♦
ฟาร์นาเซ่ ไม่ได้พยายามที่จะเป็นที่เคารพรักในกองทัพ เธอเเค่ต้องการให้ทุกๆคนกลัวเธอ แทนที่จะปลูกฝังความกล้าหาญในการจะพุ่งเข้าใส่ศัตรู ฟาร์นาเซ่ กลับมองว่าความน่าสะพรึงกลัวของเเม่ทัพทหารจะรู้สึกได้ดีกว่าถ้าไม่ยอมเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาสูงสุดเเทน นี่มันแตกต่างกับวิธีการของผมจริงๆเพราะแบบนี้เธอเลยเข้ามาถามถึงวิธีการสร้างความหวาดกลัวสินะ
“หญิงสาวคนนี้ควรทำอย่างไรดีเพื่อให้พวกทหารเกรงกลัวเธอ ฝ่าบาท?”
“อืมมม. เธอน่ะมีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างสวยงามเลยเป็นเรื่องยากเสียหน่อย”
“พวกเขาจะกลัวเราไหมถ้าเรามีรอยแผลเป็นบนใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้”
“เจ้าเด็กโง่ อย่าคิดอะไรได้เพียงมิติเดียวสิ? คิดให้ดีๆ หน่อย”
“มีเพียงขุนนางและพี่พิสลาซูลีเท่านั้นที่เรียกหญิงสาวผู้นี้ว่าเด็กโง่นะ……”
ฟาร์เนเซทำหน้าบูดบึ้ง เมื่อไม่นานมานี้เธอได้รับการศึกษาจากทั้งผมและลาพิสเทียบกับผมแล้ว ลาพิสสอนเธออย่างรุนแรงกว่าผมมาก เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในห้องนี้ ที่ใช้ชีวิตของเธอโดยเชื่อว่าเธอเป็นอัจฉริยะ เธอคงจะน้อยใจหากเธอได้รับการปฏิบัติไม่ดีบ่อยๆ ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจเลยพูดให้เเบบอ้อมๆ
“ผมจะบอกเคล็ดลับดีๆให้ฟังจะเอาไหม”
วันถัดไป.
ฟาร์นาเซ่ ซื้อสุนัขล่าสัตว์มา 15 ตัว เอวของสุนัขล่าสัตว์นั้นเพรียวบางดังนั้นพวกมันจึงดูผอมแห้ง แต่ขนของพวกมันช่างดีเลิศ พวกมันเป็นสายพันธุ์ที่พวกราชวงศ์ชอบเลี้ยงกัน จึงมีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ สุนัขติดตาม เชื่อฟังเเละไม่ทิ้งเจ้านายแม้แต่วินาทีเดียว
— ข้าเห็นเเม่ทัพกลายเป็นพวกรักสุนัขไปซะเเล้ว
— การเลี้ยงสุนัขล่าสัตว์เป็นงานอดิเรกที่ดี พวกมันสามารถดมกลิ่นของศัตรูและไล่ตามพวกมันได้ มันจะเป็นสิ่งช่วยในความสะดวกสำหรับกองทหารได้เเน่ๆ
ทหารรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และเคี้ยวเนื้อแห้ง แม้ว่าพวกเขาจะโยนเนื้อแห้งบางส่วนเพื่อความสนุกสนานไปให้พวกสุนัข แต่สุนัขล่าสัตว์ก็ไม่ได้เหลียวเเลชิ้นเนื้อนั้นเลย
ฟาร์นาเซ่ ได้ซื้ออาหารและเลี้ยงสุนัขด้วยตัวเอง อาหารสุนัขดูหรูหรากว่าอาหารที่คนกินอีก พวกพลทหารบางคนพูดติดตลกว่า ท่านเเม่ทัพเลี้ยงลูกแกะได้ดีกว่าพวกเขาอีกและเริ่มหัวเราะคิกคักกัน หลังจากที่ได้เห็นสายตาของฟาร์เนเซกำลังเตรียมอาหารอันโอชะสำหรับสัตว์ร้ายนั้น บางคนก็พูดว่าพวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในที่สุดเธอก็ทำตัวเหมือนเด็กสาวปกติสักที ในขณะที่คนอื่นๆ กังวลว่าท่านเเม่ทัพจะใช้อารมณ์ส่วนตัวมารบกวนคำสั่งของกองทัพ เหล่าทหารมองดูอาหารสุนัขสุดหรูด้วยความอิจฉาด้วยความยินดีครึ่งหนึ่งและกังวลใจอีกครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้ได้เวลาที่กองทัพของผมต้องเริ่มทำสงครามเเล้ว เหล่าทหารที่นอนหลับอย่างเต็มที่เเละกินจนอิ่มท้อง
พวกทหารในตอนนี้มีตายตาที่เเจ่มชัดเเม้ต้องเจอกับลมในฤดูหนาว ทหารราบคนแคระ 3,500 คน ทหารม้าเซ็นทอร์ 500 คน และแม่มด 50 คนที่ได้รับการว่าจ้างจากเมืองกำลังยืนอยู่บนทุ่งฤดูหนาวเพื่อรอคำปราศรัยของเเม่ทัพก่อนที่เราจะออกเดินทาง มีคนมาชุมนุมกันอยู่รอบๆนอกทุ่งนั้น ทุกคนเป็นพ่อค้าเร่ โสเภณี คนจำพวกนี้อาศัยอยู่ด้วยเท้าที่ยุ่งวุ่นวายตลอดเวลาโดยจะติดตามทุกที่ที่กองทัพเดินทางไป
“……”
ในขณะที่ถือดาบเเละสวมชุดเเม่ทัพอย่างเป็นทางการ ก็เดินขึ้นไปบนแท่น ไม่มีการตกแต่งใดๆบนใบดาบดาบจึงมีขนาดที่เล็ก รูปลักษณ์ของอาวุธนั้นบางเบา มันจึงเหมาะกับรูปร่างของนาง สุนัขล่าสัตว์ตามเจ้านายของพวกมันขึ้นไปบนแท่น จากนั้นสุนัขก็ยืนอยู่รอบตัวเธออย่างเงียบ ๆ
ฟาร์นาเซ่ ดึงใบดาบของเธอออกมา เมื่อได้ยินเสียงโลหะ สุนัขล่าสัตว์ก็มองไปข้างหลังขอพวกตัวเอง ดาบสีฟ้าใสกรีดคอยาวของสุนัขพวกนั้นเลือดไหลพุ่งออกมา สุนัขตัวอื่นไม่ตอบสนองต่อการกระทำนั้นเลย นางทำการฆ่าสุนัขล่าสัตว์ทั้งหมด 15 ตัว และสุดท้ายหมาพวกนั้นก็ไม่เห่าออกมาแม้แต่ตัวเดียว เลือดไหลรินลงมาจากแท่นอย่างไร้เสียงเเละถูกความเงียบกลืนกินลงไป
—……
ทหารทุกคนกลั้นหายใจ พวกเขาไม่กล้าสบตากับท่านเเม่ทัพในตอนนี้
ผู้คนจะกลัวแม่ทัพที่ฆ่าสุนัขล่าสัตว์อย่างไร้ความปราณีซึ่งเธอเลี้ยงดูมาอย่างล้ำค่า พวกเขาจะกลัวแม่ทัพที่เงียบงันซึ่งหน้าไม่แสดงอารมณ์ระหว่างการฆ่าพวกสุนัขทั้งหมด และพวกเขายังกลัวความจริงที่ว่าเเม่ทัพประเภทนั้นเป็นเพียงหญิงสาวอายุ 16 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาจะกลัวเจตนาเบื้องหลังเเม่ทัพที่พยายามฆ่าสัตว์เลี้ยงของเธอซึ่งเธอได้เลี้ยงดูประคบประหงมพวกมันจนถีงวันที่กองทัพออกเดินทาง ขณะที่เหลือบมองดูหัวของสุนัขที่ถูกตัดหัวที่กลิ้งไปมา พวกนายทหารก็ลูบลำคอของตัวเอง
ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ได้เอื่อนเอ่ยคำออกมา
“เดินทัพ.”
กองทหารก็เชื่อฟัง
พยุหยาตราตอบสนอง ต่อคำสั่งนั้น