุดและผู้บังคับการอยู่ที่ด้านบนสุด ช่างอนิจจาเสียเเม้ว่าพวกเขาจะตายไปเเล้วก็ยังถูกปฏิบัติตำเเหน่งที่เคยเป็น พวกทหารที่ตายไปคงจะผิดหวังน่าดู

 

สำหรับพวกมนุษย์นั้นจะจัดพิธีบรรพบุรุษในตอนรุ่งสาง เเต่ปีศาจจะจัดพิธีกรรมในตอนพลบค่ำ สายฝนได้หยุดตกลง พระอาทิตย์ยามเย็นทอแสงสู่ท้องฟ้าใส กระโหลกแต่ละอันได้รับการทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย โต้รับแสงอาทิตย์อัสดงยามสนธยาส่องแสงสดเป็นสีแดงอร่าม และบางครั้งก็มองเห็นสีเหลืองทองผ่องอำพัน

 

“อืมมมมม.”

 

บาร์บาทอสยืดตัว

 

“ตอนนี้การเตรียมการเสร็จเรียบร้อย มาละเลงเลือดลงบนโต๊ะพิธีกรรมของบรรพบุรุษจบเรื่องนี้ดีกว่า เราต้องไปฆ่าไอ้เจ้าหญิงจักพรรดิและยังต้องไปไล่บี้ทรมานไอ้พวกงูที่คอยจะเเว้งกัดข้างหลังเรา อิย่าาาาาห์ มีไอ้พวกเชี่ยหลายตัวที่เราต้องไปตามฆ่าอีก ปีนี้คงจะเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์เป็นเเน่”

 

“บาร์บาทอส ถ้าเธอไม่ใส่คำหยาบโลนไว้ท้ายประโยคของตัวเองทุกประโยค เธอจะติดเชื้อมาลาเรียเรอะ? ไม่ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นคนทรยศหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็เคยเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของเรา โปรดสำรวมกว่านี้สักหน่อยเถอะ”

 

“ไม่ว่าพวกเเม่งจะตายโดยคนที่ทำตัวสำรวมหรือทำตัวหยาบช้า ยังไงในสถานะของพวกเเม่งก็กำลังจะตาย อยู่ดีมันก็เหมือนลูกหมาและไอ้พวกเวรนั่นก็คือพวกหมาไงล่ะ ประเด็นของเรื่องนี้มันจะเป็นอะไรไปได้อีก?”

 

“ฮะ.. ยังไงก็ตาม คนอย่างเธอนี่มัน······ เฮ้อ ก็ได้ ผู้หญิงคนนี้ขอลงไปก่อนละกัน ดันทาเลี่ยน เดี๊ยวเราจะมาพบนายอีกทีในภายหลัง”

 

จอมมารทั้งสองต่างลงจากเนินเขาไปด้วยกัน เงาของพวกเธอทอดยาวออกไปจนถึงคุกที่ผมนั่งอยู่

 

เวลาไหลผ่านไปจนเหล่าจอมมารจากฝ่ายขุนเขาและฝ่ายผืนราบต่างเริ่มรวมตัวกันนั่งลงที่ด้านล่างอย่างช้าๆ ในที่สุด เหล่าจอมมาร ทั้งหมดก็มากันพร้อมในเวลาที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แม้ว่าพวกจอมมารกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบกันเบาๆ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ปิดปากตัวเองลงเมื่อพิธีกรรมบรรพบุรุษเริ่มขึ้น ทุกคนที่อยู่ด้านล่างของเนินเขาต่างหยุดนิ่ง

 

“······”

 

“······”

 

นักบวชหลายคนออกมาด้านหน้าและเริ่มท่องพระสูตร พิธีรำลึกดำเนินไปอย่างสงบ ทุกครั้งที่นักบวชโค้งคำนับ เหล่าจอมมาร จะยืนขึ้นและโค้งคำนับเช่นกัน จากการที่กราบบูชาอยู่หลายครั้ง ผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายของการกระทำสักที

 

ย่างก้าว

 

ฟาร์นาเซ่ก้าวมาจนถึงกลางปะรำพิธี เธอเดินออกมาด้วยเท้าเปล่า ฟาร์นาเซ่เหยียบดินที่ยังเปียกชื้นด้วยเท้าขาวๆของเธอ แม้ว่าผมจะอยู่ห่างไกลในคุกแห่งนี้และมองไม่เห็นใบหน้าของฟาร์นาเซ่ แต่ก็รู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงแหบแห้งดังก้องทุกครั้งที่เธอย่างก้าว

 

ฟาร์นาเซ่ นั่งลงหน้าเปียโนโดยไม่ได้ทำการทักทาย เหล่าจอมมาร ผมรู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงส่วนหนึ่งของ พวกจอมมาร เปล่งเสียงบ่นไม่พอใจของพวกออกมา  

 

ตามคำพูดของบาร์บาทอส ดูเหมือนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมนับรวมว่าฟาร์นาเซ่เป็นคนของปีศาจ พวกเขาถือว่าเป็นการดูหมิ่นพิธีมากกว่าที่มีมนุษย์มาเข้าร่วมพิธีรำลึกของเรา เเต่บาร์บาทอสประกาศว่า ในเมื่อพวกทหารที่ตายถูกฆ่าโดยเด็กน้อยคนนั้น มันก็ถูกต้องเเล้วที่ให้นางเป็นผู้บรรเลงทำนองเพลงและปลอบประโลมเหล่าทวยเทพ เพราะจากคำพูดที่เป็นเหตุเป็นผลของบาร์บาทอส จอมมารคนอื่น ๆ จึงเข้าใจและมองข้ามมันไป

 

“······”

 

ฟาร์นาเซ่ค่อยๆวางปลายนิ้วมือลงบนแป้น

 

ผมไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษกับ ฟาร์นาเซ่ ผู้ซึ่งกลับมาหลังจากการไปฆ่าพ่อของเธอเมื่อวานนี้ ผมเองเชื่อว่าเธอสามารถคิดได้ด้วยตัวเองแล้ว และผมก็เชื่อว่าเธอจะสามารถเอาชนะมันได้ด้วยตัวเอง

 

ดังนั้น เนื่องจากเป็นการแสดงเพื่อกวาดล้างผู้ทรยศที่มีมาช้านาน

 

ในเวลาเดียวกันเอง ก็ยังเป็นงานเเสดงที่ประกาศอำลาอดีตของเธอด้วย

 

ผมวางคางไว้บนมือขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองไปที่ ฟาร์นาเซ่ วันนี้เป็นวันที่ได้ยืนยันเป็นอย่างทางการเเล้วว่าผมอยู่ในคุกนี้มานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ แม้ว่าผมจะยังอยู่ในคุกเเห่งนี้ แต่ผมก็เฝ้าดูฟาร์นาเซ่อย่างใกล้ชิดมากกว่าที่เคยทำมาก่อน

 

“······”

 

และ.

 

งานละเลงเลือดก็เริ่มบรรเลง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

………………………………………………………………………………………….

จบเเชปเตอร์พอดี  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset