Dungeon Defence – ตอนที่ 31

จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 10

ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย, ณ ตลาดทาสพาเวีย

 

 

เวรแท้ นี่มันสบายบรื๋อฉิบหายเลย

 

ผมวางชายหนุ่มลงบนพื้นและยิ้มอย่างขบขัน

 

“นายไม่ควรไว้ใจคนอย่างข้าง่ายๆเลยนะ ไอ้เพื่อนเลิฟ”

 

ผมได้สยบหนุ่มน้อยคนนี้ที่ดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณ 19 ปีอย่างหวานหมู ผมแค่ยกย่องเขาเล็กๆน้อยๆ แต่เขากลับคึกไปเองและเดินมาติดกับด้วยความเต็มใจซะงั้น มันดูง่ายจนมันเหมือนเป็นเรื่องปัญญาอ่อนน่าขำขันเลย ต้องขอบคุณความสามารถของผม หรือมันเป็นเพราะไอ้หมอนี่โครตไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะเป็นพ่อค้ากันแน่หว่า…… ?

 

แน่นอนว่า คำตอบก็คือเพราะผมเก่งนั่นเอง

 

ผมรู้ดีอยู่แล้วน่า

 

แต่ถ้าให้ผมพูดอย่างถ่อมตัวงั้นมันคงเป็นเพราะมารยาทผู้ดีเท่านั้นแหละ

 

นอกจากนี้ ค่าความชอบของเขายังเพิ่มขึ้นด้วยจำนวนที่น่ากลัวชะมัดเลย

 

พวกเราได้ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงในการนั่งดื่มด้วยกัน แต่ค่าความชอบของเขาได้พุ่งทะลุผ่านเลข 10 ทะลวงผ่าน 20 และสุดท้ายก็มาแตะที่เลข 30 แต่ทว่า ค่าความชอบของลาพิส ลาซูรี่ก็ยังอยู่ที่เลข 10 ไม่กระดิกเลย ทำไมผมถึงได้รับความชอบจากผู้ชายมากกว่าผู้หญิงหนอ? มันต้องเป็นอวสานของโลกใบนี้แน่ๆ

 

“สเตตัส”

 

หลังจากพึมพำคำพูดภายใต้เสียงลมหายใจของผม หน้าต่างโฮโลแกรมก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าผม

 

ซึ่งก็คือหน้าต่างสถานะแบบที่จะปรากฏขึ้นหากค่าความชอบมีมากกว่า 20

 

 

ชื่อ: เกียโคโม เปตราก

เผ่าพันธ์: มนุษย์

อาชีพ: พ่อค้า (E)

ชื่อเสียง: บัณฑิตตกอับแต่กาลก่อน

 

ความเป็นผู้นำ: F  พละกำลัง: F  ความฉลาด: E

การเมือง: F  เสน่ห์: C  ความชำนาญ: F

 

ค่าความชอบ: 32

 

สภาพจิตใจปัจจุบัน: ‘เพื่อนจ๋า…… ‘

 

 

ช่างมีนิสัยที่น่ารักอะไรเช่นนี้

 

ในอีกนัยนึงก็คือ หากเทียบกับหญิงสาวเช่นลาพิส ลาซูรี่ ผู้ซึ่งมีเจตนาอันตัวผมไม่อาจจะเข้าใจได้ คนประเภทนี้จัดได้ว่าเป็นพวกที่ชะล่าใจสุดๆเลยว่างั้นแล

 

คนประเภทที่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ความเคารพแก่ผู้อื่น แม้ว่าจะดูซื่อบื้อและไร้เดียงสาไปบ้างก็ตาม

 

คนส่วนใหญ่อาจจะหัวเราะเยาะคนจำพวกนี้ว่าเป็นไอ้พวกขี้แพ้

 

แต่สุดท้ายแล้ว ผมไม่ทำเช่นนั้นหรอกนะ

 

ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากนั้น ก็น่าจะเป็นการที่ผมค่อนข้างอิจฉาพวกเขามากกว่า

 

…….เพราะผมไม่สามารถเป็นแบบพวกเขาได้เลย

 

“คิดซะว่าดันซวยเจอะเจอพวกเลวระยำก็แล้วกันน้า”

 

ผมค้นเสื้อโค้ทของเกียโคโมจนกระทั่งผมได้เจอกับพวงกุญแจพวงนึง

 

กุญแจทั้งหลายได้ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งขณะที่ผมหยิบพวกมันออกมา และกุญแจกรงขังของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ก็น่าจะอยู่ในพวงนี้นะ

 

การขโมยเป็นสิ่งที่ผิดงั้นเหรอ? ช่างหัวมันสิ ก็ผมมันคนเลวนี่ ดังนั้นการที่ผมทำอะไรบางอย่างดั่งเช่นการขโมยถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

 

ผมขายบางสิ่งเช่นความรู้สึกผิดทิ้งไปตั้งนานนู้นแล้วแหละ

 

เท่าที่ผมดำรงชีวิตมา ผมได้เห็นแจ้งว่าความจำเป็นที่จะต้องแบกรับสิ่งแบบนั้นย่อมไม่มีเลย

 

ผมไม่แน่ใจว่าไอ้พวกซาดิสท์ ที่ชื่นชอบรับความเจ็บปวด จะคิดยังไงบ้างหรอกนะ แต่ในฐานะที่เป็นคนสมบูรณ์ดีและซาดิสท์อย่างมีเหตุผล ไม่มีทางที่คนอย่างผมจะเอาด้วยหรอก

 

“งืมมมม……”

 

เกียโคโม เปตรากได้ส่งเสียงออกมาระหว่างที่นอนหลับอยู่

 

ในเมื่อผมได้ลอบผสมเบียร์เขาด้วยยานอนหลับที่แรงเอาการอยู่ เขาก็คงนอนกรนแบบนั้นไปสักพักแหละ

 

ผมลูบหัวเกียโคโมและกล่าวว่า

 

“หลับให้สบายนะ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่เป็นบุคคลอันมากเกินกว่าที่ใครบางคนซึ่งแสนดีเช่นนายจะรับมือได้หรอกนะ สิ่งที่นายต้องทำก็คือหลับอย่างมีความสุขและทิ้งเธอไว้ในเงื้อมือข้าจะดีกว่า “

 

“……”

 

“มันจะเป็นผลดีต่อลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ต่อนาย และต่อข้ามากกว่า นายไม่ได้ทำอะไรผิดไปหรอกนะ “

 

ผมคิดว่าเขาคงได้ยินคำพูดของผมในขณะที่ยังไม่ได้สตินะ

 

เพราะสีหน้าเกียโคโม เปตรากค่อยๆผ่อนคลายขึ้น

 

เสียงลมหายใจอันยาวลึกได้ระบายออกมาจากระหว่างกลางริมฝีปากของเขา

 

ดีมาก

 

เด็กน้อยน่ารักได้ปิดตาของเขาลงแล้ว

 

มันจึงถึงเวลาสำหรับคนคดโกงอย่างยิ่งยวดจะด้อมมองไปรอบๆดุจภูตพรายยามรัตติกาล

 

เมื่อได้ถือกุญแจอยู่ในมือ ผมก็เริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า และแล้วเป้าหมายของผมก็ได้ปรากฏเข้ามาสู่สายตา ณ ระหว่างรถเกวียนสองคันนั้นได้มีกรงเหล็กตั้งอยู่ใกล้ๆ

 

แสงจันทร์ได้สาดส่องลงมาอย่างนุ่มนวล

 

แม้กรงเหล็กจะถูกอาบไล้อยู่ภายใต้แสงจันทร์ มันก็ไม่สะท้อนแสงออกมาแต่กลับถดถอยเข้าสู่ความมืดแทน ดั่งราวกับว่ามันปฏิเสธทุกสิ่งจากภายนอกที่ต้องการจะเข้าสู่ตัวมัน ถึงแม้จะเป็นแสงอันเรืองรองเล็กน้อยก็ตาม

 

แต่มีบางสิ่งที่ผิดแผกออกไปได้ถูกส่องสว่างโดยแสงเหล่านั้น มันไม่ใช่ตัวกรงหรอกนะ แต่เป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกขังอยู่ข้างในต่างหาก

 

เด็กผู้หญิงซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าสกปรกคล้ายกับที่พวกขอทานมักจะใส่กัน มันต้องเป็นเวลาหลายวันแล้วแน่ๆนับตั้งแต่ที่เธอได้อาบน้ำเมื่อครั้งล่าสุด เนื่องจากมีคราบสกปรกแปดเปื้อนไปทั่วผิวกายเธอทั้งตรงนี้และตรงนั้น

 

จากนั้น ดวงจันทร์ในท้องฟ้ายามค่ำคืนก็ถูกบดบังโดยหมู่เมฆเป็นเวลาชั่วขณะก่อนที่จะโผล่พ้นออกมาอีกครั้งนึง แสงจันทร์ได้ส่องลงมาอีกครั้งสู่ผิวกายของเด็กสาวอันทำให้ตัวเธอเปล่งประกายอย่างเจิดจ้า

 

“……”

 

ผมอดชะงักลมหายใจของผมไว้อย่างช่วยไม่ได้

 

ไม่ว่าใครก็ตามได้มาอยู่ณ ที่นี้ พวกเขาทุกคนย่อมถูกครอบงำโดยความงามของเด็กสาวผู้นี้เป็นแน่แท้

 

แต่ทว่า เหตุผลที่ทำไมผมถึงได้ถูกพรากลมหายใจไปจากผมในชั่วอึดใจไม่ใช่เป็นเพราะความงามของเด็กสาวคนนี้หรอกนะ บางเหตุผลที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงได้ทำให้อารมณ์ผมปั่นป่วนต่างหากล่ะ

 

—ทาสสาวตัวน้อยกำลังอ่านหนังสืออยู่

 

ในใจกลางกรงขังอันมืดมนอย่างไร้ที่สิ้นสุดนี้

 

โดยใช้แสงจันทร์เป็นดั่งแหล่งกำเนิดแสงเพียงแห่งเดียวของเธอ

 

กับหนังสือหนาทึบที่แผ่หลาอยู่บนพื้นตรงหน้า ซึ่งเธอนั้นได้ค่อยๆพลิกหน้ากระดาษอย่างแผ่วเบาด้วยมือที่เป็นแผลพุพองของเธอ

 

มีบางสิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับภาพอันน่าอัศจรรย์ใจนี้

 

ถ้ามีใครบางคนถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น งั้นมันก็คงเป็นเพราะการที่ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะสามารถขัดขวางการกระทำของเธอได้น่ะ

 

นี่อาจเป็นครั้งแรกของผมที่เห็นเธอ แต่ผมกลับเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างทันที

 

ความอัปยศและความอับอายจากการหลุดจากฐานะขุนนางและกลายมาเป็นทาส จำนวนครั้งอันนานับไม่ถ้วนที่ผู้คนได้ทุบตีและข่มเหงทารุณต่อเด็กสาวคนนี้ ความสิ้นหวังและความเศร้าโศกจากการถูกเขี่ยทิ้งโดยพ่อแม่เธอเอง อารมณ์นานัปการที่ว่านั้นไม่มีผลต่อเธอเลยแม้แต่น้อยในตอนนี้

 

เพราะเธอได้เป็นมนุษย์ที่

 

ปิดกั้นตนเอง

 

อยู่ในความมืดมิดโดยสิ้นเชิงไปแล้ว

 

“……”

 

ผมได้ก้าวเข้าใกล้กรงขังด้วยเสียงเดินที่ดังก้องกังวาน

 

แม้ตั้งใจทำให้เกิดเสียงฝีเท้าออกมา เด็กสาวก็ไม่ได้เงยหน้าของเธอขึ้นมาเลย

 

เธอเพียงแค่จ้องมองลงเบื้องล่างด้วยท่าทีเฉยเมยบนใบหน้าของเธอ

 

นี่เธอจดจ่ออยู่กับหนังสือจนถึงขนาดที่เธอไม่ได้ยินเสียงภายนอกเลยเหรอ?

 

ผมย่างเดินไปคั่นกลางระหว่างแสงจันทร์กับตัวเด็กสาว

 

เงาอันดำมืดได้ค่อยๆปรากฏขึ้นเหนือตัวเธอ ในตอนนี้เอง ซึ่งเป็นครั้งแรก ที่เด็กสาวผู้นั้นเงยหน้าเธอขึ้นมาอย่างช้าๆเพื่อให้ตรงกับสายตาผม ด้วยดวงตาที่ปราศจากแม้กระทั่งแสงสว่างอันน้อยนิด

 

ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่

 

มนุษย์ผู้ต่อกรกับฮีโร่และเปลี่ยนทั่วทั้งทวีปให้กลายเป็นทะเลแห่งเลือด

 

ต่อเด็กสาวผู้ถูกทอดทิ้งโดยครอบครัวของเธอเองและโดยโลกใบนี้ ผมจึงได้กล่าวว่า

 

“—ข้าชื่อดันทาเลี่ยน เป็นจอมปีศาจอันดับที่ 71 “

 

โดยไม่มีการเสแสร้งใดๆ

 

เล่ห์กลกระจอกๆไม่มีผลต่อคนทั้งหลายที่มีแววตาแบบนี้หรอกนะ

 

ซื่อตรงและจริงใจเสมอ คือวิธีการโน้มน้าวที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้น่ะ

 

“ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ข้ามาที่นี่เพื่อรับตัวเธอไป “

 

“……”

 

“ข้าคือผู้มั่งมีทรัพย์ ดังนั้นข้าจึงสามารถซื้อเธอได้อย่างสบายในการประมูลทาสเมื่อใดก็ได้ที่ข้าต้องการ เหล่าแม่มดและกองทหารข้าก็กำลังรอคอยอยู่รอบๆตลาดแห่งนี้ ดังนั้นการพาตัวเธอไปโดยการใช้กำลังทหารก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน “

 

มันไม่ใช่เรื่องโกหกนะ

 

ในช่วงเวลานี้ ลาพิส ลาซูรี่น่าจะกำลังเตรียมพร้อมที่จะเริ่มจู่โจมบริเวณรอบนอกของตลาดทาส เหล่าสาวๆเบอร์เบเร่ที่อยู่ด้วยกันกับเธอ พร้อมทั้งกองกำลังของผมได้กำลังรอคอยสัญญาณแจ้งอยู่ทุกขณะจิต

 

11 แม่มดชั้นเลิศ และ 9 นายทหารระดับพระกาฬ

 

การป้องกันของตลาดทาสแห่งนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว แต่มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทหารรักษาการณ์จำนวน 70 นายเท่านั้นแหละ โดยการใช้ฤทธิ์เดชของเหล่าแม่มด พวกเราก็สามารถเปลี่ยนพวกเขาทั้งหมดให้กลายเป็นเนื้อย่างได้อย่างกล้วยๆ การชิงตัวลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่มาและหายวับไปอย่างชิลๆย่อมไม่ใช่เรื่องยากเลย

 

ถ้าผมออกคำสั่งไปงั้นมันก็เป็นเรื่องง่ายโดยปริยายแน่

 

แม้จะเป็นเช่นนั้น

 

“แต่ข้าประสงค์ที่จะได้รับการยอมรับนับถือจากเธอ”

 

ผมต้องการละแผนเหล่านั้นไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายมากกว่า

 

 

 

 

“ไม่ใช้วิธีโดยเงินทองหรือโดยกำลังทหาร เพียงแค่คุยกันซึ่งๆหน้าเท่านั้น ข้าหวังที่จะถูกยอมรับจากเธอ ดังนั้นได้โปรดตัดสินตัวข้าด้วยนัยน์ตาอันหม่นหมองคู่นั้นของเธอ ตัดสินใจว่าข้ามีความสามารถมากพอหรือไม่ที่จะรับเธอมา ประเมินตัวข้าอย่างจะแจ้งได้เลย “

 

“……”

 

“เธอช่วยให้ข้ามีโอกาสได้รับการทดสอบจากเธอได้มั้ย?”

 

ความเงียบงันได้ฝังรากลงบนตัวพวกเรา

 

เด็กสาวได้จ้องมองที่ผมอย่างเหม่อลอย

 

พวกเราไม่ได้หลบตากันเลย แม้จนกระทั่งเมฆก้อนที่สามได้ปกคลุมดวงจันทร์แล้วก็ตาม เวลาได้เลื่อนลอยไปอย่างช้าๆ

 

จนเด็กสาวได้ขยับริมฝีปากของเธอ

 

“—เลิกบังแสงจันทร์และหลบไปด้านข้างได้แล้ว”

 

มันเป็นเสียงประดุจสิ่งที่ไร้ซึ่งชีวิต

 

เหมือนเครื่องจักรที่พยายามเลียนแบบเสียงของมนุษย์อย่างผิดธรรมชาติ

 

ถึงจะเป็นเช่นนั้น ผมก็ได้พยักหน้าเข้าใจ

 

ในสถานที่แห่งนี้ เด็กสาวคนนี้ได้สร้างอาณาจักรตนเองขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ หนังสือคือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ดังนั้น การกระทำที่ได้บดบังแสงไฟย่อมหมายความว่าผมกำลังรุกรานอาณาจักรเธอ ผมได้ทำตามคำขอร้องของสาวน้อยฟาร์เนเซ่ในทันทีและก้าวไปด้านข้างเล็กน้อย

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้พยักหน้าและกล่าวว่า

 

“เราขอแสดงความขอบคุณมากๆ คุณเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนจัง “

 

“การเคารพในอาณาเขตของผู้อื่นคือพื้นฐานสำคัญนะเออ แม้ว่าเธอจะกลายเป็นข้ารับใช้ข้า ข้าก็จะเคารพในเจตจำนงของเธอเสมอดังเช่นที่ข้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ไงล่ะ “

 

“ข้ารับใช้?”

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้เอียงหัวของเธอ

 

“ไม่ได้เรียกร้องให้เป็นทาสเซ็กส์ แต่ให้เป็นข้ารับใช้แทน?”

 

“ก็นั่นแหละ ถ้าข้าต้องการปฏิบัติต่อเธอเสมือนทาส งั้นข้าก็คงซื้อตัวเธอด้วยทองหรือดำเนินการในรูปแบบที่แกมบังคับไปแล้ว แต่ข้าได้คิดว่าเงินทองและอำนาจเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมต่อการโน้มน้าวเธอ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ข้าแค่ปรารถนาที่จะได้ตัวเธออย่างแท้จริงน่ะ “

 

“ถ้าเมื่อกี้นี้นั่นคือการสารภาพรัก งั้นหญิงสาวผู้นี้ก็คงจะประทับใจมากแน่ๆค่ะ”

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้วางมือบนคางเธอ

 

หากกล่าวให้ละเอียดแล้ว ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้พูดในภาษาที่ต่างกันถึง 4 ภาษานะ ทั้งซาร์ดิเนีย, ฮับส์เบอร์เจี่ยน, ฟรานโคเนี่ยน และภาษาโบราณเฮลาเซี่ยน มันไม่ใช่บทสนทนาง่ายๆทั่วไป เธอกำลังทดสอบผมว่าผมสามารถตามคำพูดเธอได้มากแค่ไหนน่ะ

 

ผมผ่านการทดสอบเบื้องต้นของเธออย่างง่ายดาย ไม่ว่าผมอยู่ที่ไหน หากมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษาแล้วงั้นผมก็ไม่ถูกพิชิตง่ายๆหรอกนะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมก็ค่อนข้างมั่นใจในตนเองว่านี่คือความสามารถพิเศษของผม

 

จากจุดนี้จะเริ่มเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญแล้ว

 

“เราขอขอบคุณจากใจจริงสำหรับข้อเสนอของท่านค่ะ ชะตากรรมเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่สำหรับหญิงสาวผู้นี้คืออาจถูกขายให้แก่ชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวยและใช้ชีวิตประหนึ่งเครื่องมือสำหรับปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศกระมั่งคะ “

 

“อา นั่นถูกเผงเลย”

 

อิงจากข้อมูลที่ผมได้รับจากเกม [Dungeon Attack] ผมรู้โครงเรื่องคร่าวๆเกี่ยวกับชะตากรรมของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ มันคงไม่เป็นไรหรอกมั้งที่จะพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคตคร่าวๆตรงนี้น่ะ

 

“คนที่ซื้อตัวเธอในการประมูลคงจะเป็นเค้าท์รอสเวลส์จากราชอาณาจักรบริตทานีย์ ต่อหน้าคนทั่วไป เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นชายผู้มีบุคลิกอันสง่างาม แต่ความจริงแล้ว เขาคือไอ้วิตถารซาดิสม์น่ะ”

 

“โห”

 

นี่ผมกระตุกต่อมเผือกเธอหรือไงเนี่ย? สาวน้อยฟาร์เนเซ่จึงได้แสดงท่าทีอยากรู้ออกมา ถึงแม้ว่านัยน์ตาของเธอยังคงหม่นหมองอยู่ก็เถอะนะ

 

“ช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มหน่อยค่ะ”

 

“ด้วยความยินดีเลย เค้าท์รอสเวลส์เห็นว่าการขังขุนนางตกอับ แบบตัวเธอนั่นแหละ ในห้องทรมานใต้ดินของเขาคือความฟินสุดยอดที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เป็นเพราะรสนิยมของเขาหลากหลายมาก เขาจึงเพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆตั้งแต่เอาเทียนลนไปจนถึงการชำแหละ “

 

“การชำแหละ? คืออะไรเหรอคะ?”

 

“มีพวกวิปริตหลากหลายประเภทบนโลกใบนี้นะ คุณฟาร์เนเซ่”

 

ผมยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

“ในหมู่พวกเขา มีกระทั่งผู้คนประเภทที่เกิดความใคร่ต่อผู้หญิงที่แขนขาของพวกเธอถูกตัดทิ้งด้วยนะ”

 

ผมรู้สึกพึงพอใจเสมอเมื่อใดก็ตามที่ผมสามารถเปิดเผยความจริงอันโหดร้ายแก่เด็กสาวผู้ไร้เดียงสาต่อโลกใบนี้ได้ คุณอาจกล่าวได้ว่ามันรู้สึกคล้ายกับผมได้ช่วยอะไรเล็กน้อยในเรื่องการศึกษาของเด็กอะนะ

 

ผมคือชายหนุ่มผู้เป็นมิตรมากนะเออ

 

“ถ้าเธอถูกขายให้กับเค้าท์รอสเวลส์ งั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะถูกรุมข่มขืนในห้องขังแน่นอน ที่ซึ่งแม้แต่แสงแดดก็ไม่สามารถเข้าถึงได้เป็นเวลาถึง 10 ปี หากเธอดันโชคร้าย เธอก็อาจจะได้ลิ้มลองการถูกทำแท้งหลายต่อหลายครั้งเลยเชียวแหละ “

 

“นั่นช่างเป็นผลลัพธ์อันเลวร้ายที่สุดต่อบุคคลซึ่งกลายเป็นทาสจังค่ะ เราสามารถทนต่อการถูกทรมานด้วยเทียน แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่คิดว่าเธอจะสามารถรับมือต่อการที่แขนขาเธอถูกตัดทิ้งแน่ๆค่ะ “

 

“คงเป็นเพราะเธอจะไม่สามารถอ่านหนังสือได้ใช่มะ?”

 

“ใช่ค่ะ เราไม่สามารถอ่านหนังสือโดยไร้แขนขาได้หรอกนะคะ “

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ๋ได้ตอบอย่างซีเรียส

 

ผมได้เดาว่าเธอเป็นเด็กแบบนี้แหละ

 

“แต่ว่า โอ้ท่านจอมปีศาจ มันค่อนข้างยากที่จะเชื่อว่าท่านกำลังวางแผนใช้งานหญิงสาวผู้นี้สำหรับการอื่นนอกเหนือไปจากทาสเซ็กส์หรอกนะคะ อย่างที่ท่านเห็น หญิงสาวผู้นี้ออกจะสวยเอาการอยู่ ถึงแม้ว่าท่านรับตัวเรามาเป็นข้ารับใช้ แต่หญิงสาวผู้นี้จะแน่ใจได้ยังไงว่าท่านจะไม่ลุ่มหลงหน้าตาหญิงสาวผู้นี้ในภายหลังและล่วงละเมิดตัวเธอน่ะ? “

 

มันคือสาวน้อยเมากาวผู้กล่าวเรื่องเหลวไหลราวกับว่ามันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วแล

 

หลังจากผงะเล็กน้อย ผมก็ได้ขมวดคิ้วและกล่าวว่า

 

“……เธอ นี่เธอ บางที มักจะได้ยินจากคนอื่นบ่อยครั้งว่าเธออวดดีเกินไปบ้างมั้ย?”

 

“โทษทีนะคะ เราแค่ประเมินความงามของตนเองอย่างเป็นกลางค่ะ ตลอดชีวิตของเรา 4 ครั้งจากพ่อ, 11 ครั้งจากพี่ชายต่างแม่และ 2 ครั้งจากน้องสาวต่างแม่ ที่หญิงสาวผู้นี้เกือบถูกข่มขืนโดยพวกเขา ฉะนั้นความงามของหญิงสาวผู้นี้เหนือธรรมดาอย่างแน่นอนค่ะ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างโชคร้ายจริงๆ “

 

“อะไรนะ? เธอเกือบจะถูกข่มขืนโดยน้องสาวต่างแม่ของเธอเหรอ? “

 

แม้แต่จอมปีศาจก็ตกใจในเรื่องนี้

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่กล่าวอย่างตามตรงว่า

 

“มีพวกวิปริตหลายประเภทในโลกใบนี้นะคะท่านจอมปีศาจ ในหมู่พวกเขาก็มีผู้หญิงที่รู้สึกถึงความใคร่ต่อคนเพศเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีผู้หญิงที่อยากมีเซ็กส์กับคนที่มีสายเลือดเดียวกันอีกด้วยค่ะ “

 

คำพูดเธอเป็นทำนองเดียวกับที่ผมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในตอนที่ผมพยายามอวดรู้ มันคือการโต้กลับผมที่ได้วางมาดราวกับผู้หลักผู้ใหญ่อะนะ

 

ผมอดไม่ได้ที่จะชื่นชมไหวพริบของเด็กสาวคนนี้

 

“…… น่าทึ่งมาก”

 

“ท่านไม่ต้องชมหญิงสาวผู้นี้หรอกค่ะ เนื่องจากหญิงสาวผู้นี้ได้รู้ขอบเขตความอัจฉริยะของเธอเองเมื่อตอนเธออายุได้ 6 ขวบค่ะ”

 

“โอ้ งั้นเรอะ? บังเอิญจัง ตอนที่ข้าคิดได้ว่าข้าพิเศษกว่าใครก็เมื่ออายุได้ 6 ขวบเหมือนกัน”

 

“อืม อย่างนั้นเหรอค่ะ? งั้นหญิงสาวผู้นี้ควรเพิ่มเติมว่าเธอได้รู้ด้วยตนเองถึงความเหนือชั้นของเธอในเรื่องสติปัญญาหลังจากได้เห็นพี่น้องเธอกำลังดิ้นรนเพื่อเข้าใจทฤษฎีเรขาคณิตเพียงวิชาเดียวแม้ว่าอายุจะล่วงเลย 10 ขวบแล้วก็ตาม”

 

“ข้ารู้ด้วยตนเองหลังจากเห็นว่าบรรดาน้องต่างแม่ข้าไม่สามารถเรียนรู้ถึง 2 ภาษาเมื่ออายุได้ 5 ขวบ”

 

“อา มันยากจริงๆที่จะเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงกระเสือกกระสนกับอีแค่ภาษาต่างถิ่น นี่ไม่เป็นเรื่องธรรมดาหรือไงคะที่จะเชี่ยวชาญภาษาหลังจากฟังไปได้ตั้งครึ่งปีน่ะ? “

 

“ใช่เลย มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้เช่นกัน”

 

“เมื่อใดก็ตามที่หญิงสาวผู้นี้เห็นกลุ่มคนสับสนเกี่ยวกับสัจธรรมซึ่งง่ายที่สุด ในขณะที่หญิงสาวผู้นี้รู้สึกเศร้าและสงสารตัวพวกเขา ในเวลาเดียวกันหญิงสาวผู้นี้ก็รู้สึกสงสัยมากขึ้นด้วย ว่าพวกเขามีชีวิตมานานขนาดนี้ด้วยหัวแบบนั้นได้ยังไงกัน? หากหญิงสาวผู้นี้อยู่ในสภาพแบบพวกเขา หญิงสาวผู้นี้คงจะฆ่าตัวตายโดยทันทีแน่ๆค่ะ “

 

“คนส่วนใหญ่เกิดมาแล้วน่าสมเพชกันทั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้น่ะ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้คนอย่างเราสอนพวกเขาอย่างละมุนละม่อมว่าสติปัญญาและมารยาทผู้ดีคืออะไร “

 

“โอ้ท่านจอมปีศาจ นั่นไม่เป็นงานที่น่าเบื่อหรือไงคะ? “

 

“มันน่าเบื่ออย่างเหลือเชื่อเลยแหละ แต่ทว่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเรายังคงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้นะ นานๆครั้ง พวกเราก็จำเป็นต้องเสียสละตัวเราเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น “

 

“ตรงที่ว่า ‘นานๆครั้ง’ ท่านหมายถึงครั้งเดียวในชั่วชีวิตนี้ใช่มั้ยคะ”

 

“ถ้ามากถึงขนาดนั้นก็เกินพอ—”

 

อ้า!

 

ผมดันดื่มด่ำไปกับการสนทนาโดยไม่รู้ตัวซะนี่

 

สีหน้าที่ผมได้ใส่ไว้สำหรับการแสดงได้จางหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แฮะ

 

เคมีระหว่างผมและเด็กสาวคนนี้เข้ากันได้ดีเหนือจินตนาการเลย

 

“อาจริงสิ นอกจากนี้ หญิงสาวผู้นี้บางครั้งก็ไม่พูดจาและเข้าสู่โลกของเธอเองตลอดทั้งสัปดาห์เลย ถ้าพวกเราจะใช้เวลาร่วมกันแล้ว งั้นก็กรุณาช่วยจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจด้วยค่ะ “

 

“อ้า ข้าเองบางครั้งก็ขังตัวอยู่บนเตียงข้าและปฏิเสธที่จะออกมาเป็นเวลาถึง 4 วันในแต่ละครั้งนะ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าหวังว่าเธอก็จะเคารพในชีวิตส่วนตัวของข้าเช่นกัน”

 

“แน่นอนค่ะ แล้วก็ หญิงสาวผู้นี้มักชอบเล่นไวโอลินเสียงดัง อีกทั้ง บางครั้งหญิงสาวผู้นี้อาจถูกผลักดันจากความสุนทรีย์ของเธอและเริ่มต้นร้องเพลงไปด้วย ดังนั้นถ้าท่านจะอยู่กับหญิงสาวผู้นี้ ท่านก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกันค่ะ “

(az : ผมนี่เครียดเลยถ้ามีเมียแบบนี้)

 

“ไวโอลินคือความสุขแห่งชีวิต”

 

ผมพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

“โอ้ ท่านก็คิดเหมือนกันเหรอค่ะ?”

 

“เสียงบรรเลงจากเปียโนออกจะแข็งกระด้างเกินไป ดังนั้นมันจึงให้ความรู้สึกเหมือนเสียงกลไกอย่างแรง แต่ไวโอลินไม่ได้แสดงถึงการสั่นสะเทือนอันแรงกล้าแห่งชีวิตหรอกหรือ? ดนตรีคือเสียงการสั่นสะเทือนนะ และไม่มีอะไรดีไปกว่าเสียงสั่นสะเทือนอีกแล้ว ปี่โอโบก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ถ้าเธอเปรียบเทียบทั้งสองอย่างแล้ว งั้นไวโอลินย่อมเหนือกว่าแน่นอน “

 

“หญิงสาวผู้นี้เห็นด้วยทุกประการเลยค่ะ”

 

“……”

 

“……”

 

พวกเราได้จ้องมองหน้ากัน

 

ผมเปิดปากอย่างระมัดระวังและกล่าวว่า

 

“จริงๆแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่ามันคือการเข้าใจผิดหรือเปล่านะ แต่ว่า…… “

 

“หืม?”

 

“ข้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าทำไม แต่มันรู้สึกเหมือนเธอและข้าจะสามารถเข้ากันได้อย่างสันติสุขเลยแหละ”

 

 

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่แปลกประหลาดจัง หญิงสาวผู้นี้ก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกันค่ะ “

 

“นี่อาจจะดูปุ๊บปั๊บไปบ้าง แต่ข้ามีคำถามสักสองสามข้อนะ ใครคือคนที่ฉลาดที่สุดในโลก? “

 

เด็กสาวได้ตอบในทันที

 

“แน่นอนว่า มันคือตัวบุคคล ของพวกเขาเองค่ะ” (az : ประมาณว่า “ตนเองย่อมฉลาดที่สุดในโลกอยู่แล้วแล” )

 

“แล้วกับบุคคลที่ไร้ความรับผิดชอบ ทิ้งคำมั่นสัญญาและไม่ไยดีต่อผู้อื่นล่ะ?”

 

“มันสมควรอย่างยิ่งที่จะตัดแขนขาพวกเขาโดยทันทีและตัดสินโทษตายแก่พวกเขาค่ะ”

 

“เมื่อเธอเห็นคนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา อะไรคือความนึกคิดแรกที่แว๊บเข้ามาในใจเธอ?”

 

“ไฉนพวกเขาถึงได้ใช้ชีวิตอย่างโง่เขลาขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกัน หญิงสาวผู้นี้ก็ตาพร่ามัวโดยความไร้เดียงสาของพวกเขาและยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งกว่าหญิงสาวผู้นี้”

 

“รักคืออะไร?”

 

“คือการฆ่าตัวตายดิ่งสู่หายนะโดยบิดเบือนว่าเป็นความโรแมนติค”

 

“มิตรภาพคืออะไร?”

 

“คือความรู้สึกที่หญิงสาวผู้นี้มอบให้ไปงั้นแก่ผู้คนที่ไม่มารบกวนเธอ”

 

“หน้าที่การงานคืออะไร?”

 

“คือหลักฐานว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ และมีสิ่งเดียวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมันคือการกำจัดมันให้สิ้นซากไป”

 

“……”

 

“……”

 

เด็กสาวและผมต่างพยักหน้าพร้อมๆกัน

 

คุณสามารถกล่าวอย่างมั่นใจได้ว่ามันคือการพยักหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้

 

“คุณฟาร์เนเซ่ โดยส่วนตัวแล้วข้าไม่ชอบรูปร่างที่เหมือนเด็กหรอกนะ ข้ารู้สึกถึงแรงดึงดูดทางเพศมากกว่าจากผู้หญิงที่มีหน้าอกล้นทะลัก ดังนั้นดีใจด้วยนะ โอกาสที่ตัวข้าถูกทำให้หลงเสน่ห์โดยเธอนั้นต่ำสุดๆเลย “

 

“โอ้ท่านจอมปีศาจ หญิงสาวผู้นี้ชอบผู้ชายที่อายุมากกว่าหลายปี ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดต้อง 50 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขออายุ 60 ปีค่ะ หญิงสาวผู้นี้เกลียดชังผู้ชายที่ไม่มีริ้วรอยตีนกา เสน่ห์ของผู้ชายมาจากประสบการณ์ชีวิตอันมากหลายของพวกเขาเท่านั้นค่ะ ฉะนั้น โอกาสที่หญิงสาวผู้นี้ถูกล่อลวงโดยท่านนั้นเป็นไปได้น้อยมากๆค่ะ”

 

พวกเราต่างเอื้อมแขนออกไปและจับมือกันอย่างแนบแน่น

 

“—ไร้ที่ติ”

 

“—เลิศมาก”

 

เรื่องนี้ได้ก้าวพ้นการอยู่ร่วมกันได้หรือไม่ไปเนิ่นนานแล้วแหละ

 

ผมคืออีกครึ่งหนึ่งของเธอ และเธอคืออีกครึ่งหนึ่งของผม เราต่างเกิดมาบนดาวดวงเดียวกัน แต่เนื่องจากความประสงค์ของพระเจ้า เราจึงถูกแยกออกจากกัน จนในที่สุด เราก็สามารถพบเจอกับอีกฝ่ายได้ในวันนี้ มันอาจมีความเหลื่อมล้ำทางอายุระหว่างเรา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย สหายร่วมอุดมการณ์เดียวกันคือบางสิ่งที่สามารถสยบข้ามยุคสมัยและช่วงอายุได้ ดวงจิตอีกส่วนนึงของผมอันตัวผมไม่สามารถพบเจอได้ในโลกเดิมซึ่งณ เวลานี้ได้มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

 

เสียงเอฟเฟ็กต์ได้ดังขึ้นและหน้าต่างแจ้งเตือนก็ปรากฏออกมา

 

 

[ความจริงใจของคุณได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับอีกฝ่าย]

 

[ค่าความชอบของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้เพิ่มขึ้นมา 15]

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset