Dungeon Defence – ตอนที่77

▯ฆาตกรล้างสายเลือด เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อลิซาเบธ ฟอน ฮับส์บวร์ก

ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 3

โพลส์, บรูโน เพลนส์,กองกำลังพันธมิตรมนุษย์

 

 

—โอ้ มนุษย์เอ๋ยจงสดับ

 

 

เสียงของหญิงสาวดังก้องไปทั่วทุ่งกว้าง

 

 

มันเป็นเสียงที่สง่างามและสละสลวย มันเป็นเสียงที่ชวนให้นึกถึงฤดูหนาวคงเพราะอารมณ์ที่ใส่อยู่ในน้ำเสียงนั้นเบาบาง มันเป็นเสียงที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีมันสามารถส่งเสียงเข้าไปในใจกลางคนได้ เป็นไปได้ว่ามีครูที่ดีคอยชีเเนะเธออยู่ แค่คนที่รู้วิธีพูดอย่างถูกต้องได้ยิน ก็ทำให้รับรู้ถึงความสง่างามนั้นได้ทันที

 

ด้วยกล้องส่องทางไกลในมือ เราสังเกตเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่บนก้อนหิน ผู้หญิงคนนั้นคือลอร่า เดอ ฟาร์เนเซสินะ……? เราพึมพำออกมาดังๆ เธอเป็นทาสที่ ดันทาเลี่ยน เดินทางไปถึงราชอาณาจักรซาร์ดิเนียทางอากาศเพื่อไปรับเธอที่นั่น แน่นอนว่าเธอนั้นต้องเป็นบุคลากรที่มีประโยชน์หลายๆอย่าง เเน่นอน

 

 

-ประวัติศาสตร์นานมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ล้วนเเล้วเเต่เป็นประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางชนชั้น

 

 

นั่นเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?

 

 

เรามองผ่านกล้องส่องทางไกล หญิงสาวไม่มีอารมณ์เเสดงบนใบหน้าของเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่มีความงามของหิมะและน้ำค้างแข็ง แน่นอนว่าด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าว ข่าวลือเสียๆหายๆว่า ดันทาเลี่ยน ได้นำพาหญิงแพศยาเข้ามาเป็นข้าราชเพราะเขาหลงใหลในรูปลักษณ์ของเธอเกิดขึ้น ขณะที่คำพูดของเธอดำเนินต่อไป บรรดาขุนนางรอบๆ ตัวเราก็เริ่มกระซิบกัน

 

 

“การเริ่มต้นของการประกาศวจนะสงครามค่อนข้างผิดปกตินะครับ”

 

“ไม่ว่าพวกมันจะพล่ามอะไรมาเขย่าขวัญพวกเรา ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษย์จะไม่มีวันแตกสลาย……”

 

 

ขุนนางแต่ละคนมีกล้องส่องทางไกลวางไว้ที่ดวงตาของตัวเอง เนื้อหาของสุนทรพจน์แตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้อย่างสิ้นเชิง แน่นอน แม่ทัพและทหารเริ่มปั่นป่วน . ไม่มีใครเคยได้ยินหรือเรียนรู้ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งใหญ่สงครามครูเซตที่กำลังใกล้เข้ามา

 

 

-นี่คือสงครามนิรันดร์

 

ยังไงก็เเล้วเเต่

 

ขณะที่คำพูดของหญิงสาวยังคงดังก้องอยู่ในอากาศ

 

ขณะที่เสียงของหญิงสาวยังคงกระพือปีกและก้องไปทั่วท้องฟ้า

 

 

— ถึงทุกคนในโลกนี้ที่กำลังถูกกดขี่ จงฟัง!

 

 

ใบหน้าของขุนนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและใบหน้าของทหารก็บิดเบี้ยวตาม ด้วยความประหลาดใจ ไม่มีขอบเขตสำหรับคำพูดก้าวร้าวที่ออกมาจากปากสวยๆของหญิงสาวคนนั้น เธอไม่ได้ใช้คำพูดปฏิเสธและไม่ใช้คำพูดโน้มน้าวใจ เป็นคำพูดเเรงๆที่กระแทกลงไปที่พื้นและธรณีก็ได้แตกออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซึ่งข้างใต้นั้นได้ซ่อนบางสิ่งไว้ใต้พื้นดินที่เยือกแข็งจนในที่สุดเธอก็ดึงมันออกมา

 

 

 

— การเสียสละเหล่านั้นมีไว้เพื่ออะไร? เเล้วสงครามนั้นไซร้มีไว้เพื่ออะไร?

 

 

หญิงสาวตะโกนออกมาโดยไม่ลังเล คำพูดของเธอสร้างความน่ากลัวได้อย่างง่ายดาย เพราะเนื้อหาที่เธอใช้เเละคำที่พูดออกมาเป็นคำที่สร้างรอยเเผล ทำให้เกิดความแตกแยก เป็นคำที่สร้างรอยร้าวและก่อให้เกิดการยั่วยุ เป็นคำที่ถักทอและดัดแปลงไป คำพูดของหญิงสาวได้ฟันใส่มนุษย์ด้วยคำพูดที่เฉียบคมกว่าคมดาบ

 

“……”

 

อา.

 

อ๊าาาา!

 

เราเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายเเล้ว ความตั้งใจของหญิงสาว ความตั้งใจของ ดันทาเลี่ยน ที่หลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังผู้หญิงคนนั้นและเทกระจายพิษของเขาออกมา ดันทาเลี่ยน นั้นคือ จอมมารดันทาเลี่ยน เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะต่อสู้กับมนุษย์ เขากำลังหลอกล่อให้มนุษย์ต่อสู้กันเองอยู่!

 

 

 

— มนุษยจงฟัง ท่านต้องทำอะไรเพื่อปกป้องสิ่งที่เป็นของท่านได้หนอ? ต้องทำยังไงถึงจะทวงคืนสิ่งที่พวกโจรได้พรากไปนั้นคืนมา!?

 

เหล่าทหารก็หวั่นไหวอยู่แล้ว เสียงของหญิงสาวนั้นประดั่งพ่นพิษออกมาเรื่อยๆอีก ด้วยพิษนั้น ทหารจึงมองออกไปรอบๆ ใบหน้าของทหารคนอื่นๆ พวกขุนนางไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้และตะโกนออกมา

 

 

“ต-นั่น! นั่น นั่น อะไรกัน ไอ้คำพูดพวกนั้นมันอะไรกันวะ!”

 

“ข้ารู้ดีว่าพวกปีศาจมันโง่เง่า แต่พูดคำพูดบ้านี่มัน…..!”

 

 

โง่อะไรแบบนี้.

 

 

 

พวกขุนนางยังไม่สามารถเข้าใจไม่ได้กลิ่นแม้แต่พิษที่กำลังเข้าใกล้เราจากทุกทิศทุกทาง เรารู้สึกอึดอัดราวกับหายใจไม่ออก มีเพียงความคิดที่จะปัดป้องคำพูดนั้นเท่านั้นที่เข้ามาในหัวของเรา ……ใช่เเล้ว. เราต้องหยุดคำพูดที่ทำให้เเตกเเยกนั้นไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราต้องปิดกั้นมันเพื่อป้องกันความโกลาหลและหายนะที่ไม่อาจจะกลับมาเเก้ไขได้อีก วจนะครั้งนี้มันกำลังจะกลืนกินทวีปนี้ไป เรารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และรีบไปหาผู้วิเศษทันที

 

 

“เปิดใช้งานคาถาขยายเสียงให้เราออกไปพูดทันที”

 

“ฝ่าบาท?”

 

“ไม่ได้ยินเหรอ? ขอสั่งให้เปิดใช้งานคาถาเดี๊ยวนี้”

 

ผู้วิเศษมองมาที่เราด้วยใบหน้าที่มีปัญหา ชายชราที่มีริ้วรอยบนหน้าผากก้มศีรษะลง

 

“กระหม่อมขอประทานอภัย ฝ่าบาท การเตรียมการยังไม่เสร็จสมบูรณ์ครับ”

 

“ไม่สมบูรณ์?”

 

“เนื่องจากเราได้รับแจ้งจากฝ่าบาทว่ากองกำลังของเราจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อจากอีกฝ่าย พวกเราจึงเตรียมที่จะเปิดใช้งานเวทย์มนตร์ในเวลานั้น”

 

“ก็เเค่ใช้แค่เวทมนตร์เสริมพลังเสียง เรารู้วิธีพูดภาษาของปีศาจดีอยู่เเล้ว เเค่ตอนนี้เท่านั้น……”

 

“ฝ่าบาท แม้ว่าเวทมนตร์ในการเพิ่มประสิทธิภาพเสียงจะไม่ใช่เทคนิคที่ยากเกินจนเป็นคาถาที่ยุ่งยาก แต่การเตรียมการล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญในการเร่งระดับเสียงจนถึงจุดที่มันสามารถได้ยินไปทั่วที่ราบทั้งหมดได้ โปรดเข้าใจอย่างไม่เห็นแก่ตัวว่าเวทมนตร์ไม่ใช่ของสะดวกครอบจักรวาลด้วยครับ”

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้นเเล้ว จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าการเตรียมการจะเสร็จ?”

 

“อย่างเร็วที่สุดจะใช้เวลา 10 นาที”

 

“10 นาที……?”

 

เหงื่อเย็นไหลลงมาที่คอของเรา

เป็นเวลานานมากแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เรารู้สึกถึงเหงื่อเย็นที่ไหลออกมา บางทีตอนนั้นอาจเป็นเวลาที่พี่ชายลากเราไปที่ห้องของเขาและบังคับให้เราดูเขามีเพศสัมพันธ์กับพี่สาวน้องสาวของตัวเอง มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่นั้นมา? เหมือนกับวันนั้นเป็นวันที่ทำลายชีวิตเราไป เหงื่อเย็นเยียบไหลลงมาที่คอเสื้อ รู้สึกได้ถึงหยาดเหงื่อไหลลงมาตามคอและลงไปตามรูปทรงของหน้าอกลงไป

 

“……”

 

เราค่อยๆหันศีรษะและตรวจสอบพวกทหารอีกครั้ง พวกเขาล้วนเป็นข้าราช ไพร่ และทาส ความไม่สงบแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของแต่ละคน อา 10 นาทีอาจจะสายเกินไป หากเวลาผ่านไป 10 นาที มันจะสายเกินไปตลอดกาล……

 

เราจะสามารถอดทนนั่งฟังเงียบๆได้อย่างไรกัน?

 

เช่นเดียวกับเวลาที่เราต้องอดทนดูพี่ชายและน้องสาวสมสู่ร่วมสายโลหิตกัน

 

ต้องทนทุกข์แบบนี้ทั้งที่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้วงั้นเหรอ?

 

 

โอ้ มนุษย์เอ๋ยปวงประชาคืออะไรกัน? คำตอบคือพวกท่านนั้นคือทุกอย่าง !มีเพียงท่านเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปวงราษฏร์ ตลอดประวัติศาสตร์ 1500ปี ที่ผ่านมา สามัญชนคืออะไร? มันไม่กลายเป็นอะไรเลย! และต่อจากนี้ไป ท่านจะได้เป็นอะไรที่ไม่อาจเทียบได้

 

—นั่นคือกลายเป็นทุกๆอย่าง!

 

 

ทหารก็จ้องมองไปทางหญิงสาวราวกับมึนเมา แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้เนื่องจากพวกเขาไม่มีกล้องส่องทางไกล ด้วยน้ำเสียงที่โอ่อ่าของเธอ ทำเราสะดุ้งขึ้น

 

นั่นคือดาบของดันทาเลียน

 

นั่นคือคำพูดของ ดันทาเลียน

 

……คำพูดนั้นน่าจะถูกเขียนโดย ดันทาเลี่ยน อ่า ไม่ต้องสงสัยเลย เราได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั้นภายในเสียงของหญิงสาวคนนั้น เราสามารถสัมผัสรูปร่างของ ดันทาเลียน ได้อย่างชัดเจนในคำและประโยคที่หญิงสาวกำลังท่อง เเล้วมีเหตุผลใดกันที่ ดันทาเลียน ไม่มาประกาศสุนทรพจน์ด้วยตนเอง และส่งผู้หญิงคนนั้นมาแทนที่เขา?

 

เหตุผลมันก็ชัดเจนอยู่เเล้ว

 

คำพูดที่ ดันทาเลี่ยน พูดในขณะที่เรากำลังจับมือกันในวันนี้ ผ่านเข้ามาในสมองของเรา ดันทาเลียน ยิ้มกว้าง

 

 

— โอ้ที่รัก เอลิซาเบธ! ผมคือดันทาเลียน เเละดันทาเลี่ยน พูดว่า

 

— ถ้าเธอเป็นเหมือนเเสงส่องของดวงอาทิตย์ ผมจะคอยซ่อนตัวอยู่หลังดวงจันทร์ที่มืดมิดเสมอ ในวันหนึ่งเธอจะหมดพลังและล้มลง อย่างไรก็ตาม ผมจะไม่เป็นแบบเธอ ผมจะคอยซุ่มซ่อนไม่เปิดเผยตัวเองจากเรื่องราวทั้งหมด

 

หัวใจของเราสั่นระรัว เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความจริงที่ใจเรานั้นสั่นเมื่อตระหนักถึงความกลัวและความสยองขวัญนั้น อา เช่นนั้นเอง ดันทาเลี่ยน กำลังวางแผนหลบซ่อนตัว เขาวางแผนจะเป็นจอมบงการเบื้องหลังและไม่เคยเปิดเผยตัวเองนี่เอง!

 

 

โดยการวาง ฟาร์นาเซ่ เเทนตำแหน่งของตัวเอง ดันทาเลี่ยน จะได้ซ่อนตัวได้ คนที่ยืนข้างหน้าเพื่อเหวี่ยงดาบและออกคำสั่งจะเป็น ฟาร์นาเซ่เเทน ดังนั้น ผู้คนในทวีปนี้ทั้งหมดจะเคารพและเกลียดชังต่อฟาร์เนเซ แม้ว่าผู้ร้ายที่แท้จริงที่ปลุกระดมพวกเขาคือดันทาเลียนเองก็ตาม ในขณะที่ ฟาร์นาเซ กลายเป็นม้าของ จอมมาร และเผยแพร่คำพูดของ จอมมารดันทาเลียน จนจบม่านของการแสดงถูกปิดลง จะไม่มีใครจับได้เขา ทำให้เขาสามารถทำลายทวีปได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกขัดขวางจากสิ่งใด

 

ในทางกลับกัน.

 

เราไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้

 

ในฐานะเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ นั่นเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำได้ เราต้องใช้เวลาอยู่กับขุนนางนับร้อยที่รายล้อมรอบตลอดเวลา เพราะมีหูอยู่รอบตัวเราเสมอที่จะได้ยินคำที่เราพูด ถ้าจะต้องลงมือทำ ก็จะมีตาที่มองเห็นสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ จนถึงตอนนี้ เราได้ปฏิบัติต่อโชคชะตาของตัวเองที่ได้เกิดเป็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิด้วยความสัตย์จริงไม่เลยแม้แต่นิดเดียวที่จะบิดพริ้วต่อสถานะนั้น เราไม่เคยคิดเลยว่าการธำรงในฐานะเจ้าหญิงจักรพรรดิจะมากลายเป็นจุดอ่อนของเราไปได้……!

 

คำพูดของหญิงสาวมาถึงจุดสูงสุดแล้ว เธอชักดาบยาวออกจากเอวแล้วยกขึ้นสู่ท้องฟ้า ทหารทุกคนกลั้นหายใจและตื่นเต้นต่อหญิงสาว

 

— ข้าคือ ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ ผู้เกิดเป็นมนุษย์และถูกตราหน้าว่าเป็นทาส ในฐานะทาาสคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อต่อสู้เคียงข้างพวกท่านทุกคน ข้าขอประกาศ ณ ที่นี้! ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปีศาจ สามัญชน หรือทาส ข้าจะต่อสู้เพื่อประชาชนโดยไม่แบ่งแยกพรมแดน!

 

— ท่านก็เช่นกัน จงต่อสู้เคียงข้างข้า! ทิ้งกฏเกณขอบเขตที่มากดขี่พวกท่านทั้งหมดไป! จงเป็นอิสระด้วยดวงใจของตัวท่านเองเหล่ามนุษย์เอ๋ย!

 

 

ผู้หญิงคนนั้น……นี่สินะ เด็กคนนั้นเป็นผู้สืบทอดของ ดันทาเลียน

 

ผู้คนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินที่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นมนุษย์ นั่นคือผลที่ ดันทาเลียน ตั้งเป้าไว้ ดันทาเลียน ใช้เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้พูดโดยคิดวางเเผนไว้เเล้ว

 

หากบุคคลที่กล่าวสุนทรพจน์เป็นจอมมารหรือปีศาจ ทหารก็คงไม่หวั่นไหว ถ้าคนที่ยืนอยู่ที่นั่นเป็นขุนนาง ทหารคงดูหมิ่นคำพูดนั้น อย่างไรก็ตาม ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ ซึ่งยืนอยู่บนก้อนหินก้อนนั้น ไม่ใช่จอมมารหรือขุนนางเป็นเพียงเสรีชนที่มีเลือดมนุษย์ไหลเวียนอยู่ เธอเป็นมนุษย์ เพราะเป็นคำพูดของมนุษย์ มันจึงแทรกซึมเข้าไปในจิตใจทหารของเราซึ่งเป็นมนุษย์ด้วย

 

“……ฮะฮะฮะ”

 

เสียงหัวเราะเล็ดออกมามันเกิดขึ้นเมื่อความสิ้นหวังรุนแรงขึ้นหรือไงกัน?

 

เราเผลอยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ทันใดนั้นเอง เราเป็นใครและยืนอยู่ตรงที่ไหนก็เริ่มชัดเจน

 

เราเป็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ จนถึงตอนนี้ เราได้พิสูจน์แล้วว่าเราเป็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเพียงหนึ่งเดียว

 

อย่างไรก็ตาม ดันนทาเลียนได้ปรากฏตัวขึ้นที่ตรงนั้น เขาได้กำหนดชะตากรรมที่อยู่เบื้องหลังเราว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ เขาเป็นตัวตนที่กำหนดตัวตนของเราไว้

 

“ดันทาเลียน……”

 

ถ้าเรามีชีวิตรอดในฐานะเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ เราจะต้องปลิดชีพเขา

 

ถ้าเรามีชีวิตรอดจนถึงท้ายที่สุด เราก็ต้องปลิดชีพหญิงสาวคนนั้นด้วย

 

หากเราไม่ทำเช่นนั้น ชีวิตที่ล้มลงไปจะเป็นเราเเทน

 

“จอมมาร……!”

 

 

ความรู้สึกบางอย่างไหลออกมาจากหัวใจของเราซึ่งอัดแน่นไปด้วยความกลัว อา เราแน่ใจว่าตัวเองได้เป็นบ้าไปแล้ว แม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่เราต้องฆ่าเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเรา แต่เรากลับรู้สึกมีความสุขในชีวิตจากสิ่งนั้นเเทน

 

“งั้นนายก็คงเป็นพรหมลิขิตของเรา……!”

 

นายจะหลบซ่อนและไม่เผยตัวออกมา

 

ผู้คนจะไม่รู้ว่านายเป็นใคร

 

แต่เรารู้.

 

 

มีเพียงเราที่มองหานายอยู่เสมอ

 

 

จักรวาลเป็นหมู่มวลที่ไร้ความหมาย และเป็นมหาสมุทรที่โดดเดี่ยว มีเกาะเดียวที่ล่องลอยอยู่ด้านบน และเราจะนั่งอยู่ตรงนั้นโดยหันหน้าเข้าหากัน เช่นเดียวกับที่เราเผชิญหน้ากันด้วยหมากหินสีดำและหมากหินสีขาว ในขณะที่ใจกลางห้องเเสดงของวันนี้ อนาคตของเราต่อจากนี้ไปจะถูกหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย จอมมาร นายคือพรหมลิขิตของเรา และเราก็จะเป็นชะตาลิขิตของพวกเจ้าเช่นกัน

 

เหล่าขุนนางตะโกนด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาขมวดคิ้วและตบแก้มของทหาร

 

“เจ้าโง่! มองเหม่อไปทางไหนกัน!? ทำไมพวกเเกทุกคนไม่ตะโกนและพิสูจน์ให้พวกมันเห็นว่าเเกเป็นทหารเเห่งจักรวรรดิออกไปสิวะ!?”

 

“อยากถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้คนทรยศแล้วถูกประหารใช่ไหม!?”

 

ทหารรีบคุกเข่าลงและเชื่อฟังพวกขุนนาง อย่างไรก็ตาม เรารู้ตัวดี ทหารคนอื่นๆ รอบตัวพวกเขามองดูพวกขุนนางด้วยสายตาที่เย็นชา นี่เป็นทิวทัศน์ที่จอมมารได้วาดไว้ในความฝันเเล้วสินะ?

 

พวกขุนนางตะคอกและทหารต่างก็นิ่งเงียบ ความโกรธเกรี้ยวดุดันรุนแรงของพวกทหารจึงพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แต่ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความเงียบถูกเหวี่ยงเข้าลงมาปกคลุมลงไปเเละแผ่ออกมาเป็นวงกว้าง อากาศที่ถูกแยกออกเป็นสองชั้นรู้สึกเหมือนกับโลกที่กำลังจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนในไม่ช้า เราเอลิซาเบธจะตกลงไปอยู่ในช่องว่างที่ถูกฉีกนั้น

 

เเล้วมันมีปัญหาตรงไหนล่ะ?

 

ชีวิตของเราเริ่มจะมีชีวิตชีวาเเล้ว ในที่สุด พรุ่งนี้ของเราจะไม่ซ้ำซากเท่าเมื่อวานเเละวันมะรืนนี้ก็จะสุขีมากขึ้นไปอีก วันนี้ ดันทาเลียน ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเราแล้ว

 

 

“จอมมาร นายมาตายที่นี่พร้อมกับเราได้หรือไม่”

 

“ก็ได้นะ แต่จำเป็นต้องตายทันทีตอนนี้เลยไหม?”

 

“จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อแสงแห่งชีวิตได้จางหายไปหลังจากวันนี้เเล้ว? ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ เราพร้อมจะจากโลกนี้ไปได้เลย”

 

“ผมขอสัญญากับเธอเลยว่าจำนวนครั้งที่ทำให้เธอปรีดาจะมียิ่งมากขึ้นกว่านี้อีกเเละจะมากขึ้นไปเรื่อยๆด้วย”

 

 

 

ช่างสวยงามช่างเลอค่า

 

เป็นเสียงประทานพรที่สละสลวย นี่คือคำพูดของดันทาเลียน

 

พรหมลิขิตจึงเป็นสิ่งที่เปล่งประกายและวิจิตรตระการตาจนทำให้แม้แต่การทำลายล้างกลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น

 

“……อ๊าาาา.”

 

เราเสียน้ำตาครั้งแรกในชีวิตไหลรินออกมา

 

ในวันที่ 4 เดือนที่ 3 นี้เหมือนชีวิตเราได้เกิดใหม่

 

ขณะยอมรับคำนิยามชีวิตเพื่อฆ่าและถูกฆ่าพร้อมกับชายคนนั้นอย่างสนุกสนาน เราได้หลับตาลงไป เนื่องจากมีท่วงทำนองขับกล่อมในโลกที่มืดมิดนี้เปล่งออกมาอยู่ มันจึงรู้สึกราวกับว่าหญิงสาวคนนั้นกลายเป็นท่วงทำนองเพลงไปตลอดกาล เรานั่งจมอยู่กับความรู้สึกนั้นอยู่นาน ได้ฟังเพลงของหญิงสาวคนนั้นซึ่งไม่ใช่ท่วงทำนอง แต่ด้วยคำพูด……

 

 

— พวกท่านทุกคนโกรธแค้นกันทุกคนและโกรธเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ จงไปให้ความกระจ่างแก่ผู้ที่มีอำนาจจงเเถลงไขว่าใครเป็นเจ้าของดั้งเดิม เราจะร้องเพลง เพลงที่เราร้องจะเป็นเพลงแห่งคำปฏิญาณเพลงที่เราสาบานว่าเราจะไม่สืบสานสถานะทางเชื้อสายและเป็นทาสอีกต่อไป ทันทีที่ท่านเปล่งเสียงร้องและถือหอกของท่านขึ้นมา เหล่าทวยเทพจะทรงนำชีวิตอันรุ่งโรจน์มาสู่เราด้วยนามของวันพรุ่งนี้!

 

– ทำให้พวกศักดินาสั่นกลัว ทำให้ผู้มีอำนาจสั่นสะท้านด้วยการปฏิวัติของทุกคน นอกจากกุญแจมือปลอมๆของท่านแล้วพวกท่านทุกคนไม่มีอะไรจะเสียในสงครามทำลายล้างนี้ได้อีก

มีเพียงโลกที่ท่านสรรสร้าง ท่านถึงจะได้ทุกสิ่งที่ปราถนา มิเช่นนั้นมันจะเเตกกระจายออกไปต่อหน้าต่อตาของท่าน!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

โอ้ หมู่มวลมนุษย์เอ๋ย จงสู้กลับ!

 

 

 

 

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                FIN             

 

 

 

 

…………………………………………………………………………………………………………..

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset