▯ราชาแห่งไพร่ อันดับ 71 ดันทาเลียน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 8
ที่ราบบรูโน กองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว คุกธรรมดา
Ο
······ให้เวลาข้าคิดสักนิดก่อน
Ο
บาร์บาทอสทิ้งคำพูดนั้นไว้ก่อนจะจากไป คนที่เหลืออยู่ที่นี่มีเเค่ลาพิสและฟาร์นาเซ่ เมื่อลาพิสเป็นอิสระจากตำแหน่งตัวประกัน เธอก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ราวกับว่าเธอไม่รู้สึกรู้สาใดๆกับผลกระทบที่ได้จากการทรมานแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าเราผู้บริสุทธิ์คนนี้จะเป็นผู้ที่ได้รับพระพิโรธเพราะฝ่าบาทนะ เป็นเวลานานแล้วที่เราผู้นี้ได้ลิ้มรสความทรมานเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าจะเกือบจะลืมความจริงที่ว่าเราเป็นคนที่มีสถานะทางสังคมต่ำที่สุดเเล้ว ต้องขอบคุณฝ่าบาทเลย ที่ทำให้เราตระหนักถึงสถานะของเธออีกครั้งเนื่องจากฝ่าบาทกระทำการเช่นนี้”
“······ขอโทษทีนะ. ผมคิดว่าเรื่องมันจะง่ายมากเกินไป ผมไม่คิดว่าบาบาร์ทอสจะลากเธอมาเกี่ยวข้องด้วยซ้ำ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ผมกล่าวคำขอโทษออกมาคำขอโทษที่บาร์บาทอสร้องขอออกมามากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้รับ ซึ่ง ลาพิสก็ได้รับมันไปอย่างง่ายดาย ลาพิสรับเสื้อคลุมจากจากฟาร์นาเซ่และคลุมร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเองไว้ไว้หลวมๆ
“อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาททำได้ดีมาก”
“อย่างนั้นเหรอ?”
“ค่ะ. แม้ว่าเราคนนี้จะถูกลักพาตัวมา แต่ท่วงท่าที่แน่วแน่ของฝ่าบาทก็เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง พูดตามตรง เราคนนี้กังวลว่าฝ่าบาทอาจจะตื่นตระหนกได้ แต่ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีเหตุผลที่ต้องกังวลอีก ถึงแม้ว่าเราผู้นี้จะได้รับอันตราย แต่ก็แน่ใจแล้วว่าฝ่าบาทจะก้าวหน้าต่อไปได้ ขอให้เช่นเดิมทำต่อไป เราคนนี้ก็จะทำตามนั้นเช่นกัน”
จากนั้นลาพิสก็เดินผ่านคบไฟกลับไปที่ค่ายทหารของเรา ถ้าเธอเดินไปมาในสภาพนั้น ก็มีโอกาสจะถูกทำร้ายโดยพวกทหารที่มีความต้องการทางเพศบังตาได้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่กลัวพวกนั้นเลยเเหะ ฟาร์นาเซ่ที่ปิดปากตลอดเวลาพึมพำออกมา
“ตามที่คาดไว้ ฝ่าบาทของเรานั้นไม่ปกติเเน่ๆ ผู้หญิงแบบนั้นจะไปเป็นชื่นชอบของฝ่าบาทได้ยังไงกัน? เธอเป็นผู้หญิงที่จะอยู่อย่างเย็นชา รักอย่างเย็นชา และตายอย่างเย็นชานะ”
“เด็กหนอเด็ก.”
ผู้บัญชาการรักษาการของผมซึ่งรับผิดชอบด้านหน้าของทัพได้พูดจาไม่ดีกับคนรักของผมซึ่งรับผิดชอบด้านหลังทัพของผม ในสถานการณ์เช่นนี้ คนปกติจะเเสร้งทำทัศนคติที่โลเลและพยายามสร้างความประทับใจที่ดีให้กับทั้งสองฝ่าย
“อืม? มีอะไรหรือฝ่าบาท”
“เธอไม่มีทางเปรียบเทียบตัวเองกับลาพิสด้วยความสามารถอันน้อยนิดที่เธอมีได้หรอก”
แและผมไม่ใช่คนธรรมดาเเต่เป็ฯพวกนอกรีต
ผมประกาศออกไปอย่างเคร่งขรึม
“กล้าดียังไงถึงไม่รู้จักเจียมสถานะของตัวเองและปากเสียใส่ลาพิสกัน? ลาพิสเป็นผู้หญิงคนแรกที่รัก และจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายที่จะรัก ถ้าลาล่าพูดออกมาผมก็จะเชื่อ เชื่อยันคำทำนายถึงวันสิ้นโลก อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอพูดออกมาจากปาก ผมอาจจะแค่ตบหน้าเธอก็ได้”
ผมส่งยิ้มเรียบๆให้
“เป็นยังไงบ้าง? ลำดับชั้นได้รับการจัดเเบ่งอย่างชัดเจนในสมองที่เหมือนท่อน้ำทิ้งของเธอหรือยัง”
“······”
ฟาร์นาเซ่ เปิดริมฝีปากตัวเอง
“······มีคนกล่าวไว้ว่าห้ามเข้าไปยุ่งแม้ว่าหมาบ้าจะเห่า แต่หญิงสาวคนนี้ควรทำอย่างไรดีในเมื่อมีหมาบ้าสองตัวคำรามอยู่เหนือเธอกัน? เนื่องจากหมาตัวผู้และตัวเมียมีอาการคลุ้มคลั่งเหมือนกัน ก็ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเป็นเเค่คนธรรมดาเพียงตัวเดียวในโลกนี้เลย”
เด็กโง่นี่พึมพัมอะไรกัน
อยากบ่นอะไรก็บ่นไปเถอะ ลูกสาวของผม
“ไม่ว่ายังไง การคาดการณ์ที่ว่าพ่อของหญิงสาวคนนี้จะปรากฏตัวในสนามรบในไม่ช้าทำให้หญิงสาวคนนี้จะกลับไปเตรียมตัวเตรียทใจให้ดีก่อน หากเป็นไปได้ ฝ่าบาทโปรดอย่าออกจากคุกตลอดไปเลยเถอะนะ······”
ฟาร์นาเซ่ เดินออกไปอย่างอ่อนแรง เธอกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกับที่ลาพิสจากไป ทั้งสองต่างต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกันในเต็นท์ทหารที่สงบสุขตั้งแต่ผมไม่อยู่
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะที่จินตนาการถึงฉากที่ลาพิสกำลังข่มเหงและฟาร์นาเซ่ถูกทำร้ายได้ จิตใจของผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใด เหล่าคนที่แตกหักอยู่ในจุดเดียวที่เรียกว่าครอบครัวของผม รู้สึกราวกับว่าจิตใจของผมนั้นั้นได้เข้าไปในหัวใจที่แตกสลายของพวกเธอและซ่อมมันให้กลับมาไร้ที่ติได่เเล้ว ผมนอนลงบนกองหญ้าแห้งและหลับตาลงอย่างสบายใจ
วันนั้น.
ในห้วงเเห่งความฝัน
เมื่อผมมองลงไปที่พื้น เห็นว่าตัวเองใส่รองเท้าอยู่ รู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ท่ามกลางความฝัน มันค่อนข้างน่าสนใจ เมื่อก่อนผมพยายามฝันแบบให้ตัวเองรู้ตัวอยู่หลายครั้งเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่ผมไม่เคยฝันแบบรู้ตัวชัดเจนเท่านี้มาก่อน
“······”
ทั้งหมดที่ผมเห็นเมื่อมองไปรอบ ๆ รอบตัวตอนนี้คือโลกสีขาวที่กว้างใหญ่ไพศาล มีเพียงผืนดินที่เหมือนกระดาษวาดเขียนที่ยังไม่ได้ลงสีเท่านั้นที่เเผ่ไพศาลออกไปจนสุดขอบฟ้า และในใจกลางของพื้นที่เเห่งความฝันนั้นมีตัวตนที่ชัดเเจ้งปรากฏอยู่นั่นคือ จอมมารไพม่อน ยืนอยู่ตรงนั้นเอง
“······อย่างที่คาดไว้.”
ผมพึมพำออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ไพม่อนเป็นเเมร์ (Mares) ในบรรดาหมู่มวลพวกเเมร์ไพม่อนคือผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นราชินีแห่งเเมร์ แม้ว่า ลาพิส ที่รักของผมจะมีสายเลือดของซัคคิวบัสเเม้เพียงเล็กน้อย แต่ว่าความสามารถในการควบคุมความฝันผู้คนนั้นมีเพียงเเมร์ส่วนน้อยที่ใช้ได้ เเละไพม่อนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่สามารถก้าวล่วงความฝันของคนอื่นได้อย่างง่ายดาย
(หมายเหตุ TL: Maresเเมร์ และ succubi/incubiซัคคิวบัส/อินคิวบัส ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
เมื่อสบตากัน ไพม่อนทักทายผมอย่างสุภาพ สำหรับคนที่เพิ่งบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ พฤติกรรมของเธอนั้นสุภาพมากเกินไป ทำให้รู้สึกราวกับว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแขกที่ได้รับคำเชิญอย่างเป็นทางการเสียซะมากกว่า ช่างสมกับเป็นไพม่อนจริงๆ
“ยินดีต้อนรับ ดันทาเลี่ยน สู่โลกของผู้หญิงคนนี้”
ผมเเสดงรอยยิ้มขมขื่นขึ้นบนใบหน้า
“ขอโทษที แต่ถ้าความทรงจำของผมยังถูกต้องอยู่ ผมก็ไม่เคยส่งคำเชิญและไม่ได้รับคำเชิญเลยนะ ······”
ไพม่อนแสดงสีหน้าสำนึกผิด
“······ผู้หญิงคนนี้ขอโทษ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้เชื่อว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปัดเป่าความเข้าใจผิดที่นายมีต่อผู้หญิงคนนี้ สตรีผู้นี้เชื่อว่าอีกเพียงเล็กน้อย นายก็สามารถเข้าใจคำพูดของนางได้ ดันทาเลี่ยน”
“โอ้ ฝ่าบาทไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ ในเมื่อฝ่าบาทยังคิดว่าผมจะเชื่อและไม่เชื่อได้ ผมก็ได้แต่ชื่นชมเธอเลย”
“โปรดให้อภัยความไม่สุภาพของผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง”
ดวงตาของไพม่อนฉายเเววขอโทษ ผมล่ะสงสัยว่ามีกี่คนที่ถูกหลอกเพราะดวงตาที่ไร้เดียงสาคู่นั้นจัง ผมยักไหล่และเข้าสู่หัวข้อหลัก
“งั้นก็ได้. นี่เป็นครั้งแรกที่ผมฝันร่วมกับคนอื่น แม้ว่าจะเป็นการปรากฏตัวอย่างไร ผมก็ยังยินดีเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆเสมอ เพราะอะไรที่คิดมันก็เกิดขึ้นที่นี่ได้นี่นะ? เพราะที่นี่คือความฝัน”
“น่าเสียดายการทำให้ทุกสิ่งที่คิดให้เป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้”
ไพม่อนส่ายหน้าเล็กน้อย
“มีเเค่สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ได้เห็นและประสบมาตลอดชีวิตสามารถทำให้เกิดอีกครั้งที่นี่ได้······.”
ไพม่อน โบกพัดของเธอ เมื่อเธอทำเช่นนั้น รากของต้นไม้ก็เริ่มเลื้อยอยู่ใต้พื้นดินก่อนที่จะพุ่งทะยานไป เจาะพื้นในขณะที่ยกตัวมันเองสูงขึ้น ดูเหมือนว่าต้นไม้จะไม่ใช่แค่ต้นไม้ชนิดเดียว กิ่งก้านบางกิ่งมีเปลือกสีขาวเหมือนต้นเบิร์ช และกิ่งอื่นๆ บางกิ่งถูกหุ้มด้วยเปลือกสีน้ำตาลเป็นชั้นๆ คล้ายกับที่เห็นบนต้นสน ต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะบังท้องฟ้าทั้งหมด เนื่องจากใบไม้ของดอกไม้เป็นดอกซากุระ กิ่งก้านของต้นไม้แต่ละต้นจึงมีสีขาวสว่าง ทำให้โลกกลับกลายเป็นสีชมพู
ไพม่อนลูบเปลือกไม้ช้าๆ
“เช่นนั้น แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆได้ด้วยการผสมผสานสิ่งหนึ่งเข้ากับอีกสิ่งหนึ่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างสิ่งอื่นขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้”
“โห”
นี่เป็นเรื่องน่าชื่นชมอย่างแท้จริง น่าอิจฉาด้วยซ้ำ ถ้าผมมีความสามารถที่จะเล่นกับความฝันได้ ผมคงมีความสุขมากที่จะได้บรรเลงเพลงเดือดๆ และเผาพ่อผมทุกๆคืน จนผมไม่อยากตื่นเลย
“ก็ว่าเเล้วว่าทำไมพวกเเมร์ถึงถูกเรียกว่าเผ่าพันธ์แห่งรัตติกาล เเต่ก็น่าเสียดายนิดหน่อยที่คนรักของผมไม่มีความสามารถแบบนี้เเหะ”
“······อาจเป็นพรมากกว่านะ ที่ว่าเธอไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์”
ไพม่อนยิ้มเศร้าๆ
“อย่างที่เห็น เเมร์สามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ ในความฝันได้มากมายหลายอย่าง เสน่ห์ที่ทำให้ลุ่มหลงในเเมร์ จะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก, เเสดงทิวทัศน์ที่น่าหลงใหลที่สุดในผืนพิภพ, งานเลี้ยงของอาหารคาวหวานน่ามหัศจรรย์ ทุกคนที่จับคู่กับแมร์เริ่มหลงใหลในความฝันที่แมร์สามารถให้เห็นเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันกับคู่รัก”
ไพม่อน ลดพัดลง ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ต้นไม้ที่ใหญ่โตราวกับต้นไม้โลกก็เริ่มหักโค่นลงในไม่ช้า เเคร๊กๆ ราวกับว่ามีป๊อปคอร์นหลายพวงที่แตกออกพร้อมกัน กลีบดอกซากุระร่วงหล่นในขณะที่บานสะพรั่งเต็มที่ ตรงกลางของกลีบที่ลวงหล่นนั่น ไพม่อนได้มองขึ้นไป
“เเละในท้ายที่สุด ผู้คนจะหันหลังให้กับความจริง ลุ่มหลงในความฝันที่สมบูรณ์แบบละทิ้งความจริงอันน่าสมเพช······ ชัดเจนเเล้วหรือยังว่าพวกเขาจะเลือกอะไร พวกเขาจะเพิกเฉยต่อคนรักของตัวเองและโยนลูกชายและลูกสาวทิ้งไป เมื่อเทียบกับภรรยาและลูก ๆ ในชีวิตจริงเเล้ว คนที่ลุ่มหลงจะปราถนาครอบครัวที่สวยงามกว่าในความฝันอยู่ดี นั่นคือเหตุผลที่เเมร์ส่วนใหญ่ไม่แบ่งปันความรักให้กับใครๆ”
เพราะยังไงพวกเขาก็จะถูกหักหลังอยู่ดี
ไพม่อนพึมพำขณะที่เธอกำลมลงบนกลีบดอกไม้ที่เคลื่อนผ่าน
แม้ว่าผมจะเห็นเพียงแง่มุมเดียวของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเเง่คิดนั้น ผมไม่ใช่คนที่ต้องมารับผิดชอบ ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการโอบกอดอดีตที่ไม่อาจแบกรับได้อีก ผมหยิบกิ่งไม้ที่หักออกจากต้นซากุระแล้วพูด
“นั่นเป็นนิทานเผ่าพันธุ์ที่น่าสนใจดี ถ้ามีเวลาสักหน่อยก็อยากฟังเรื่องราวความรักที่เธอประสบพบมา เเต่อย่างไรก็ตาม นี่คือเหตุผลที่ฝ่าบาทเชิญผมเข้ามาที่นี่หรือ? เพื่อแลกเปลี่ยนเรื่องราวความรักเนี่ยนะ?”
“······ผู้หญิงคนนี้”
ไพม่อนหันขวับมามองผม
“คิดเรื่องนี้มานานแล้ว ผู้หญิงที่ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบมีอยู่จริง มีทิวทัศน์และงานเลี้ยงที่สวยงามที่สุดมีอยู่จริง บางทีเเล้ว⎯⎯⎯⎯ความฝันถึงสังคมที่สมบูรณ์แบบและสวยงามที่สุดจะเป็นไปไม่ได้เลยหรือไงล่ะ?”
“······?”
สังคมที่สมบูรณ์แบบ มากที่สุด? ผู้หญิงคนนี้พยายามจะพูดอะไรกันเเน่?
ผมไม่เข้าใจเธอเลย แน่นอน ทุกคนมีชีวิตอยู่ในขณะที่ฝังความคิดของตนว่าสังคมในอุดมคติควรเป็นยังไงอยู่ในใจของตัวเองอยู่เเล้ว เเต่ผมไม่ได้รู้อุดมคติของคนอื่นนี่ ผมจึงสงสัยถึงแรงจูงใจซ่อนเร้นที่พยายามจะดึงเอาสิ่งที่ฝังอยู่ในใจของผมออกมา ไพม่อน เราไม่สนิทกันมากพอที่จะแบ่งปันทิวทัศน์อุดมคติในจิตใจของพวกเราหรอกหรือ?
ผมควรจะลองเชิงสักหน่อยดีไหมนะ?
“สังคมที่สมบูรณ์แบบอย่างงั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ?”
“ใช่ เป็นไม่ได้แน่นอน ผู้หญิงคนนี้ตระหนักถึงความเป็นไปไม่ได้นั้นดี”
ไพม่อน หัวเราะที่แทบไม่ได้ยิน
“มันน่าจะไร้สาระที่สุด มันไร้ประโยชน์ในอดีตและมันก็ยังเป็นไปไม่ได้แม้กระทั่งทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ดันทาเลี่ยน ผู้หญิงคนนี้คือราชินีแห่ง เเมร์ การที่หว่านเมล็ดความฝันในยามค่ำคืนให้กับผู้คนคือเรา แม้ว่าผู้หญิงคนนี้ซึ่งดำรงตำแหน่งนั้นจะปล่อยให้ตัวเองมีความฝันราวกับเคร่งศาสนาเช่นนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็เชื่อว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยเกินความสามารถของเธอ ดันทาเลียน เพื่อให้สตรีผู้นี้มีชีวิตต่อไปได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ สตรีผู้นี้ต้องการความสุขอย่างหนึ่ง”
ไพม่อนเหลือบมองกลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมาบนฝ่ามือแล้วคร่ำครวญ
“อ่า มันเป็นความฝันที่น่าเศร้า ใช่ ทันทีที่ผู้หญิงคนนี้มองย้อนกลับไปหลังจากทุกอย่างจบลง มันคือความมึนเมา อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรถ้าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง”
“······”
“ตอนแรกเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ผู้หญิงคนนี้เชื่อว่าสำหรับเผ่าปีศาจทั้งหมดแล้ว สังคมที่จอมมารเป็นผู้ปกครอง เป็นสังคมที่ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบมากที่สุด”
ไพม่อน โบกพัดของเธอ
ทิวทัศน์เปลี่ยนไป ผมพบว่าตัวเองยืนอยู่ใจกลางสนามรบที่ไม่เคยไปมาก่อน ทหารสั่นไหวเหมือนเงา มีปีศาจประมาณหนึ่งแสนนายเดินผ่านรอบตัว เนื่องจากพวกมันเป็นภูตผีที่ไม่มีร่างกาย พวกเขาจึงผ่านร่างทั้ง ไพม่อน และตัวผมไป
ที่ด้านหน้า มีคนสามคนเป็นผู้นำกองทัพขนาดใหญ่ ไม่มีใครอื่นที่รูปร่างโดดเด่นเท่าพวกเขา เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาผมเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้บัญชาการกองพล เหล่าจอมมาร; บาร์บาทอส ไพม่อน และมาร์บาส
⎯⎯ โอ้กองทัพของข้าเอ๋ย! พวกเจ้าทุกคนล้วนน่ายกย่อง! พวกเจ้าทุกคนควรค่าเเก่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!
Ο
บาร์บาทอสตะโกนในขณะที่เสื้อคลุมสีขาวของเธอปลิวไสวไปตามสายลม เธอสวมหมวกสีเงินและชุดเกราะสีเงินซึ่งแตกต่างจากตัวตนปัจจุบันของเธอ บาร์บาทอสส่องแสงสะท้อนสีเงินเจิดจ้าเนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมา
ไพม่อน กล่าวถึงเมื่อ 400 ปีที่แล้ว แสดงว่านี่คือ บาร์บาทอส เมื่อ 400 ปีที่แล้ว สมัยที่ บาร์บาทอส ยังไม่ได้กลายเป็นเนโครแมนเซอร์และกวัดแกว่งดาบในฐานะนักรบ······ หลังจากดูไปดูมาอย่างละเอียด เธอก็ยิ้มในแบบที่ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับที่เธอแสดงตอนนี้ มันไม่ใช่รอยยิ้มเลอะเทอะแบบที่รู้จัก มันเป็นรอยยิ้มที่คล้ายกับดวงอาทิตย์กลางฤดูร้อน รอยยิ้มที่เปิดเผยตัวตนออกมาสู่โลกกว้างอย่างมั่นใจ
⎯ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราต้องทำ! เราคือปีศาจแห่งชัยชนะ ความรุ่งโรจน์ของเราไม่ได้อยู่ที่ชัยชนะของเมื่อวาน แต่เป็นการกำชัยในอนาคตที่เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเราเมื่อสิ้นสุดลงเท่านั้น
⎯⎯ คนขี้ขลาดบอกว่าเราสู้มามากพอแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเรานักรบจะตอบว่าอะไร? พวกเรา เหล่านักรบที่ก้าวข้ามทั้งเชื้อชาติและสถานะ และกลายมาเป็นหนึ่งเดียวได้เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจกันเเละกัน พวกเจ้าจะตอบออกไปว่าอะไร?
⎯⎯ เเค่นี้มันยังไม่พอ!
บาร์บาทอส ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นและกางเล็บเหมือนแมว ราวกับว่าเธอกำลังพยายามตะปบโลกทั้งใบด้วยมือเล็กๆ จนกว่าเธอจะสามารถกลืนกินมันได้ทั้งใบ
Ο
⎯⎯ เเค่นี้มันไม่พอ! เรายังต้องการอีก!
⎯⎯ การต่อสู้ที่มากขึ้นแลโลหิตที่มากขึ้น! เพื่อทำให้สมรภูมิทุกแห่งที่เราได้สู้รบเป็นดินแดนที่ลูกหลานของเราจะอาศัยอยู่! จนกว่าเลือดทุกหยดที่เราหลั่งออกมาจะกลายเป็นปุ๋ยให้กับแผ่นดินที่ลูกหลานของเราจะปลูกฝัง!
⎯⎯อาห์ สุภาพบุรุษ! นักรบผู้ภาคภูมิใจของข้า! เรารักลูกหลานของเราอย่างไร้ข้อกังขา ด้วยเหตุผลนี้ เราไม่เพียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้ไปชั่วนิรันดร์ แต่เราสามารถต่อสู้ได้เพราะเหตุผลนี้!
ทหารหนึ่งแสนคนโห่ร้องพร้อมกัน
ปีศาจ คนแคระ และเซนทอร์เริ่มเป่าเเตรเขาสัตว์ตามที่พวกเขาต้องการ เสียงกลองกังวาลโดยปราศจากการแต่งหรือจังหวะ แม้ว่าทหารจะอยู่ในสภาพที่สับสนวุ่นวาย แต่ตรงกันข้าม มันให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน
นี่เป็นรูปแบบที่งดงามของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ครั้งแรก เสียงร้องจากกองทัพดังก้องไปทั่วทวีปอันไกลโพ้น และทำให้ผู้คนทั่วทั้งทวีปรู้สึกหวาดกลัว กองกำลังชั้นยอดเหล่านี้นำโดยผู้บัญชาการกองพล บาร์บาทอสเเห่งความเป็นอมตะ, ไพม่อนเเห่งความเมตตา และ มาร์บาสเเห่งความสูงศักดิ์ ทั้งสามยืนเคียงข้างกัน
⎯⎯ เพื่อความตายชั่วนิรันดร์! เพื่อความรุ่งโรจน์ชั่วกัลปวสาน!
Ο
บาร์บาทอสหันหลังให้และเดินออกไปข้างหน้าคนเดียว เสื้อคลุมสีขาวของเธอปลิวไสว ด้วยแรงผลักดันจากการเคลื่อนไหวที่เหมือนการโบกมือ ทหารนับแสนจึงกลายเป็นคลื่นยักษ์และตามเธอไป
“มันเป็นการต่อสู้ที่รุ่งโรจน์”
ไพม่อน พึมพำในขณะที่จ้องมองคลื่นเงาที่ทอดยาวออกไป
“เราได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยกองทัพ 120,000 คน เราเอาชนะพวกครูเสดซึ่งมีอยู่ประมาณ 260,000 คนในเวลานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เราทำลายอาณาจักรเดียวภายในครึ่งเดือน และสองเดือนหลังจากนั้น เราก็ทำลายอีกอาณาจักรหนึ่งจนหมดสิ้น เราสามคนมั่นใจ ความจริงที่ว่าเราอยู่ยงคงกระพัน เราสามารถสร้างประเทศสำหรับเผ่าปีศาจทั้งหมดบนพื้นที่นี้ได้อย่างแท้จริง เพราะไม่มีใครเอาชนะเราได้ ใช่. เรามีศรัทธาอันแน่วแน่”
เข้าใจแล้วล่ะ.
หากเป็นสงครามที่ทำลาย 2 อาณาจักร ก็ไม่ใช่การเดินทางครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่สอง เมื่อผมอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ผมรู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ครั้งที่สองถูกบันทึกว่าเป็นความล้มเหลวที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์
ไพม่อนหลับตาลง
“จนกระทั่งมีคนทรยศเรา”
“······”
“หลังจากที่เราพิชิตอาณาจักรที่สองแล้ว เราก็บุกลึกเข้าไปในใจกลางทวีป ทันทีที่เราทำลายกำลังหลักของครูเสด เเละแบ่งทวีปออกเป็นสองส่วนก่อนที่กองทหารของศัตรูจะปฏิรูปทัพได้ นั่นคือแผนใหญ่ที่วางไว้ บางที ไม่เลย ไม่ต้องสงสัยเลย การตัดสินของเราไม่ผิดเเน่ๆ”
อย่างไรก็ตาม พวกจอมมาร ที่ดูแลสายเสบียงที่อยู่ด้านหลังได้ทรยศต่อพวกเรา
โดยพื้นฐานแล้ว สายเสบียงได้รับการจัดการโดยจอมมารระดับต่ำ เหล่าจอมมาร ที่มีระดับต่ำก็มีอำนาจทางทหารเพียงเล็กน้อย เป็นการเหมาะสมที่จะให้พวกเขาจดจ่ออยู่กับเสบียงแทนที่จะส่งพวกเขาออกไปทัพด้านหน้า เหล่าจอมมารระดับสูงยืนอยู่ที่แนวหน้า และ เหล่าจอมมาร อันดับต่ำคอยสนับสนุนพวกเขาจากด้านหลัง······ เป็นการจัดทัพที่มีเหตุผลดีเเล้ว
อย่างไรก็ตามพวกเขาได้ทรยศหักหลัง
⎯⎯⎯⎯ทิวทัศน์เปลี่ยนไปอีกครั้ง
กองทัพสีเงินแวววาวที่ผมเห็นเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทหารแต่ละคนตอนนี้เนื้อตีวสกปรกมอมแมม
กองทัพที่ไม่มีอาหารกินได้อย่างเหมาะสมเพราะเส้นเสบียงถูกตัด แม้ว่าพวกเขาจะพยายามแสวงหาเสบียงอาหารด้วยการปล้นสะดม แต่พวกครูเสดก็ใช้เเผนแผ่นดินไหม้ เนื่องจากแม้แต่วิธีการปล้นสะดมก็ยังถูกขัดขวาง เมื่อเวลาผ่านไป กองทัพขนาดมหึมาก็เริ่มอ่อนล้าเพราะด้วยขนาดที่ใหญ่โตของกองทัพ
ผู้แปล:(เเผนดินไหม้เคยอธิบายไว้เเล้วเผื่อจะลืมกัน คือเผาเสบียงที่เราเอาไปไม่ได้ไม่ให้ศัตรูเอาไป)
จากทุกทิศทุกทาง กองกำลังแยกตัวจากพวกครูเซดโผล่ออกมาและกัดกินกลุ่มพันธมิตรจันทร์เสี้ยว พวกมันดื้อรั้นและหยาบกระด้างเหมือนฝูงไฮยีน่าที่ล่าสิงโต แม้ว่าพวกเราต้องการต่อต้าน มันก็มีแต่จะทำให้เสียเวลามากขึ้นเท่านั้น บาร์บาทอสกัดริมฝีปากแล้วออกคำสั่ง
Ο
⎯⎯······ละทิ้ง
⎯⎯ละทิ้งกองกำลังของเราและล่าถอย
น้ำตาแห่งเลือดไหลอาบใบหน้าของบาร์บาทอสขณะที่เธอพึมพำคำสั่งนั้น เมื่อนำภาพทิวทัศน์ของทัพที่เธอนำทางมาตลอดทางจากทวีปปีศาจมาถึงที่นี่ ถูกไล่ล่าและถูกตามสังหารตามหลังเธอ บาร์บาทอสจึงตัดสินใจพาทัพหนีไป ไม่ใช่แค่เธอคนเดียว แต่ไพมอนและมาร์บาสก็เช่นกัน
“······”
นั่นคืออดีตของ บาร์บาทอส
เหตุการณ์ที่ขโมยความอบอุ่นหัวใจไปจาก บาร์บาทอส
“เซอร์ดันทาเลียน นายเดาได้ไหมว่ามีทหารกี่คนจาก 120,000 นายที่รอดชีวิตกลับมา? ······ผู้หญิงคนนี้จำตัวเลขนั้นได้แม่นจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านมาแล้ว 400 ปี ผู้หญิงคนนี้ยังคงเห็นภาพที่เราสามคนได้รับรายงานจากผู้ช่วยของเราได้อย่างชัดเจน”
ไพม่อนลืมตาขึ้นอย่างอ่อนโยน
“สองหมื่นหกพันแปดสิบสี่”
จากกองทัพขนาดใหญ่ที่มีทหาร 120,000 นาย
“มีเพียง······ มีเพียงสองหมื่นหกพันแปดสิบสี่คนเท่านั้นที่สามารถกลับมามีชีวิตและเหยียบแผ่นดินเกิดของพวกเขาได้”
ภายในทิวทัศน์แห่งความฝัน
บาร์บาทอส หลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆ เธอเหม่อมองออกไปในพื้นที่ว่างเปล่าราวกับว่าเธอเป็นตุ๊กตาที่โดนตัดเชือก ด้วยเสื้อคลุมที่ขาดวิ่นและทรุดโทรมเต็มไปด้วยรูขาดบาดวิ่น เธอร่ำไห้ในความเงียบงันไม่รู้จบ
ไพม่อน วางมือบนไหล่ของ บาร์บาทอส อย่างไรก็ตาม บาร์บาทอส เป็นเพียงภาพลวงตาในความฝัน ไพม่อนอดไม่ได้ที่จะแตะไหล่หญิงสาวที่เคยเป็นเพื่อนของเธอและเพียงเลื่อนมือออกไปบนพื้นที่ว่าง ไพม่อนหยุดมือแล้วพูดกับตัวเอง
“ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกินขึ้น······?”
หลังฉากถูกพัดหายไปด้วยกลีบดอกซากุระ
เงาสลัวของบาร์บาทอส น้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้จบของเธอ และที่ราบซึ่งปกคลุมไปด้วยศพของทหารที่แผ่หรา หายไปทั้งหมดและโลกก็กลับมาเป็นภูมิทัศน์สีขาว
“······ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถบอกเธอได้ว่าไม่เป็นไร ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถปลอบใจเธอด้วยการบอกเธอว่าต่อจากนี้ไปทุกอย่างจะดีขึ้น เเต่ผู้หญิงคนนี้กลับจะรู้สึกตัวได้แล้ว ว่าเราไม่ควรจะสู้อีกต่อไป······วันที่เราสามารถต่อสู้ร่วมกันได้จะไม่มีวันกลับมาอีก”
ไพม่อนจ้องหน้าผม
“เมื่อคืนนี้ ผู้หญิงคนนี้ได้ยินที่นายโต้เถียงกับบาร์บาทอส ดันทาเลี่ยน นายน่าจะรู้เหตุผล ของเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังว่าทำไม พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ถึงล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า”
ผมผงกศีรษะ
ต่อหน้าเธอที่พูดโดยไม่ลังเลใจจนถึงจุดนี้ ไม่ว่าเธอจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองของผมหรือไม่ก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ ไพม่อน แสดงให้ผมเห็นมากที่สุดก็คือ บาร์บาทอส ถ้าเธอดูแคลนบาร์บาทอสอย่างจงใจ ผมก็จะตอบสนองกลับไปตามนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะได้รับจากการใส่ร้ายหุ้นส่วนทางการเมืองของผมลับหลังเธอ
“แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมมารทั้งหมด แต่พลังของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามระดับของแต่ละคน หากทวีปรวมเป็นหนึ่งแล้ว เหล่าจอมมาร ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาก็จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ในช่วงเวลานั้น สงครามที่ไม่ใช่ระหว่างมนุษย์กับปีศาจ แต่เป็นสงครามระหว่างปีศาจกับปีศาจจะปะทุขึ้น และด้วยความเป็นไปได้ที่สูงมาก ฝ่ายเธอจะเป็นฝ่ายที่ชนะ”
“ถูกต้องตามนั้น”
ไพม่อน หัวเราะเจื่อน
“ผู้หญิงคนนี้ตระหนักถึงความจริงนั้นช้าไปก้าวหนึ่ง ในตอนนั้นผู้หญิงคนนี้เชื่อว่าเส้นทางส่งเสบียงของเราถูกดักปล้นโดยมนุษย์ ตอนนั้นมั่นใจแน่นอนว่าเพื่อนจอมมารของเราจะไม่ทรยศพวกเราเเน่······ เเต่ในเวลานั้น ในช่วงเวลานั้น ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถจินตนาการถึงความเป็นไปได้นั้นได้เลย”
แม้ว่าหลังจากรู้ความจริงแล้ว บาร์บาทอส ก็รวมพวกที่คิดว่าเชื่อใจก่อตั้งฝ่ายผืนราบขึ้นมา ซึ่ง ไพม่อนได้ กล่าวเสริมในตอนท้าย
“เเต่ผู้หญิงคนนี้มีวิธีคิดที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย เหตุผลที่ผู้หญิงคนนี้อุทิศตนให้กับสงครามจนถึงช่วงเวลานั้น ก็เพราะผู้หญิงคนนี้เชื่อว่าความเป็นหนึ่งเดียวของทวีปคือหนทางเดียวสำหรับเผ่าปีศาจ ถ้าเราสามารถปราบมนุษย์ได้ วันที่เผ่าปีศาจสามารถอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์และสงบสุขก็จะปรากฎต่อหน้าเรา ผู้หญิงคนนี้สามารถสังหารได้โดยไม่ลังเลเพราะเธอเชื่อว่าอย่างนั้น······”
อย่างไรก็ตาม ไพม่อน กลับตระหนักได้ถึง
เธอตระหนักถึงความจริงที่ว่า ตรงกันข้ามเลย หากทวีปรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดินแดนแห่งปีศาจก็จะลุกเป็นไฟ
ความจริงที่ว่าทันทีทันใดข้ออ้างที่เรียกว่าการกดขี่ของมนุษยชาติสิ้นสุดลงแล้ว ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้จะมาถึงและฉีกเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นชิ้นๆ
เพื่อจักรพรรดิองค์เดียว ทวีปปีศาจทั้งหมดจะหลั่งเลือดและถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายเพียงเพื่อเลี้ยงดูราชาแห่งราชันเพียงองค์เดียว เเล้วมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ? การพิชิตทวีปครั้งนั้นมีไว้เพื่ออะไรกันล่ะ? หากผลลัพธ์ของการต่อสู้เพื่อเผ่าปีศาจคือความโกลาหลของเผ่าปีศาจ ในตัวมันเองมันก็ดูไม่สมเหตุสมผลกันอยู่แล้วเหรอ? ไพม่อน ครุ่นคิดและไตร่ตรองต่อไป······
และเธอก็ได้มาถึงบทสรุป
“มนุษย์เป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น”
ด้วยข้อเท็จจริงที่ชัดเจนในตัวเอง
“เราอาจจะเป็นตัวร้ายที่จำเป็นสำหรับมนุษย์เช่นกัน เราต้องการกันและกัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของมนุษย์หรือปีศาจไม่เคยมีอยู่จริง เราคงจะเข้าสู่สงครามชั่วนิรันดร์กับพวกพ้องของเราเร็วกว่านี้มาก”
คำตอบที่ได้กลับหักดิบเเต่เป็นความจริง
ไพม่อน ถอนหายใจ
“แม้ว่าทวีปจะรวมเป็นหนึ่งหรือไม่ก็ตาม สงครามก็ยังคงปะทุอยู่ดี ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ? คนปุถุชนธรรมดาทั่วไปมันจะไปมีใครปรารถนาจะทำสงครามกัน หากชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาอยู่ดีกันอยู่เเล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ พวกเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่กระโจนเข้าสู่สงคราม แล้วทำไมไยเล่าสงครามถึงยังเกิดขึ้นอยู่ล่ะ? คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว”
ไพม่อนกระซิบเสียงแผ่ว
“เป็นเพราะผู้ปกครอง มันเป็นเพียงเพราะพวกคนที่มีอำนาจ”
“······”
“ลองนึกดูว่าประชาชนสามารถตัดสินใจได้เองว่าเราควรเข้าร่วมสงครามหรือไม่สิ เพราะประชาชนต้องแบกรับความยากลำบากทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามด้วยตนเอง เนื่องจากพวกเขาต้องถือหอกด้วยตัวเองและลงมือสังหารด้วยตัวเอง พวกเขาจึงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในระหว่างสงครามด้วยตัวเอง และพวกเขาต้องแบกรับชีวิตที่เหลืออยู่ในเมืองและหมู่บ้านที่จะถูกทำลายล้างไปจากผลพวงที่ตามมาของสงครามอีก เห็นได้ชัดว่าผู้คนจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องสงครามโดยง่ายได้เลยเเน่ๆ”
ความรู้สึกเร่าร้อนเริ่มไหลออกมาจากเสียงของ ไพม่อน ทีละนิด
“อย่างไรก็ตาม เจ้าพวกคนมีอำนาจนั้นแตกต่างกัน พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาชน พวกเขาเป็นเจ้าของประชาชน พวกเขาเป็นคนที่จะเดิมพันอะไรก็ตามที่พวกเขามีในการเดิมพันเสมอ ถ้ามันหมายความว่าพวกเขาอาจได้รับผลกำไรที่มากขึ้น······ ผู้หญิงคนนี้ออกมาเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นมนุษยชาติหรือปีศาจ ตราบใดที่สังคมยังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสมบัติของผู้มีอำนาจ สงครามก็จะไม่มีวันหยุดลง!”
นัยน์ตาของ ไพม่อน ที่แดงก่ำราวกับเลือด ฉายแววความเดือดดาลอย่างเงียบงัน
“เราช่างโง่เขลาเหลือเกิน······!?”
เธอตะโกน
“พวกเราเหล่าจอมมารช่างโง่เขลาเพียงใดกัน!? เราคิดว่าเรากำลังทำงานเพื่อปีศาจทั้งหมด เราเชื่อว่าเรากำลังต่อสู้เพื่อไพร่ และยังดู พวกจอมมารที่ตายไปสิ มีเพียงส่วนน้อยของ พวกจอมมาร ที่เลือดตกและเสียชีวิตในสนามรบ เเต่พวกที่ต้องสังเวยอย่างแท้จริงเเล้วนั้น⎯⎯⎯⎯นับหมื่นนับแสนสิ่งที่ถูกฆ่าตาย ไม่ใช่จอมมาร แต่เป็นปีศาจที่เราพยายามปกป้อง······!”
ไพม่อนกัดฟันกรอด
“ถึงอย่างนั้น เราก็ยังเชื่อ เราคิดว่ามันเป็นธงสำหรับเผ่าปีศาจ มันเป็นความหน้าซื่อใจคดและการหลอกลวง······ แม้ว่าทวีปจะรวมเป็นหนึ่ง ความหน้าซื่อใจคดจะไม่หายไปไหน ในท้ายที่สุด การหลอกลวงจะไม่มีวันสิ้นสุดในหมู่บ้านมนุษย์หรือแม้แต่เมืองปีศาจ เมื่อไฟลุกโชติช่วงมากขึ้น เป็นที่ชัดเจนว่ามันจะเผาผลาญภูเขาไหม้ไปทั่วทวีปมนุษย์และปีศาจ และทั้งโลก ไฟภายในสงครามจะไม่มีวันมอดดับลง เรากำลังผลักพวกเขาเข้าสู่เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับเพราะเหตุผลข้อเดียวที่ว่าเราคือผู้มีอำนาจ!”
ทิวทัศน์เปลี่ยนอีกครั้ง
แทนที่จะเป็นพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ เเต่เป็นสนามรบ
แทนที่จะโปรยกลีบดอกซากุระกลับโปรยเถ้าถ่าน
แทนที่จะเป็นความเงียบสงัด กลับมีเสียงกรีดร้องจากมนุษย์และปิศาจ
การเข่นฆ่า การเข่นฆ่าที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“มันเป็นความผิดพลาดของผู้หญิงคนนี้!”
ไพม่อนร้องไห้ออกมาพร้อมกับโลกที่แผดเผาอยู่ข้างหลังเธอ
“ไม่ใช่ความผิดของมนุษย์ที่กลายมาเป็นสามัญชน มันไม่ใช่ความผิดของปีศาจที่กลายเป็นเหยื่อเช่นกัน ความเข้าใจผิดที่ว่าสังคมในอุดมคติจะเกิดขึ้นหากเราเป็นผู้นำโลกและปกครองสังคม ความแค้นที่ฝังลึกนั้นเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทุกอย่าง!”
นั่นเเหละคือเหตุผล
เข้าใจเเล้ว ว่าทำไมจู่ๆ ไพม่อน ถึงเริ่มอยากได้ตัวผมนัก เธอรู้ความหมายของการสุนทรพจน์ที่ผมสร้างขึ้นนั้นมีความหมายอย่างไร เธอเชื่อว่าเธอได้ค้นพบความจริงใจในคำประกาศที่ผมได้เตรียมมาอย่างเลวทราม
จอมมารไพม่อนคือผู้นิยม สาธารณรัฐ (republican)
“ดันทาเลี่ยน คำพูดที่เด็กมนุษย์เคยท่อง ผู้หญิงคนนี้เดาว่านายเป็นคนที่เขียนมันขึ้นมาเองจริงๆ สังคมที่ผู้ปกครองส่วนน้อยมีอำนาจผูกขาดทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผิด. ไม่ ถ้าพูดให้ตรงกว่านั้น สังคมที่ผู้มีอำนาจทุกคนต้องเปิดเผยต่างหาก นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้หญิงคนนี้อยากจะขอร้อง”
“······”
“ได้โปรดกรุณาเข้ามาใต้ธงชัยของผู้หญิงคนนี้ ฝ่ายผืนราบ, บาร์บาทอส ไม่สามารถพานายไปได้ นายจะถูกโยนทิ้งขว้างไป อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้แตกต่างออกไป ผู้หญิงคนนี้สามารถเข้าใจความคิดของนาย ผู้หญิงคนนี้สามารถสนับสนุนทุกเส้นทางที่นายต้องการตัดสินใจเลือกได้มากเท่าที่ต้องการ”
ดวงตาคู่ของ ไพม่อน ฉายแววแน่วแน่
“······”
นี้น่ะ.
ผมควรจะพูดยังไงดี?
นี่คือผลงานชิ้นเอก
ใช้ความมุ่งมั่นของ ไพม่อนและควบคุมเธอให้เป็นไปตามความต้องการของผมตอนนี้นั้นง่ายมาก อย่างไรก็ตาม หากเธอสนใจผมอย่างเร่าร้อนขนาดนี้แม้แต่ผมซึ่งมองโลกในแง่ร้าย ก็ยังอดไม่ได้ที่ผมจะอยากจะถามคำถามเธอออกไปเสียหน่อย
ทิศทางที่ ไพม่อน ชี้ไปที่ปลายพัดนั้นถูกต้อง ในท้ายที่สุดผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐจะได้รับความนิยมเเน่ เเต่อย่างไรก็ตาม กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ‘สุดท้าย’ ต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปเท่าไหร่กันล่ะ?
มันไม่ได้อยู่ในระดับหมื่น ไม่ถึงระดับหลักแสนเช่นกัน คนนับล้านต้องถูกสังหารหมู่หลายล้านครั้ง ‘ในที่สุด’ เธอจะทนเลือดที่หลั่งออกมาได้ขนาดนั้นได้เลยหรือ? แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผมหรอกเเต่ไพม่อน ผมอยากรู้ว่าเธอแก้ปัญหายังไง······
“ฝ่าบาทไพม่อน ผมขอโทษด้วย แต่ในสายตาที่ผมมองเธอมันเป็นเพียงแค่นักอุดมคติ ผมสามารถพูดในแง่บวกได้ว่าการที่จะสร้างสังคมแบบสาธารณรัฐตามที่ฝ่าบาทไพม่อน ได้กล่าวไว้เป็นนัยนั้นจะต้องมีการเสียสละจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นเเน่ๆ”
“ผู้หญิงคนนี้ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
เธอจะทำจริงเหรอ? เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้โลหิตหลั่งออกมาขนาดนั้นเลยเหรอ? จากการอ้างอิง ผมนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะต้องใช้มากกว่าล้านชีวิตเพื่อเอาชนะเจ้าหญิงเอลิซาเบธเเห่งจักรวรรดิ เเต่เธอเองก็ด้วยเหรอเธอจะกระจายพิษได้มากขนาดนั้นเพื่อหลั่งโลหิตได้เลยเหรอ?
ไม่ต้องกังวล ผมเป็นสุภาพบุรุษใจดี โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง ผมพร้อมที่จะทดสอบความเข้มข้นของเธอเเล้ว
“ลองคิดดูอีกสักหน่อย หลังจากบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวของทวีป ผู้คนจะหลั่งเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อให้สาธารณรัฐบรรลุเกิดขึ้มาได้เป็นผลสำเร็จ ประชาชนจะต้องเสียสละมากเช่นกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด สามัญชนจะถูกสังเวย ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?”
ไม่ว่าเราจะไล่ตามอุดมคติของ บาร์บาทอสหรืออุดมคติของไพม่อน ผู้คนก็จะต้องถูกสังเวยอยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนั้น ในตัวของไพม่อนเองผมก็ค่อนข้างสงสัย
“เหตุใด ท่านเจ้าคุณบาร์บาทอสจึงไร้ความสามารถ แต่ฝ่าบาทไพ่มอนสามารถทำได้ล่ะ”
“······”
“หากฝ่าบาทไม่สามารถตอบคำถามนี้ ฝ่าบาทก็เป็นเพียงผู้มีอำนาจเช่นกัน เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย เธอจะต้องเผาโลกและหลอกล่อผู้คนที่ตาบอดด้วยไฟให้กลายเป็นดั่งแมลงเม่า แน่นอนผมไม่ได้ไม่ชอบอะไรแบบนั้นเป็นการส่วนตัวด้วยหรอก······”
ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเธอจะยังคงแสร้งทำเป็นแยกตัวออกมาได้อีก
“ไพม่อน ผมไม่ได้มีเจตนาจะวิจารณ์ความคิดของฝ่าบาทเลยแม้แต่น้อย ผมคิดมันช่างประเสริฐเสียด้วยซ้ำ. เเต่อย่างไรก็ตาม ความคิดของบาร์บาทอส มันไม่สวยงามเช่นกันหรือ?”
“······”
“ดังนั้น หากต้องการนำผมเข้าสู่กลุ่มแห่งขุนเขา ก็โน้มน้าวผมสิ ถ้าจะโน้มน้าวใจผม ก็อย่าเพิ่งเทศนาเกี่ยวกับความถูกต้องของความคิดของตัวเองเลย แสดงแผนของเธอให้เห็น เปิดเผยแบบเเปลนของเธอซะ เพื่อสาธารณรัฐ สรุปแล้วเธอสามารถเสียเลือดเนื้อเพียงเล็กน้อยเพื่อเป้าหมายนั้นได้ไหมกัน?”
ไพม่อนปิดปากของเธอ
ตามที่คาดไว้ เธอไม่มีคำตอบ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ผิดหวังเลย ทำไมไพม่อนซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองของผมถึงพุ่งเข้าหาผมอย่างไม่ลดละเมื่อวจนะจบ ผมก็พอใจที่ได้รู้เเล้ว นอกจากนี้ ไม่มีใครที่จะถูกเอาเปรียบได้ง่ายไปกว่านักการเมืองในอุดมคติที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาหรอก เเละนี่คือสิ่งที่ผมรอคอย
ผมยักไหล่
“ดูเหมือนใกล้จะถึงเวลาตื่นจากฝันแล้ว ตามความเป็นจริง ผมได้หมั้นหมายกับ ท่านเจ้าคุณบาร์บาทอส ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ใช่พวกที่แบบจะเที่ยวไปป่าวประกาศในที่สาธารณะว่าฝ่าบาทไพม่อนเป็นพวกนิยมสาธารณรัฐหรอก มั่นใจได้เลยและ······”
“มี”
ผมหยุดชะงัก
ไพม่อน มองตรงมาที่ผม
“ถ้าเป็นแบบเเปลน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงคนนี้สร้างมันขึ้นมาแล้ว”
“······”
“ดันทาเลี่ยน ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงเฉลียวฉลาดเท่านั้น เเต่เมื่อ 400 ปีที่แล้ว ก่อนที่คำว่าสาธารณรัฐจะถูกนำมาใช้กับอุดมคติของสตรีผู้นี้ สตรีผู้นี้ได้กำหนดแผนการอย่างละเอียดถี่ถ้วนไว้แล้ว”
ความโอ่อ่าอันน่าขบขัน ผมหรี่ตาลงพยายามสัมผัสถึงความตั้งใจของไพม่อน ผมจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับว่าพวกเขากำลังถามว่า ‘งั้นเหรอ’ และกดดันให้เธอพูดต่อ
“ผู้หญิงคนนี้คิดว่าแทนที่จะเป็นสังคมที่เหมือนกับสังคมในทวีปปีศาจ ที่ซึ่งประเพณีเคร่งครัดมากเกินไป การจัดตั้งสาธารณรัฐในสังคมมนุษย์จะไม่ง่ายกว่ากันหรอกหรือ เพื่อที่จะทราบว่าสาธารณรัฐจะทำงานได้หรือไม่ ผู้หญิงคนนี้ต้องทดสอบลองดูที่อีกด้านหนึ่งของเทือกเขาก่อน”
อย่าบอกผมนะว่า
ใบหน้าของ ไพม่อน แน่วแน่ ดวงตาที่เฉียบคมของเธอมีความดุดันของนักปฏิวัติที่ไม่สงสัยเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน เป็นครั้งแรกในรอบนานทีดีหนที่ผมพูดไม่ออกและทำได้เพียงแค่พลิกลิ้นไปมาเท่านั้น
“เธอทำอะไรลงไ······.”
“สาธารณรัฐบาตาเวีย ”
ไพม่อนพูดขึ้น
“มันเป็นสาธารณรัฐเดียวในทวีปมนุษย์ ไม่เคยคิดเลยเหรอว่ามันแปลก? ข้อเท็จจริงที่ว่าภายในทวีปที่ซึ่งอาณาจักรและจักรวรรดิกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีประเทศห่างไกลเพียงแห่งเดียวที่อ้างว่าเป็นส