Dungeon Defence – ตอนที่ 91

จอมารเเห่งความอมตะ, อันดับ 8, บาบาร์ทอส

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7

ที่ราบบรูโน ปีกขวาแห่งกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว

Ο

 

“······”

 

ล้มเหลว

 

และเปล่าประโยชน์

 

ข้าเฝ้าดูทหารของศัตรูอันตรธานหายไปท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา

 

วงล้อมถูกทำลาย ทั้งที่ข้าคิดว่ามันสมบูรณ์แบบ ทั้งที่ข้าคิดเหมือนกับไพม่อนว่าสมองของมันยังไม่ตายเเละเข้าใจเเผนนี้ได้ ถึงตอนนั้นข้าแน่ใจแล้วว่าเราชนะเเน่ๆ แต่

 

ข้าไม่คิดถึงมันคิดไม่ถึงไม่พอยังไม่สามารถสกัดกั้นหน่วยทหารม้าของกองทัพเดียวที่โผล่มาจากไหนไม่รู้และแทงเข้าใส่กองทหารของเราด้วยคมเขี้ยวนั้นได้ เมื่อถึงเวลาที่ข้าเเก้ไขความโกลาหลได้อย่างหวุดหวิดและจัดระเบียบกองทหารม้าเพื่อสู้กับศัตรูอีกครั้ง เเละเป็นตอนนั้นเอง ทหารราบของศัตรูก็หนีออกไปอย่างหน้าตาเฉยเเล้ว······

 

Snap กึก    (เสียงกัดฟัน)

 

“······เเม่งเอ้ยยย”

 

อีกเเล้ว.

 

เป็นอีกครั้งเเล้วที่ชัยชนะชี้ขาดหลุดรอดมือข้าไปต่อหน้าต่อตา

 

ข้าเตรียมการมาพร้อมสรรพก็เพื่อเริ่มสงครามครั้งนี้ ข้าเผาเทือกเขา ข้าจัดการข่าวสาร และข้าก็รอดจากวิกฤติที่แทบจะล้มกองพันธมิตรจันทร์เสี้ยวเพราะความล้มเหลวของไอ้เเก่มาร์บาสได้  ทั้งผลลัพธ์ทั้งหมด ช่วงเวลาที่หยาดเหงื่อและเลือดทั้งหมดของข้าที่เสียไปจนถึงตอนนี้กำลังได้รับการตอบเเทน อยู่เเทบใต้จมูกของเรา และ······ข้าก็พลาดเเม่งไป ข้าลงเอยด้วยการพลาดโอกาสนั้นไป

 

“เเม่งเอ้ยยยยย!”

 

มีเเต่ความโกรธที่ระเบิดออกมาจากคอของข้า

 

“อีกนิดเดียว ถ้าเรารีบกว่านี้อีกนิดเดียว······ เราคงจะได้ผืนดิน พื้นที่เพาะปลูก และที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ที่เผ่าพันธุ์ของเราสามารถเพาะปลูกและดำรงชีวิตอยู่ได้เเล้ว เเม่งอีกเเค่นิดเดียว⎯⎯⎯⎯”

 

เพราะรู้สึกเสียดายและรู้สึกผิด

 

เพราะความจริงที่ว่าข้าถูกเยาะเย้ยโดยไอ้สารเลวที่ปฏิบัติต่อสงครามราวกับว่ามันเป็นของเล่นแบบนั้น ข้าจึงรู้สึกเกลียดชังนังนั่น

 

“······ ท่านเจ้าคุณ บาร์บาทอส”

 

เมื่อเข่าของข้ากำลังจะล้มลงก็มีเสียงหนึ่งมาจับที่ต้นคอของข้า ทันทีที่หันไปมอง ลูกน้องของข้า เด็กๆของข้าที่ข้าลากพวกมันมาตลอดจนถึงตอนนี้ กำลังเฝ้าดูข้าอยู่ สายตาของพวกเหมือนกลายเป็นเชือกและพยายามพันตัวข้าเเละดึงข้าขึ้นมาไม่ได้

 

⎯⎯⎯⎯ใช่แล้ว

 

ข้าเป็นเสาหลักของฝ่ายผืนราบ

 

ผู้ที่เป็นผู้นำความประสงค์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดเนิ่นนานเป็นเวลา 500 ปี

 

ข้าเป็นดั่งเงาของเผ่าพันธุ์ของเราที่ใช้วิธีสกปรกอย่างไม่เลือกหน้าหากนั่นหมายความว่าเผ่าพันธุ์ของเราสามารถส่งต่อดินแดนที่อบอุ่นกว่าและแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์กว่าให้กับลูกหลานของเราได้ ข้านั้นไม่ใช่สามัญชนที่คร่ำครวญเพราะต้องมานั่งสำนึกผิด แต่เป็นจอมมารที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในขณะที่แบกรับความแค้นนั้นไว้

 

มันเร็วเกินไปที่จะล้มลง

 

เราล้มเหลวในการรบเพียงเเค่ครั้งเดียว

 

ข้ากลืนก้อนเลือดที่ไหลออกมาจากคอของตัวเอง คว้าเจตจำนงที่พยายามหลบหนีจากข้อต่อของข้าและตอกลิ่มยึดมันลงไป เพิ่มเหล็กกล้าให้กับความกลัวและสลัดใบมีดออกจากความตั้งใจของตัวเอง ข้ายืนขึ้นในฐานะจอมมาร แห่งความเป็นอมตะ

 

“⎯⎯⎯⎯หืม ใช่แล้ว ข้าพลาดว่ะ. ไอ้เชี่ยเอ้ย เอาเหอะ. เรื่องเชี่ยๆแบบนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นได้เเหละ หากมีวันใดที่เราเฆี่ยนตีใครสักคน มันก็มีวันที่คนอื่นเฆี่ยนตีเราได้เช่นกัน แม้ว่าเหล่าทวยเทพจะไม่แสดงความเท่าเทียมกันในแง่ของความรักต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่พวกมันก็ยุติธรรมอย่างเหลือเชื่อเมื่อพวกมันต้องการมอบความทุกข์ยากให้กับทุกคน”

 

ข้ายิ้ม

 

ผู้คนมักยิ้มเมื่อพวกเขากระทำการโหดร้ายกับใครสักคน เนื่องจากข้ามักจะเอาแต่ใจตัวเอง ข้าจึงสามารถแสดงเสียงหัวเราะได้ทุกเมื่อที่ข้าปราถนา

 

“เซปาร์ค ใจซ้ายของข้า”    

(ENG ใช้คำว่า my left atrium ไม่เเน่ใจว่าอารมณ์มันคล้ายพวกลูกน้องมือซ้ายมือขวาหรือเปล่า)

 

“ครับ ท่านเจ้าคุณ เซปาร์ค อยู่ที่นี่เเล้ว”

 

“ข้าได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารม้าศัตรูพุ่งเข้ามา มันเป็นภาษาของพวกฮับส์บวร์ก ไอ้หญิงเลวเอลิซาเบธคนนั้นมันต้องเล่นกลอุบายบางอย่างเเน่ๆ ข้าจะมอบหมาป่าเเห่งความสำนึกผิดให้กับเเก จงไล่ตามนังนั่นไปจนสุดขอบนรกแล้วฉีกมันเป็นชิ้นๆซะ”

 

 “······”

 

เซปาร์ก้มศีรษะลง

 

“ตามที่ท่านสั่ง”

 

“นั่นเเหละ. ทำสำเร็จซะ. ถ้าไม่ เเกก็ตายที่นั่นไปเลย”

 

ข้าดีดนิ้ว ที่เงาของข้าสั่นไหวก่อนจะคายก้อนสีดำออกมา 7 ตัว ซึ่งมันเป็นหมาป่าร้ายสีดำ

 

จับแม่พันธ์ที่ตั้งท้องทั้งเป็นแล้วราดคำสาปแช่งใส่ ทำให้พวกมันกลายเป็นซากศพที่มีชีวิตซึ่งไม่สามารถอยู่หรือตายได้ หลังจากรวบรวมเด็กตายทั้งกลมทั้ง 100 ตัวของเด็กที่เกิดจากซากศพที่มีชีวิตเหล่านั้นเเล้ว สัตว์ประหลาดก็จะเกิดขึ้นมาจากการรวบพวกตายโหงเข้าด้วยกันกลายเป็นหมาป่าเเหงความสำนึกผิดที่คอยรับใช้ข้า

( ENGใช้คำว่า  lemures ซึ่งความหมายของมันคือวิญญาณติดที่ เเต่ในที่นี้ผมขอใช้คำว่า เด็กตายทั้งกลมจะเหมาะกว่า)

 

มีทางเดียวที่จะทำลายพวกมันได้ มีเพียงเเค่แม่ที่เคยคลอดเด็กตายเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นคมเขี้ยวของหมาป่าเเห่งความสำนึกผิดได้ เหตุผลที่แม่มดน่ารำคาญเหล่านั้นสามารถปกป้องดันทาเลียนได้ก็เพราะเหตุผลที่ว่าไป เห็นได้ชัดว่าไอ้พวกแม่มดต้องเคยมีประสบการณ์บางอย่างเช่นการคลอดเด็กตายในท้องมาแล้วหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม หากเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แห่งจักรวรรดิฮับส์บวร์ก ก็คงไม่มีประสบการณ์การคลอดเด็กออกมาได้เเน่

 

“เบเลธ ใจขวาของข้า”

 

“รอคำสั่งของท่านเเล้ว ท่านจอมทัพ”

 

“มีไอ้ผู้หญิงซัคคิวบัสต้อยต่ำที่คอยตามหลังดันทาเลียนอยู่เสมอ มันน่ากำลังจะจัดการเสบียงที่อยู่ด้านหลังกองทัพอยู่ ไปจับนังตัวนั้นมาให้ข้า”

 

“มันไม่ใช่ความชอบของผมเลยที่จะไปคุกคามผู้หญิงและเด็ก ยิ่งกว่านั้น ผมจำได้ว่าเด็กน้อยคนนั้นถูกเรียกว่าเป็นไอ้พวกเลือดผสม ถ้าสุภาพบุรุษสุดอู้ฟู่ เช่นตัวผม ไปแตะต้องคนต่ำต้อยเช่นนั้น ศักดิ์ศรีของผมมันจะไม่เปื้อนเอาเ······”

 

“เเกต้องการให้ข้าทำลายศักดิ์ศรีอันสูงส่งของแกพร้อมกับร่างกายทั้งหมดของเเกตอนนี้เลยไหม”

 

“ตะ…ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมอยากจะลองจับซัคคิวบัสดูให้ได้สักครั้งจังเลยน้าา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง.”

 

อันดับที่ 16 จอมมาร เซปาร์ และอันดับที่ 13 จอมมาร เบเลธ จอมมารระดับสูงสองคนที่สนับสนุนฝ่ายผืนราบได้รับคำสั่งตามลำดับและแยกย้ายกันไป

 

เซปาร์ จะบดขยี้เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ตามดุลยพินิจของตัวเองเองและกลับมา ข้าไม่กังวลเลยแม้ว่ามันจะใช้เวลาหลายวันก็ตาม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้าหญิงจักพรรดิเลย แต่เป็น ดันทาเลี่ยนต่างหาก

 

ข้าแน่ใจอย่างยิ่งว่ามนุษย์เด็กคนนั้นไม่ได้ควบคุมหน่วยของเธอด้วยตัวเธอเอง เธอน่าจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจาก ดันทาเลี่ยน และสั่งเดินทัพเเบบนั้นออกมาเพื่อทำร้ายเรา ถึงจะไม่มีหลักฐานก็ไม่เป็นไร สัญชาตญาณของข้า สัญชาตญาณเนิ่นนานของข้าที่ได้รับการฝึกฝนในขณะที่กระโจนข้ามสถานการณ์ความเป็นความตายในสนามรบหลายสิบหลายร้อยครั้งกำลังบอกข้าอยู่เจ้าสิ่งนี้เจ้า ดันทาเลี่ยน และเด็กผู้หญิงคนนั้น ทั้งสองคนกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ

 

ดันทาเลียน. เเกยังคงน่ารักในสายตาข้าอยู่ถ้าเเกยังคงเล่นทริคน่ารักๆใส่ข้า อย่างไรก็ตาม ข้าพร้อมเสมอที่จะเชือดคอเเกถ้าเเกกล้ากัดฟันใส่ข้า ข้าจะแสดงมันให้เห็นในตอนนี้เเหละ

 

หลังจากนั้นไม่นาน เบเลธ ก็กลับมาพร้อมกับซัคคิวบัสผมสีชมพู ข้าล่ะสงสัยว่าเขาตบเธอสองสามครั้งเพื่อเป็นการเตือนหรือเปล่าเพราะแก้มขวาของเธอมีรอยฟกช้ำอยู่

 

“······”

 

ถ้าข้าจำไม่ผิด เธอชื่อ ลาพิส ลาซูลี แน่นอน แม้ว่าเลือดจะไหลลงมาที่ข้างปากของคนที่ต่ำต้อย แต่เธอก็ยังคงจ้องมองมาทางข้าอยู่ เธอมองข้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ราวกับว่าเธอกำลังตักเตือนข้า แม้ว่าเราจะพบหน้ากันหลายครั้งทุกครั้งที่ข้าเข้าและออกจากที่อยู่อาศัยของ ดันทาเลี่ยน ไม่ว่าข้าจะมองเธอกี่ครั้งข้าก็ไม่ชอบการจ้องมองที่ดุร้ายของเธอเลย

 

“ผมพาเธอมาแล้ว ท่านผู้บัญชาการ เนื่องจากเธอผมต้องการให้เธอไม่ต้องขัดขืนผม ผมเลยตบเธอไปก่อนล่วงหน้า ชิ จริง ๆ แล้วมันรู้สึกสกปรกที่จะตบนังอ้อนเเอ้นนี้จริงๆ”

 

“ทำได้ดีมาก ปล่อยเธอลงที่นี่”

 

“ครับ. ตามที่สั่ง”

 

ตุ้บ.

 

เบเลธวางจัณฑาลลงราวกับว่าเขากำลังโยนเธอ เนื่องจากร่างกายท่อนบนของเธอล้มลงก่อน จัณฑาลจึงได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า ด้วยใบหน้าที่ครูดกับพื้นและเต็มไปด้วยน้ำโคลน คนที่เป็นคนรักของดันทาเลียนและเป็นลูกครึ่งมนุษย์ก็จ้องมองมาที่ข้า

 

“······ขออภัย ท่านผู้ยิ่งใหญ่ แต่ท่านผู้นี้ไม่คิดว่าเป็นการต้อนรับที่เหมาะสม ไม่ว่าร่างนี้จะต่ำต้อยเพียงใด ร่างนี้ก็เป็นร่างที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทดันทาเลียนและยังเป็นร่างที่รับผิดชอบในการจัดการส่วนหลังของหน่วยของเขา เหตุใดความเป็นใหญ่ของท่านจึงละเมิดกฎหมายการทหารที่เข้มงวดเกี่ยวกับความสมัครใจฝืนบังคับของผู้บัญชาการท่านอื่น”

 

“ข้าไม่มีความแค้นต่อเจ้าเป็นการส่วนตัวหรอก เด็กน้อย”

 

ข้าจับผมของคนนอกคอกแล้วเงยศีรษะขึ้น น่าแปลกที่เจ้าไพร่คนนี้ไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดหรือคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอเพียงแค่จ้องตาข้าด้วยสายตาที่แน่วแน่

 

“อย่างไรก็ตาม ข้าควารทำอย่างไรกับความคับข้องใจของข้าที่ยังคงทวีคูณขึ้นกับไอ้พวกเด็กๆที่ได้รับความเอ็นดูจากดันทาเลี่ยนกัน? แม้แต่ในระหว่างกล่าววจนะ เเม่งยังทรยศต่อความไว้ใจของข้าอีก และมันก็ใช้วิธีถูกๆ เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษเล็กๆ น้อยๆจากข้า เเกคิดว่าข้าควรทำอย่างไรกับไอ้เด็กคนนั้นกัน มันเป็นคนที่ทำให้แม่ทัพของตัวเองมาเย้ยหยันทั้งฝ่ายของข้าเนี่ย”

 

“······”

 

นางจัณฑาลได้ปิดปากของเธอลง ถูกตัอง. เเกไม่สามารถตอบได้ เเกไม่รู้คำตอบเช่นกัน ข้ายกมุมปากขึ้น

 

“ใช่. ข้าก็เหมือนกัน ข้าไม่แน่ใจจริงๆ ว่าข้าควรทำอะไรต่อจากนี้ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ตอนนี้ข้าวางแผนที่จะไปเยี่ยม ดันทาเลี่ยนสักหน่อยด้วยกันกับเเกและถามอะไรสักอย่างจากกมันเป็นการส่วนตัว ตามข้ามา ไอ้ลูกไพร่”

 

ดันทาเลียน. เป็นความคิดที่ดีที่จะให้เเกอธิบายคำที่ถูกต้องแก่ข้า ไม่ใช่แค่เพื่อความปลอดภัยของเเกเอง แต่เพื่อชีวิตคนรักที่เเกทะนุถนอมคนนี้ที่รักมากไว้

 

“ตอนนี้เราควรวอร์มร่างกายกันก่อนไปเที่ยวหาดันทาเลียนกันดีไหม?”

 

ข้าฉีกยิ้มกว้าง

 

 

 

 

 

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

 

ตอนนี้หลายอย่างเริ่มเข้าที่เรื่องมหาลัยก็เรียบร้อยเเล้วเหลือเเค่รับปริญญาในเดือนมกราคมปีหน้า เลยมีเวลามาแปลให้นิดหน่อย เเต่ก็ยังไม่ได้หางานทำเป็นชิ้นเป็นอันนักได้เเต่หวังว่าช่วงนี้จะปั่นพอร์ดทำเรซูเม่สวยๆเเล้วหาบริษัทสักที่ยื่นเข้าได้นะ หลังจากนั้นคงกลับมาแปลต่อได้ตามปกติถ้าที่ทำงานไม่โยนงานมาให้เยอะจนเวลาน้อยกว่าที่คิด งั้นช่วงนี้เอาเเค่สัปดาห์ละตอนไปก่อนละกันนะ 55555

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset