Dungeon Defence – ตอนที่ 74

▯ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน

ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 3

โพลส์, ที่ราบ บรูโน

 

 

 

มีพิธีกรรมสงครามแบบหนึ่งที่กองทัพนับหลายหมื่นคนต้องมาเผชิญหน้ากับอีกกองทัพนับหลายหมื่นเหมือนกัน มันถูกเรียกขานว่าพิธีประกาศสงคราม ในโลกนี้ ผู้คนต่างถือว่าวาจาที่เอ่ยออกมาล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กว่าข้อความลายลักษณ์อักษร การประกาศสงครามจึงต้องพูดออกมาจากปากของใครก็ตามที่อยู่ท่ามกลางสงครามครั้งใหญ่ที่กำลังจะอุบัติขึ้นเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์

 

 

ทันทีที่ผู้พูดเอื่อนเอ่ยประกาศสงครามต่อเหล่าหน้าคนนับหมื่นจบ กองกำลังพันธมิตรจอมมารจะไม่เป็นเพียงกองกำลังพันธมิตรธรรมดาอีกต่อไป และจะถูกเรียกว่า พันธมิตรจันทร์เสี้ยว (Crescent Alliance)แทน เป็นเพราะพวกปีศาจเคารพบูชาดวงจันทร์และกลางคืน โดยเอาชื่อจากธรรมชาติที่พวกเขาเคารพและนับถือมากที่สุดมารวมกันเป็นเพื่อกลายเป็นชื่อของกองกำลังพันธมิตรที่แข็งแกร่ง

 

เเละในทันทีที่วจนะได้จบลง พวกทัพมนุษย์จะไม่เป็นเพียงเเค่ กองกำลังพันธมิตรมนุษย์ อีกต่อไป แต่จะถูกเรียกว่า ทหารแห่งไม้กางเขน(Soldiers of the Cross) ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แทนแสงของดวงอาทิตย์ เป็นเพราะพวกมนุษย์นั้นเคารพในดวงอาทิตย์ มันส่องสว่างราวกับว่าทั้งคืนนั้นอยู่ในช่วงพลบค่ำเพรียกหาไปจนกระทั่งย่ำรุ่ง

 

 

สงครามระหว่าง พันธมิตรจันทร์เสี้ยว และ ทหารแห่งไม้กางเขน บัดนี้มันไม่ใช่สงครามเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนบนผืนแผ่นดินอีกต่อไป นั่นคือพระบัญยัติเเห่งธรรมชาติ นั่นคือพระกรุณาของพระผู้เป็นเจ้าบนท้องฟ้า นั่นเป็นประวัติศาสตร์ของเหล่าทวยเทพ 1,500 ปีตั้งแต่ทวีปนี้ได้ถูกสร้างและอารยธรรมได้ก่อตั้งขึ้นมา เหล่าทวยเทพได้ปล่อยให้เลือดแห่งการสังหารและเสียงกรีดร้องแห่งการฆ่าฟันเกิดขึ้นภายใต้พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถึง 7 ครั้ง

 

ปฏิทินจักรวรรดิ ปีที่ 1506 เดือนที่ 4 และวันที่ 3 เป็นอีกครั้งที่เหล่าทวยเทพได้สั่งให้บันทึกประวัติศาสตร์ครั้งที่ 8 นี้ด้วยหยาดหมึกเเห่งพระโลหิต

 

ในฐานะที่ผมเป็นทูตที่ได้ดำเนินการเจรจาขั้นสุดท้ายนั้นเอง ผมได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้พูดในการประกาศสงครามไปโดยปริยาย ช่างนับเป็นเกียรติจริงจริ๊ง อย่างน้อยที่สุด ดูเหมือนว่าจอมมารตนอื่นๆ หวังว่าผมจะถือว่านี่เป็นเกียรติอย่างยิ่งอะนะ ผมได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่าพวกเขาได้ฝากทุกอย่างไว้กับผมเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ตัวเองนั้นโดนกล่าวโทษเพียงเพราะทำตัวอวดเด่น

 

ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของเหล่าเทพเจ้าหรืออะไรก็ตามที เทพเจ้าทำตัวอวดเด่น ต่อชาวโลกอย่างเรา ที่อยู่ได้เพียงเเค่การกัดก้อนเกลือกิน….

Be it the history of gods or something else, showing off was showing off, so us people of the earth could only live while eating salt.

 

 

โอ้ พระเจ้า พวกท่านนี่ช่างเเสนพิลึกเสียจริง  . ใครจะมาชิงชังน้ำหน้าคนที่ถ่ายทอดวจนะความหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของการฆ่าฟันกันน้ออ? นอกจากนี้ พระองค์เจ้าที่ถูกบูชาโดย พันธมิตรจันทร์เสี้ยว และ ทหารแห่งไม้กางเขน มันก็เป็นเหมือนๆกันนี่เอง ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเหมือนเเค่การทะเลาะวิวาทกันในครอบครัวไม่ใช่รึไงล่ะ? ผมจะยอมรับสรรเสริญการทะเลาะวิวาทของคนในบ้านที่เรียกว่าผืนโลกนี้ก็ได้……

 

 

 

ไม่เป็นไรหรอกถ้าจะด่าว่าผมเป็นไอ้พวกลบหลู่พระเจ้า เพราะผมเป็นไอ้พวกนอกรีตนั้นจริง

 

ไม่เป็นไรหรอกถ้าจะด่าว่าผมเป็นไอ้พวกชั่ว เพราะผมเป็นไอ้พวกป่าเถื่อนนั้นจริง

 

ผมปรารถนาให้โลกทั้งใบลบหลู่พระเจ้าให้มากขึ้นและแปรเปลี่ยนให้ผู้คนกลายเป็นพวกนอกรีต ผมตั้งใจที่จะสวดรับขอพรจากโคลนตมจากผู้คนที่ดูหมิ่นศาสนาและพวกป่าเถื่อนต่างก็ต้องหลั่งโลหิตออกมา

 

 

 

เเสนบริสุทธิ์และเรียบง่าย เป้าหมายของผมคือการกอบกู้โลกที่จะถูกทำลาย ผมตัวเเข็งทื่อเสียขวัญเพราะตกอยู่ในความกลัวของความขัดแย้งนี้หลายครั้ง แม้แต่ตอนนี้เอง ผมเองก็ยังแทบจะทนไม่ไหวกับความรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ

 

ใครจะมาปฏิเสธเป้าหมายนี้ได้กัน?

 

ถ้าหากว่าในที่สุดแล้ว การเผาทำลาย การฆ่าสังหาร และโศกนาฏกรรมที่ผมเป็นคนก่อขึ้น เป็นบทบาทในส่วนช่วยการกอบกู้โลกใบนี้ได้ โอ้อนิจจาเอ๋ย ใครมันจะมาปฏิเสธผมได้อีกล่ะ?

 

เสียงที่ปฏิเสธผมจะสิ้นหวังเพียงใด และฟังดูน่าสมเพชเเค่ไหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงเหล่านั้นจะขึ้นต้นด้วย ‘แต่ว่า… ยังไงก็ตาม… ถึงอย่างนั้น…’

 

 

 

ความจริงที่ว่าพวกเขาต้องขึ้นต้นคำพูดด้วยคำเชื่อมก่อน นี่คือความอาภัพของพวกเขา พวกเขาต้องพับโค้ง โก่ง งอ และรวบรวมคำเพื่อพูดออกมา ในทางกลับกัน ผมอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาได้ก็ผมมันมีอำนาจนี่

 

‘การกอบกู้โลกนั้นถูกต้องเเล้ว’

 

โคตรจะตรงไปตรงมา?

 

ผมจะขอใช้ชีวิตแบบนี้สักครั้ง

 

กวัดแกว่งดาบไปมาตามอำนาจที่มีได้ตามใจชอบและถือแก้วไวน์ในมืออย่างสง่างาม ผมอยากจะลองพูดว่า ‘ใจเย็นๆ เพื่อนเอ๋ย ผมแค่พยายามจะกอบกู้โลกเท่านั้นเอง’ ผมต้องการที่จะเพลิดเพลินกับอำนาจของตัวเองอวดอ้างความสมเหุผลของอำนาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หวังว่าความปรารถนานี้ของผมคงสำเร็จ

 

 

เมื่อข้าราชผู้ติดตามพาผมขึ้นไปบนยอดเนินหิน จอมมารตนอื่นๆเอง ก็อยู่ในทางผ่านของผมระหว่างขึ้นไปยังเนินเขา เหล่าจอมมาร ได้เปิดทางให้ผมอย่างว่องไวขณะที่ผมเดินเข้ามา จากนี้ไปผมเป็นผู้ที่รับผิดชอบพระวจนะของเหล่าทวยเทพ จะไม่มีใครสามารถพูดกับผมอย่างมุทะลุได้อีก แม้แต่จอมมารซึ่งเป็นแม่ทัพผู้บังคับบัญชาการของกองทัพทั้งบาร์บาทอสเอง หรือไพมอน และมาร์บาสก็ยังต้องนิ่งเงียบ

 

ในที่สุด ผมกับผู้ติดตตามก็มาถึงบนก้อนหินแล้ว

 

ข้างล้างนั้นเป็นที่ราบ

 

ผืนทุ่งราบแผ่ออกไปต่อหน้าพวกเรา ผมสงสัยว่าเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาในตอนรุ่งสางรึเปล่าเพราะมีหมอกหนาทึบปกคลุมเหนือที่ราบ ผ่านหมอกที่เปียกชื้นนั้นไป มองเห็นธงโบกสะบัด ทุกครั้งที่ลมพัด ธงนับพันระพือคำรามออกมา

 

“……”

 

เพียงเเต่ผมรู้สึกราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ

 

เป็นความเงียบที่สมบูรณ์แบบ

 

ไม่มีชนชั้นสูงหรือต่ำอีกต่อไปในโลกที่ปกคลุมด้วยหมอก ไม่มีขุนนางหรือแม่มดถูกดูหมิ่น ไม่มีทั้งทหารที่เข่นฆ่าหรือผู้ถูกสังหาร นั้นเป็นเป็นเพราะทุกสิ่งที่มีอยู่ถูกกลบฝังในม่านหมอก

 

พวกแม่มดจ้องมาที่ผม พวกเธอกำลังแจ้งให้ผมทราบว่าการเตรียมการสำหรับประกาศวจนะเเห่งสงครามได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้เสียงของผู้ประกาศจะดังก้องกังวานไปทั่วที่ราบทั้งหมดได้ด้วยคาถาเพิ่มประสิทธิภาพเสียง

 

ฮัมบาบากางนิ้วออกทั้งสองมือเพื่อนับถอยหลัง เเต่เพราะนิ้วนางของมือซ้ายของเธอหายไป ฮัมบาบาจึงไม่ได้เริ่มนับเลขถอยหลังจาก 10 แต่นับจาก 9 เเทน

 

9, 8, 7・・・・・・.

 

ใครก็ตามที่กล่าวสุนทรพจน์ที่นี่จะกลายเป็นศัตรูต่อคนทั้งทวีป

 

ทหารมนุษย์จะสาปแช่งคนคนนั้นในขณะที่ตัวเองตาย และทหารปีศาจจะตำหนิคนคนนั้นเมื่อตัวเองได้พ่ายเเพ้ นั่นคือบทบาทดั่งคนตาบอดที่ต้องรับผิดชอบ เหตุผลที่ผมซึ่งเป็นจอมมารอันดับต่ำที่สุด ได้รับมอบอำนาจให้กล่าวสุนทรพจน์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ นั่นก็เพราะว่าทุกคนไม่ต้องการรับผิดชอบต่อสงครามที่เกิด แน่นอน ทั้งไพม่อน และแม้แต่ บาบาร์ทอส  

 

6, 5, 4・・・・・・.

 

นอกจากนี้ตัวผมเองนั้นเช่นกัน

 

ผมไม่ชอบบทบาทความรับผิดชอบอย่างไร้จุดหมายเท่าไหร่ นั่นไม่ใช่ตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบที่จะรักษาให้ดีจนกว่าจะหมดหน้าที่ใช่ไหมล่ะ? ตามหลักการแล้ว บุรุษผู้สูงศักดิ์ต้องหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายได้ด้วย

 

ดังนั้นเเล้ว

 

ฟาร์นาเซ

 

”อ๊าา”

 

ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะยอมให้อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของผมกับผู้ใต้บังคับบัญชา

 

แด่หญิงสาวผู้ชื่นชอบการถูกสลักชื่อลงในประวัติศาสตร์

 

ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ส่งต่อเกียรติให้กับเธอในการเป็นผู้มีชื่อเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อนและประดับประดาไปด้วยความสับสนอลม่าน

 

 

 

“ขอให้ปลอดภัยระหว่างทางนะ.”

 

ฟาร์นาเซ่ พยักหน้าเบา ๆ และก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าผมได้ยินเสียงร้องของจอมมารที่คอยเฝ้าดูเราอยู่ ปล่อยเสียงตกใจออกมา ผมก็เพิกเฉยต่อพวกเขา เวทย์เพิ่มพลังเสียงได้ถูกร่ายออกมาแล้ว ไม่มีอะไรต่ำตมหรือโกลาหลพอที่จะหยุดวจนะที่เริ่มต้นไปแล้วได้

 

ฮัมบาบาได้ข้ามการนับถอยหลัง 3 วินาทีสุดท้ายไปอย่างชั่วร้ายและเปิดใช้งานคาถา ผมกับแม่มดเดินถอยหลังออกมาแล้วยิ้ม อ่าาาา พวกเรากำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข

 

การศึกษาเกี่ยวกับวิธีการพูดที่ ลาพิส ยัดลึกเข้าไปในหัวของ ฟาร์นาเซ่ ก็เพื่อช่วงเวลานี้ บัดนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งอำนาจจะไม่ถูกสั่นคลอนโดยจอมมารหรือปีศาจ แต่เป็นโดยมนุษย์ ฐานอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดจะถูกท้าทายโดยเด็กนอกสมรสที่ต่ำต้อย เหมือนที่ ลาพิส ได้ทำในวัง นิลฟ์เฮลม์ ของผู้ว่าการ ตอนนี้ ฟาร์นาเซ่ เองก็ถึงคราวที่ต้องกระทำการเเต่งเเต้มไปด้วยมลทินเสียบ้างเเล้ว

 

 

 

เอาล่ะตอนนี้ ลูกสาวของผม

 

จะเป็นผู้กระจายพิษไปทั่วผืนพสุธา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                     —โอ้ มนุษยเอ๋ยจงสดับ

 

 

 

                                     ประวัติศาสตร์โบราณนานมาจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางชนชั้น…

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

…………………………………………………………………………………………………………….

ตอนนี้คือแบบยอมเลย สนุกคนแปล ENG เขาล่ะเล่นจัดเต็มมาซะงงขนาดนั้นเล่นใช้ศัพท์ใช้ประโยคไม่อ่อนโยนเลย  ถึงงั้นก็จบChapterแบบจริงๆเเล้วสักที เพราะงั้นเเล้วบทต่อไป Chapter  6 – จอมมาร

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset