Dungeon Defence – ตอนที่ 48

หนึ่งชั่วโมงต่อมา การประหารชีวิตก็ได้เริ่มขึ้น

ฟาร์นาเซ่ ได้ทำรูในน้ำแข็งบนแม่น้ำนั้นนักโทษทั้งสามจะถูกโยนลงไปในหลุมที่ถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำจนหมดทั้งตัว แต่จมไปถึงจุดที่น้ำถึงคางเท่านั้น เธอได้สั่งให้แม่มดแช่แข็งแม่น้ำที่ขุดไว้ หลังจากนั้นร่างของนักโทษก็ติดอยู่ในน้ำแข็ง โดยมีเพียงหัวที่โผล่พ้นออกมา ฟาร์นาเซ่ ก้มลงและสบตากับพวกเขา

“มีคนบอกเราในเเม่น้ำเเห่งนี้มีสัตว์ประหลาดแก่ ๆ แฝงตัวอยู่ในแม่น้ำสายนี้ จงอดทนไว้ให้ดีล่ะ”

ใบหน้าของนักโทษกลายเป็นสีซีดเซียว

พวกอสูรที่อาศัยอยู่ในน้ำเเหวกว่ายเข้าหา  ปรากฏมองออกมาเห็นเป็นเงาของสัตว์ร้ายที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้พื้นน้ำแข็ง

พวกนักโทษเริ่มจะกรีดร้องและโวยวายออกมา ในขณะเดียวกันของการเคลื่อนไหวที่รุนเเรงของ สัตว์ร้ายก็พุ่งเข้าใส่ร่างกายส่วนล่างของพวกมัน และเริ่มฉีกร่างนั้นออกมาเป็นชิ้นๆ

— ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ!

— เราขอโทษ ท่านแม่ทัพ! เราขอโทษ!!!

ทีละเล็กทีละน้อย

ที่ใต้น้ำน้ำแข็ง สัตว์ร้ายได้กัดกินเนื้อของนักโทษไปทีละน้อย สัตว์ประหลาดฉีกเท้าออกด้วยฟัน กัดกินเนื้อที่เอว และแทะไปที่ปอดของนักโทษ เมื่อเวลาผ่านไปเสียงกรีดร้องก็ค่อยๆอ่อนลง อ่อนลง เเละเเล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทหารหลายพันคนที่เฝ้าดูการประหารชีวิตนิ่งเงียบ มีเพียงหัวของอาชญากรเท่านั้นที่ยังคงอยู่เหนือน้ำแข็ง ในขณะที่ใต้พื้นน้ำแข็ง มีน้ำสีแดงเข้มกระจายออกเเละย้อมไปทั่วบริเวณ

ฟาร์นาเซ่ เหลือบไปเห็นเลือดที่กระจายอยู่ใต้เท้าของเธอ

จากนั้นเธอก็ยกศีรษะของนักโทษขึ้นเเละเพราะร่างกายถูกฉีกกระชากออกจากหัวแล้ว หัวของพวกมันจึงหลุดออกจากน้ำแข็งได้อย่างง่ายดายฟาร์นาเซ่ ตรวจดูใบหน้าที่เย็นชาด้วยความเจ็บปวดและพึมพำราวกับผู้พิพากษาที่ให้คะแนนผลงานของจิตรกรอันดับ 3

“นี้มันยังไม่น่าสนใจพอ รูปร่างหัวของพวกมันยังดูใช้ไม่ได้”

ฟาร์นาเซ่ โยนหัวไปให้กับนายทหาร

“เสียบประจานหัวพวกมันซะ”

หัวของนักโทษถูกเสียบไว้บนท่อนไม้และนำไปวางที่ใจกลางของหมู่บ้านเเละ สลักคำว่า ‘ผู้ข่มขืน’ลงบนใบหน้าของพวกมันด้วยมีด เลือดไหลรินลงมาตามรอยใบมีดนั้น เเละกลางดึกของคืนนั้นเอง อากาศอันหนาวเหน็บสุดขั้วได้หยุดเลือดที่ไหลออกมาในที่สุด

วันรุ่งขึ้น พวกทหารเดินทัพออกไปทิ้งหัวที่ถูกตัดขาดไว้ข้างหลังแล้วข้ามผ่านผืนแผ่นน้ำแข็งนั้น ขณะก้าวข้ามผ่านทางน้ำแข็ง ทหารมักจะมองลงไปใต้ฝ่าเท้า ดูเหมือนว่าความคิดของหัวที่ถูกตัดออกมาจะยังคงวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขา  หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาไม่มีทหารคนไหนที่กล้าขัดคำสั่งเเม่ทัพอีกต่อไป

ตอนนี้ผมกับลาพิสทำการประเมินคะเเนนโดยประมาณ

“เห็นไหม? 30 คะแนน”

“ดูเหมือนว่า 20 คะแนนสำหรับเรานะ”

ฟาร์นาเซ่ได้ เลือกเพียงตัวเลือกเดียวโดยการใช้เเค่ความหวาดกลัว เเต่ไม่มีบทลงโทษที่เเน่นอนมีเพียงความกลัวที่คลุมเครือเท่านั้นที่เต็มไปทั่วหัวใจพวกทหาร  เนื่องจากเต็มไปด้วยความคลุมเครือ การลงโทษจึงไม่มีรูปแบบ และเพราะไม่มีรูปแบบนั่นเอง เลยไม่สามารถคงไว้ในกฏเกณได้โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับใช้

การลงโทษของ ฟาร์นาเซ่ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการลงโทษได้ บัดนี้นายทหารคงเกรงกลัวฟาร์นาเซ่ที่ออกกฏลงโทษนั้น เหมือนเด็กที่กลัวพ่อแม่ เหมือนผู้ปกครองที่พยายามจะทำลายลูกของตนด้วยอำนาจ  เหมือนกับผู้มีอำนาจปกครองเมืองด้วยความหวาดกลัว  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทั่วไปที่คนเป็นพ่อเเม่เขาทำกัน 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่พ่อแม่ที่น่ากลัวจะเป็นผู้มีอำนาจที่น่ากลัวเช่นกัน เป็นเรื่องที่น่าเย้ยหยั่นสำหรับใครก็ตามที่พยายามบริหารประเทศอย่างถูกต้อง เมื่อพวกเขาไม่สามารถปกครองบ้านเรือนของตนเองได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แม้จะใช้วิธีขงจื๊อและเมนซิอุสก็ตาม

ลาพิสถอนหายใจ

“ฝ่าบาท เราคนนี้ผิดหวังจริงๆ การเติบโตของนางในอัตรานี้ นางจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้แม้เวลาจะผ่านไปอีก 5 ปีก็ตาม”

“เธออยากจะแนะนำอะไร?”

นัยน์ตาของลาพิสฉายประกายอย่างเย็นชา

—การเรียนรู้การท่องจำถือกำเนิดขึ้นที่นี่ในช่วงเวลานี้

ลาพิส ได้สั่งสอนฟาร์นาเซ่ ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

ในที่ที่พวกทหารมองไม่เห็น ลาพิส ได้ทุบตีและฝึกฝน ฟาร์นาเซ่ ลาพิสไม่เคยเลยที่จะชมเชยอีกฝ่าย เเละไม่เคยภูมิใจในตัวเธอ ลาพิสได้สอน ฟาร์นาเซ่เข้าถึงวิธีที่จะไม่ก้มหัวให้ต่ำ สอนทำอย่างไรไม่ให้พูดติดอ่าง วิธีที่จะไม่แสดงอารมณ์บนใบหน้าของเธอ วิธีที่จะไม่งอหลัง และวิธีที่จะไม่ทำลายการเดินของเธอ ลาพิสพูดอย่างเงียบๆ

“มองตรงๆ พูดตรงๆ. เดินตรงไป”

ฟาร์นาเซ่ ได้เรียนรู้ขณะถูกทุบตี หลังจากถูกซ้อมมาเเล้วเป็นเวลากว่า 4 วัน ก็เป็นตอนที่ฟาร์เนเซแทบจะไม่ได้เตรียมคำพูดในการพูดสุนทรพจน์เลย ลาพิสยังสอนให้เธอปรับมุมการมองอย่างเหมาะสม ทิศทางการก้าวย่างของเธอเอง และตำแหน่งที่จะเน้นคำพูดของเธอ ในที่สุด ต่อหน้าทหารที่จ้องมอง ฟาร์นาเซ่ การกล่าวสุนทรพจน์ก็เริ่มขึ้น

– จงรักษาความกล้าหาญเอาไว้ให้ดี อย่าพยายามพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดทุกครั้งที่ทำได้นั่นไม่เรียกความกล้าหาญ จงรักษาความเมตตาของตัวเอง อย่าพยายามให้ความเมตตาแก่ผู้อื่นเมื่อตัวเองอยากจะให้ จงควบคุมความต้องการทางเพศไว้ อย่าพยายามจับและข่มขืนใครๆหรือเเม้เเต่เด็กเมื่อใดก็ตามที่ต้องการ ความกล้าหาญที่มีเมื่อต่อสู้เคียงข้างเพื่อนร่วมรบนั้นไม่ใช่ความกล้าหาญ ความเมตตาที่มอบให้ศัตรูของเราไม่ใช่ความเมตตากรุณา ตัณหาที่ระบายใส่สหายร่วมรบไม่ใช่ตัณหา เเม่ทัพผู้นี้ดูถูกทหารที่กล้าหาญเมื่อไม่ควรทำ เเละแสดงความเมตตาเมื่อไม่ควรทำ และข่มขืนใครเมื่อไม่ควรทำ

.

— สิ่งที่เเม่ทัพคนนี้ต้องการคือความกล้าหาญจากท่านสุภาพบุรุษทั้งหลายที่จะใช้เพียงเพื่อฟันคอของศัตรูเท่านั้น ความเมตตาของคุณจงใช้เพื่ออภัยสหายร่วมรบของตัวเองเท่านั้น และสำหรับของตัณหาของตัวเองจงใช้มันเพียงเพื่อเเย่งชิงครอบครัวของศัตรู จงรักษาความกล้าหาญนี้ไว้ จงรักษาความเมตตานี้ไว้ จงรักษาตัณหานี้ไว้ และจงอุทิศเเด่ความหวาดกลัวและจงถวายความหวาดกลัวนี้ให้กับเเม่ทัพคือเราคนนี้ ในทางกลับกัน ศัตรูทุกคนบนโลกใบนี้จะหวาดกลัวพวกคุณสยดสยองเมื่อได้เห็นหน้าเป็นเครื่องบรรณาการเป็นการตอบเเทน

มีเเค่เหล่าทหารเท่านั้นที่ส่งเสียงเชียร์

หลังจากกล่าวสุนทรพจน์เสร็จสิ้น ลาพิสทำการประเมินผล

“30 คะแนน เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสามารถด้นสดได้ถึงระดับนั้น

“……”

ฟาร์นาเซ่หันมามองผม ใบหน้าของเธอยังคงไร้ความรู้สึก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมสัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่จะกู้คืนศักศรีเเผ่ออกมาจากดวงตาของเธอ

“ฝ่าบา……”

ผมยิ้มอย่างสดใส

“10 คะแนน มันเป็นคำพูดที่น่าสมเพช เธอคงต้องถูกทุบตีมากขึ้นกว่านี้”

“แม้แต่ฝ่าบาทก็ด้ว……”

ฟาร์นาเซ่ คุกเข่าลงบนหิมะ

ฟาร์เนเซคงไม่รู้หรอกว่าในที่ที่เธอไม่อยู่ ผมกับลาพิสคุยกันถึงวิธีการให้ศึกษาที่เหมาะสมกับเธอตลอดทั้งคืน

เราคงเป็นคู่รักที่รักมากเกินไปหน่อย สำหรับลูกสาวของพวกเรา

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดีหรือไม่ดี ฟาร์นาเซ่ กำลังเติบโตไปในทางที่เหมาะสมกับตำเเหน่งเเม่ทัพของจอมมาร

ทหารที่ติดตาม ฟาร์นาเซ่ จะกลายเป็นกองทัพของ จอมมาร โดยสมบูรณ์

ฟาร์เนเซ ปกครองกองทัพในฐานะแม่ทัพ ผมดูแลกองทัพในฐานะกษัตริย์ และลาพิสสนับสนุนกองทัพในฐานะที่ปรึกษา ฟาร์เนเซ นำทหารด้วยความหวาดกลัวที่ด้านหน้า ผมคอยยึดมั่นทหารด้วยความเมตตาเป็นศูนกลาง  และลาพิสทำให้ทหารสบายใจด้วยความรอบคอบที่ด้านหลัง นั่นคือหน้าที่ของพวกเรา ไม่มีช่องว่างระหว่างเราสามคน เราใช้ข้อดีของกันเเละกันตามลำดับและประสานกันอย่างแน่นแฟ้นเหมือนตัว จิ๊กซอร์ 凹凸 ยุทธศาสตร์-การบริหารงานบุคคล-กองบัญชาการโลจิสติกส์รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ในจำนวนนี้ ถ้าเราจะพูดถึง ลาพิส ซึ่งดูแลคำสั่งด้านลอจิสติกส์ ส่วนใหญ่เธอจะเดินตามหลังกระบวนทัพของเราในขณะที่ขนเสบียงเเละวัสดุต่างๆ ที่ด้านหลังกองทัพของเรา ไม่เพียงมีแต่เกวียนเท่านั้น แต่ยังมีพ่อค้าเร่ คนขายของ และโสเภณีด้วย เป็นหน้าที่ของ ลาพิส ในการดูแลและจำกัดอิสระของคนพวกนี้

เธอช่างไร้หัวใจ

เป็นคนรักที่เลือดเย็นกับผมและเป็นคนโหดร้ายกับฟาร์เนเซ นั่นเเหละสิ่งที่ลาพิส ลาซูลีเป็น ไม่มีทางที่หินลาพิสนั้นจะดูแลพ่อค้าเร่ด้วยความเมตตาเผื่อเเผ่หรอกนะ

เมื่อ ฟาร์นาเซ่ สังหารทหารไป 2 นาย ลาพิส ได้ตัดหัวพ่อค้าเร่ไปแล้ว 20 คน ลาพิสไม่ยกโทษให้คนที่รบกวนการค้า เธอลงโทษทุกคนที่กระทำการหลอกลวงทหารอย่างน่าสยดสยอง เธอเป็นคน กำหนดความรุนแรงของการลงโทษโดยติดสินโทษทันที ในวันเดียวกับที่คำตัดสินโทษออกมา

การพิจารณาคดีของลาพิสนั้นสั้นเสมอ

“กรีดคอของมันซะ”

“เเยกชิ้นส่วนแขนขาออกมา”

“ผ่าท้องเเล้วควักเครื่องในออกมาทิ้ง”

“ฝังมันทั้งเป็น”

เป็นคำตัดสินนั้นเข้าใจง่ายและไม่มีที่ว่างสำหรับการตีความไปทางอื่น

ความจริงที่น่าสยดสยองกว่าก็คือ วิธีการลงโทษมีเเต่เป็นการประหารชีวิตเพียงอย่างเดียว

การประหารชีวิตโดยการตัดหัวนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องเมตตา ตัวเลือกรองลงมาคือการนำนักโทษไปติดไว้ที่ล้อเเล้วปล่อยให้เกวียนวิ่งไปเรื่อยๆนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอันดับสองรองจากการตัดหัว ความภาคภูมิใจทั้งหมดเพียงเล็กน้อยที่พยายามอดกลั้นเอามาไว้พอมาจนถึงจุดนี้ต่างพังทลายลง

อย่างน้อยก็ยังดีที่สามารถมองดูศพแล้วพูดว่า ‘ผู้ชายคนนี้เป็นก็อบลิน’ หรือ ‘ผู้ชายคนนั้นคือออร์ค’ โดยระบุรูปร่างของพวกเขาได้ล่ะนะ

อย่างไรก็ตาม  คนที่โกงเเละปฏิบัติต่อพวกโสเภณีเหมือนเป็นทาสและขโมยเงินค่าจ้างนั้น จะโดนนำไปเชือดเนื้อเถือหนังออกทั้งๆยังมีชีวิต หรือฉีกอวัยวะภายในออกมาเหมือนพวงก๋วยเตี๋ยว หากพวกพ่อค้าหากำไรจากทหารที่โง่เขลาอย่างไม่เป็นธรรม ก็ไม่มีศักดิ์ศรีที่นี่แต่อย่างใด มีเพียงอวัยวะภายในเท่าถูกกระชากออกมาเเทนที่ความละโมบนั้น

ลาพิสคนนี้เเสนจะเย็นชา

หากมีข้อผิดพลาดเพียงรายการเดียวในสมุดบัญชี ใครบางคนจะต้องตายในวันนั้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย แม้ว่าตัวเลขจะตรงกับรายการ แต่ในฐานะบุคคลที่มีอาชีพเป็นพ่อค้ามาก่อน เธอสังเกตเห็นการหลอกลวงและแน่ใจว่าจะฆ่าคนที่รับผิดชอบได้เเน่ๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอก ลาพิส ซึ่งเคยเป็นคนคิดที่จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้บริหารในบริษัท คึนคัสก้า

เนื่องจากทหารที่อยู่ด้านหน้ากลัวเเม่ทัพ ฟาร์นาเซ่ และ พวกพ่อค้าที่ด้านหลังกลัวการลงโทษของ ลาพิส ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของกองกำลังของเราจึงราบรื่น

เสียงของคนที่ไม่พอใจ ฟาร์นาเซ่ โดยกล่าวหาว่าเธอเป็นหญิงโสเภณีได้หายไป คำดูถูกที่ดูหมิ่นลาพิสด้วยการเรียกเธอว่าลูกครึ่งมนุษย์ และความหยาบคายต่างๆก็หายไปด้วย

ทั้งหมดที่ผมต้องทำก็เเค่อยู่เฉยๆเท่านั้นเอง

แม้ว่าจะยุ่งวุ่นวายไปบ้าง เเต่การเดินทัพก็ดำเนินไปอย่างไม่มีปัญหา

ระหว่างการเดินทางของเราเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ นายทหารพูดด้วยความประหลาดใจว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขาที่ได้สัมผัสกับการเดินขบวนได้ราบรื่น เช่นนี้ เพราะปกติเเล้วกองทัพจะสูญเสียพลังงานไปอย่างมากและเเรงจูงใจที่จะไปต่อของพวกเขาจะอ่อนเเอลง แต่ว่ากองทัพของฝ่าบาทพอยิ่งเดินมากขึ้นเเรงจูงใจของเราก็มากขึ้นเช่นกันจึงเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะบารมีที่แท้จริงของท่านเเน่ๆที่เป็นหมุดหมายในครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้ด้วยดี นี่เป็นสิ่งที่นายทหารกล่าว

ผมซึ่งจริงๆนะ เเล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ ทั้งหมดที่ผมต้องทำคือให้ค่าจ้างตรงเวลา ลงโทษคนที่ยักยอกเงินเป็นบางครั้ง และทหารก็ร้องออกมาว่า ‘ไชโยสรรเสริญให้ฝ่าบาทจอมมารของพวกเรา!’ ด้วยตัวเอง ฟาร์นาเซ่ และ ลาพิส เป็นคนที่ทำงานหนักต่างหาก แต่ผมเป็นคนที่ได้รับการยกย่องทั้งหมด

นี่สิถึงเรียกว่าเป็นวิธีการชนะในชีวิต

Bonjour—.สวัสดี

และเช่นนั้น หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป

ทุ่งโล่งปรากฏออกต่อหน้าพวกเรา

ได้ยินเสียง เเก้งๆ เเก้งๆ เป็นเสียงของลำธารเยือกแข็งที่แตกออกดังก้อง ทหารกำลังถือเครื่องมือและทุบน้ำแข็ง เมื่อผ่านชายเหล่านั้นไป ก็มีเต๊นท์ตั้งเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน

ทิวทัศน์นี้แผ่ออกไปจนสุดขอบฟ้า กระแสน้ำไหลมาแต่ไกลก่อนที่เราจะได้เห็นเต็นท์บังตา มันยังคงไหลต่อไปในจุดที่มองไม่เห็นและออกมาในที่ๆแปลกตาที่อื่นเเละไหลต่อไปอีกเรื่อยๆ ในทุกๆจุดที่ลำธารมีน้ำออกมา มีก็อบลิน 10 ตัวอยู่ตรงนั้นและกำลังทุบไปที่น้ำแข็ง 

ฟาร์นาเซ่ ตรวจสอบเส้นขอบฟ้าด้วยตาของเธอ

“กองทัพขนาดใหญ่ประมาณ 60,000……นาย”

ผิวสีน้ำเงินเข้มของออร์ค ผิวหนังย่นสีเขียวของก็อบลิน และผิวสีเทาของโทรลล์ที่แข็งแรง อัดแน่นอยู่ในค่ายทหาร มันเต็มไปด้วยสีสัน เผ่าพันธุ์ต่าง ปะปนกันและดิ้นไปมาเหมือนรังมด พวกนั้นตั้งโลกของตัวเองไว้ที่นี่เเล้ว

มันเป็นโลกที่ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งจริงๆ ขอปฏิเสธอย่างสุภาพ ผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าไปในที่ๆแออัด ถูกรุมล้อม และอัตคัตมากๆขนาดนั้นนะ

“มันจะเป็น 60,000 คนจริงๆเรอะ? ก็อบลินที่นี่ไม่เห็นจะสวมเสื้อผ้าเลย พวกนั้นคงน่าจะเป็นคนใช้และไม่ใช่ทหารเเน่ๆ น่าเป็นห่วงจริงๆ……”

“ท่านกังวลเรื่องอะไรหรือฝ่าบาท”

“เพราะพวกเขาได้ผสมกองทัพทหารที่ต่อสู้ร่วมกับคนรับใช้ เเละไม่มีวินัยทหารที่เข้มงวดพอ  ผมกลัวว่าจำนวนทหารอาจมีมากมาย แต่ความจริงแล้ว คุณค่าที่เเท้จริงไม่ตรงกับปริมาณที่มี”

ขณะที่จ้องมองไปยังกลุ่มกองกำลังพันธมิตรจอมมารซึ่งรวมตัวกันที่นี่เพื่อปราบปรามมนุษย์ ฟาร์นาเซ่ ได้พูด ดูเหมือนเธอจะถูกครอบงำด้วยจำนวนเต็นท์ที่ปกคลุมสนาม

“แต่เเค่นี้มันยังไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่อีกหรือ?”

“ก็เเค่ค่อนข้างพอตัว.”

ผมพยักหน้า.

“ทัศนียภาพอันงดงามนี้ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ”

เดือนที่ 2 และวันที่ 12

พวกเราเดินทัพมาถึงพื้นที่เเห่งสัญญา

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset