**1.เเก้ไขตำหนักนอกนิกายเพลิงผลาญฟ้า = สำนักพิทักษ์เพลิงผลาญฟ้า
**2.เเก้ไขตำหนักนอกหุบเขาวายุคลั่ง = สำนักพิทักษ์หุบเขาวายุคลั่ง
**3.เเก้ไขตำหนักนอกหุบเขาวิหคอัสนี = สำนักพิทักษ์หุบเขาวิหคอัสนี
#เพื่อง่ายต่อการเรียกจะได้ไม่สับสน
……………………………………………………………………………………………………………………..
“ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญจากนิกายเพลิงผลาญฟ้าจะมาถึงกันเเล้ว”เฉียนตว๋อไป๋ จ้องมองไปที่วิหคเพลิงที่อยู่กลางอากาศเเละกล่าวเตือน เย่เฉินเฟิง”เฉินเฟิง หากเจ้าพบ โหย่วซานเสียน เจ้าจะต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองเเละพยายามอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด ถ้าเกิดมีความขัดเเย้งสักเล็กน้อยเขาคงใช้โอกาสนั้นโดยไม่จำเป็นจะต้องหาเหตุผลที่จะฆ่าเจ้า”
“อืม”เย่เฉินเฟิง พยักหน้า ตอบรับ
ถึงจะได้ยินแบบนั้น เเต่เขาก็รู้ว่า โหย่วซานเสียน ไม่มีทางจะปล่อยเขาไป ดังนั้น เย่เฉินเฟิง เองก็จะไม่มีทางยอมก้มหัวไปตลอดซ้ำเเล้วซ้ำเล่าอย่างเเน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ เย่เฉินเฟิง ต้องการฆ่า โหย่วซานเสียน ก็เพราะ อีกฝ่าย ส่ง หมิงเต๋าสือซู่ มาลอบสังหารเขา หากไม่ใช่เพราะได้ เสวี่ยเปียวหลิง ช่วย เขาคงถูกหมิงเต๋าสือซู่ฆ่าตายไปเเล้ว
“กรี๊ด…”
วิหคเพลิงทั้ง 4 ตัวได้ส่งเสียงกรีดร้องและพุ่งลงมาที่ด้านล่าง
สำหรับคนอื่น ๆ ในเวลานี้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รุนแรงของวิหคเพลิงที่แข็งแกร่งพวกเขารู้สึกกระสับกระส่ายและไม่กล้าที่จเข้าไปใกล้
“ปรมาจารย์จ้าวตำหนัก เทียนซือจิน!”
ในเวลานี้ เฉียนตว๋อไป๋ เห็นชายคนนึงที่คุ้นเคยในชุดคลุมยาวสีขาว ชายชราคนนี้ได้กระโดดลงมาจากบนหลังวิหคเพลิงและเดินเข้ามายังทิศทางของพวกเขา
“ปรมาจารย์จ้าวตำหนัก!”
เมื่อได้ยินชื่อ ปรมาจารย์จ้าวตำหนัก จากปากของ เฉียนตว๋อไป๋ เย่เฉินเฟิง ก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่า ช่วงเวลาที่อาณาจักรลับวิญญาณแท้จริงใกล้จะเปิดออก นิกายเพลิงผลาญฟ้าจะส่งหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายมาเข้าร่วมด้วย
สถานะของปรมาจารย์จ้าวตำหนักในนิกายเพลิงผลาญฟ้านั้นเป็นมากกว่าผู้อาวุโส อาจกล่าวได้ว่า ชายชราคนนี้คือหนึ่งในเสาหลักที่แข็งแกร่งของนิกายเพลิงผลาญฟ้า นั่นแสดงให้เห็นว่า นิกายเพลิงผลาญฟ้าใส่ใจกับการเปิดออกของอาณาจักรลับวิญญาณแท้จริงมากแค่ไหน
“นานเท่าไหร่แล้วนะที่เจ้าออกห่างจากนิกายเพลิงผลาญฟ้าไป นั่นก็สัก 10 ปีได้แล้วมั้ง”
ปรมาจารย์จ้าวตำหนักเทียนซือจิน ได้กล่าวพูดขึ้น เขาไม่ได้มีร่องรอยการแสดงออกที่บนใบหน้าแต่ก็กล่าวถามออกมาด้วยเสียงหนาแน่น
“ศิษย์ออกห่างจากนิกายเพลิงผลาญฟ้ามาเป็นระยะเวลา 11 ปี 3 เดือนแล้ว”เฉียนตว๋อไป๋กล่าวด้วยความเคารพ”ศิษย์นั้นไร้พรสวรรค์เกินไปผ่านมาหลายปีก็ยังติดอยู่ในขั้นที่ 6 ของผู้ใช้จิตอสูรระดับปฐพี ไม่สามารถตัดผ่านเข้าไปยังระดับสวรรค์ได้”
“หากศิษย์สำนักพิทักษ์เพลิงผลาญฟ้าของเจ้าสามารถพบโชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่และมอบมันให้กับนิกายเพลิงผลาญฟ้าของข้า ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าเป็นโอสถวิญญาณอมตะ ที่จะช่วยให้เจ้าทะลวงผ่านกลายเป็นผู้ใช้จิตอสูรระดับสวรรค์”เทียนซือจิน ได้กล่าวพูด
“ขอบคุณปรมาจารย์จ้าวตำหนัก”
ได้ยินคำสัญญาของ ปรมาจารย์จ้าวตำหนัก เฉียนตว๋อไป๋ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากเขาสามารถได้รับโอสถอมตะมา หลังจากปรับแต่งพลังวิญญาณภายในตัวโอสถที่บริสุทธิ์ เขามีโอกาสที่จะบุกทะลวงกลายเป็นผู้ใช้จิตอสูรระดับสวรรค์ขั้นแรก”
“เย่เฉินเฟิง พวกเราพบกันอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่า เจ้าจะยังมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้”
โหย่วซานเสียน รู้สึกผิดหวังมากที่ หมิงเต๋าสือซู่ อาวุโสของตำหนักหยินหยาง ได้ถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ แต่เขาเชื่อว่าเรื่องนี้มันไม่มีความเกี่ยวข้องกับ เย่เฉินเฟิง ดังนั้นเขาจึงดูถูกอีกฝ่าย
“เจ้ายังไม่ตายแล้วข้าจะชิงลงมือตายก่อนได้อย่างไรกัน”เย่เฉินเฟิง ฉีกยิ้มออกมาอย่างรุนแรง
“ฮึ่ม…”
คำพูดของ เย่เฉินเฟิง ทำให้ ปรมาจารย์จ้าวตำหนัก และ ผู้เชี่ยวชาญจากนิกายเพลิงผลาญฟ้า ต้องหันมาสนใจเขา แม้แต่คนจาก สำนักพิทักษ์นิกายหุบเขาวายุคลั่ง และ สำนักพิทักษ์นิกายหุบเขาวิหคอัสนี เช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะเหล่าคนจากสำนักพิทักษ์อย่างพวกเขา พวกเขาไม่คิดเลยว่า จะมีคนกล้าท้าทายอัจฉริยะที่เป็นศิษย์ของนิกายหลักอย่าง โหย่วซานเสียน
“ฮ่าฮ่า คนอย่างข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก,แต่ถ้าเป็นเจ้าก็ไม่แน่”โหย่วซานเสียน ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองออกมาได้และกล่าวเหยียดหยาม เย่เฉินเฟิง
“มันก็เป็นแค่เรื่องขี้ปากของคนช่างฝันเพียงเท่านั้น”เย่เฉินเฟิง กล่าวเย้ยหยันตอบกลับ
“เย่เฉินเฟิง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถฆ่าสุนัขเช่นเจ้าได้!”โหย่วซานเสียน ตะโกนออกมาทันที
“โอ้ว,ข้ารู้สึกกลัวมากจริง ๆ เอาเถอะ สุนัขที่ดีเช่นข้ามักจะอยู่นิ่ง ๆ ในแบบของตน มันแตกต่างกับ สุนัขบ้าบางตัวที่ชอบเห่าใส่คนอื่นตลอดเวลา ข้าละหน่ายจริง ๆ “เย่เฉินเฟิง เย้ยหยันอีกครั้ง
“เจ้ากล้าเรียกข้าว่าเป็นสุนัขบ้าหรือไม่!”
โหย่วซานเสียน คิดว่าฝีปากของเขานั้นโหดร้ายแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าฝีปากของ เย่เฉินเฟิง จะร้ายกาจยิ่งไปกว่าเขา ทั้งอีกฝ่ายจะกล้าดูถูกเขาต่อหน้าสาธารณะชนจำนวนมาก เขาได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่รุนแรงและจ้องมองไปที่ เย่เฉินเฟิง ราวกับจะกลืนกินอีกฝ่าย
“อะไร,แค่นี้เจ้าโกรธหรือไม่ แล้วเจ้าจะบอกว่าตนเองไม่ใช่สุนัขบ้างั้นเหรอ?”
เย่เฉินเฟิง พูดล้อเลียนอีกฝ่าย และ ปล่อยจิตปราณดาบออกไปเข้าปะทะแรงกดดันกับ โหย่วซานเสียน
“ปราณดาบ!”
รับรู้ได้ถึงจิตปราณดาบในร่างกายของ เย่เฉินเฟิง คิ้วสีขาวราวหิมะของ ปรมาจารย์จ้าวตำหนักเทียนซือจิน เองก็จ้องมองไปที่ เย่เฉินเฟิง ด้วยสายตาที่แตกต่าง
นอกเหนือจากศิษย์นิกายเพลิงผลาญฟ้าที่อยู่ด้านหลังของเขา สำนักพิทักษ์ของนิกายอื่น ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน
แม้แต่นิกายเพลิงผลาญฟ้าเอง ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถตระหนักและเข้าใจในปราณดาบได้ ทั้งศิษย์คนนั้นยังเป็นศิษย์อัจฉริยะ ที่ทะลวงระดับกลายเป็นผู้ใช้จิตอสูรระดับสวรรค์ไปแล้ว
“เย่เฉินเฟิง เพียงแค่เจ้าตระหนักได้ถึงปราณดาบ และ คิดว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้หรือไม่ ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าราวกับบี้มดตัวหนึ่ง”
“งั้นเหรอ?”เย่เฉินเฟิง ยังคงยั่วยุอีกฝ่าย
“พอได้แล้ว!”ปรมาจารย์จ้าวตำหนักเทียนซือจิน ได้กล่าวพูดขึ้น”ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าทั้งสองคนจะมีความบาดหมางกันอย่างไร แต่ศัตรูของพวกเจ้า คือ นิกายหุบเขาวายุคลั่ง และ นิกายหุบเขาวิหคอัสนี ถ้าพวกเจ้ายังไม่หยุดกัดกัน ข้าจะตัดสินให้พวกเจ้าไร้คุณสมบัติในการเข้าร่วมอาณาจักรลับวิญญาณแท้จริง”
เมื่อเห็น ปรมาจารย์จ้าวตำหนักออกตัวขนาดนี้ เย่เฉินเฟิง และ โหย่วซานเสียน ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกพวกเขาได้ยืนอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ
“เอาล่ะในเมื่อทุกคนก็มากันเกือบพร้อมแล้วที่เหลือก็แค่รอเวลาให้ อาณาจักรลับวิญญาณแท้จริงเปิดออกเท่านั้น”
ดวงตาที่แหลมคมของ ปรมาจารย์จ้าวตำหนัก จ้องมองไปที่ เย่เฉินเฟิง และ โหย่วซานเสียน อย่างเยือกเย็น
“เฉินเฟิง ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าให้เจ้าอดทน ทำไมเจ้าถึงไปยั่วยุ โหย่วซานเสียน ในตอนนี้เขาก็มีเหตุผลมากพอที่จะดักฆ่าเจ้าในอาณาจักรลับวิญญาณแท้จริงแล้ว”เฉียนตว๋อไป๋ ได้เข้าไปหา เย่เฉินเฟิง และ กล่าวตำหนิเขา
“ท่านจ้าวสำนัก ท่านคิดว่าข้าเป็นคนที่อยากจะเริ่มเรื่องนี้หรือไม่ ? โหย่วซานเสียน ต้องการที่จะกำจัดข้า แม้ข้าจะทำเป็นไม่สนใจเขา เขาก็จะจัดการกับข้าอยู่ดี”เย่เฉินเฟิง ตอบกลับ
“ใช่แล้ว,ข้าเองก็ไม่คิดว่า ศิษย์น้องเย่นั้นทำอะไรผิด”ฟู่เหยาเยว่ในชุดคลุมดำ เองก็กล่าวช่วพูด
“เห้อ,พวกเจ้าคิดตื้นกันเกินไปแล้ว”
“เจ้าเห็นผู้เชี่ยวชาญในชุดคลุมดำสีทองที่อยู่ข้างกาย โหย่วซานเสียน หรือไม่ ? เขาเป็นผู้อาวุโสของตำหนักหยินหยาง ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ขั้น 5 หากมีอะไรเกิดขึ้นกับ โหย่วซานเสียน เจ้าคิดหรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง เขาคนนั้นสามารถเคลื่อนไหวเพื่อฆ่า เย่เฉินเฟิง ได้ในทันที”เฉียนตว๋อไป๋ กล่าวตอบ
เย่เฉินเฟิง รู้ว่า เฉียนตว๋อไป๋ ไม่ได้พูดเกินจริง หากโหย่วซานเสียน เป็นอะไรไป คนที่ตำหนักหยินหยางจะสงสัยก็จะต้องเป็นเขา แต่ถ้า โหย่วซานเสียน ต้องการจัดการกับเขาจริง ๆ เย่เฉินเฟิง ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องสู้
“ซานเสียน เด็กนั่นเป็นศัตรูของเจ้าหรือไม่?”ศิษย์จากตำหนักหยินหยางคนอื่น ๆ ได้กล่าวถาม โหย่วซานเสียน
“ก็แค่ปลาเล็กตัวหนึ่ง”โหย่วซานเสียนกล่าวตอบ
“เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเจ้าในการฆ่าเขาหรือไม่?”ชายคนนั้นได้กล่าวถามอีกครั้ง
“ไม่จำเป็น ข้าจะฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง”โหย่วซานเสียน จ้องมองไปที่ เย่เฉินเฟิง อย่างดุเดือดและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
“กว๊าก…”
ขณะใกล้ช่วงมืดค่ำ เสียงวิหคหลายตัวได้ส่งเสียงร้องออกมา จากนั้น วิหคสีทองก็บินผ่านท่ามกลางความมืดมิดและลอยอยู่เหนือน่านฟ้าอย่างรวดเร็ว
“เป็นคนจากนิกายหุบเขาวายุคลั่ง”
ปรมาจารย์จ้าวตำหนัก ได้จ้องมองไปที่ วิหคทอง 4 ตัว ที่อยู่บนฟ้า เขาเผยแววตาเจตนาต่อสู้ที่รุนแรงขณะจ้องมองพวกเขา
ไม่นานหลังจากการมาถึงของ นิกายหุบเขาวายุคลั่ง คนจาก นิกายหุบเขาวิหคอัสนี ก็มาถึงที่บึงทมิฬนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาได้เตรียมพร้อมรออยู่ด้านนอก ทางเข้าอาณาจักรลับวิญญาณแท้จริง
ดูเหมือนว่าทั้งสามนิกายจะเห็นพร้อมใจตรงกัน พวกเขาไม่ได้หาเรื่องอีกฝ่าย กลับกัน พวกเขาเลือกที่จะรออย่างเงียบ ๆ เพื่อรออาณาจักรลับวิญญาณแท้จริงเปิดออก
ขณะที่คนจำนวนมากกำลังรออย่างเงียบ ๆ ผ่านไปประมาณ 2 วัน สัญญาณเพลิงสีแดง ยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นกลิ่นอายพลังสวรรค์ปฐพี ที่รุนแรงก็ทะลักออกมา
หลุมมิติแห่งนึงได้ปรากฏขึ้น ณ ใจกลางของ บึงทมิฬแห่งนี้
อาณาจักรลับวิญญาณแท้จริง ได้เปิดออกแล้ว