511 บอกเรื่องในใจกับใครได้บ้าง?
สัตว์ส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่ามนุษย์ เช่นการมองเห็นของอินทรีย์, การได้ยินของหมาป่า, และการดมกลิ่นของสุนัข
ซานเซียนมีท่าทีที่แปลกไป มันดูลุกลี้ลุลนอยู่ไม่สุข
“เป็นอะไรไปซานเซียน? ที่นี่มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนใช้ฟันของมันคาบดึงหวังเย้าออกมา
“นายอยากให้ฉันออกไปจากที่นี่เหรอ?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง!
“รอเดี๋ยวนะ” หวังเย้าพูด เขากระโดดลงไปในหุบเขา เขาอยากจะดูต้นสนที่เขาปลูกเอาไว้อีกสักครั้ง
โฮ่ง! ซานเซียนเดินไปรอบๆหุบเขา แล้วจากนั้นมันก็กระโดดตามลงไป สัมผัสที่หกของมันได้บอกกับมันว่า ผืนดินแห่งนี้มีอันตรายอยู่ และมันก็ไม่ควรจะเข้ามาด้านในนี้ แต่ในเมื่อเจ้านายของมันเข้าไปด้านใน ดังนั้น มันจึงตัดสินใจตามเข้าไปด้วย
ไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น แต่ซานเซียนก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี
ต้นวนกำลังจะตายในไม่ช้า หวังเย้านั้นได้รดน้ำต้นสนด้วยน้ำแร่โบราณทุกวัน แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งการตายของมันได้
ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้? ทำไมฉันถึงไม่ทันสังเกตมาก่อนเลยว่าที่นี่มีปัญหาอยู่?
เขาไม่ได้มาที่หุบเขาทางทิศตะวันตกบ่อยนัก แล้วขุดที่มีปัญหาก็ล้วนแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดนี้ แต่หวังเย้าก็ไม่เคยสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในบริเวณนี้มาก่อนเลย
เขาเดินไปยังอีกจุดที่มีปัญหาเช่นกัน แล้วต้นสนที่จุดนั้นก็มีสภาพไม่ต่างจากต้นแรกมากนัก
บางทีอาจจะมีปัญหาที่ดินก็ได้? หวังเย้าตักดินขึ้นมาเก็บเป็นตัวอย่างและใส่มันลงไปในถุงพลาสติก ฉันจะลองเอามันไปทดสอบดู
โฮ่ง!โฮ่ง!โฮ่ง!
“ก็ได้ๆ เลิกเห่าได้แล้วซานเซียน เราจะกลับกันแล้ว” หวังเย้าลูบศีรษะของซานเซียนและยิ้มออกมา
ไม่นาน เขาและซานเซียนก็กลับมาถึงที่แปลงสมุนไพร
“นายไม่ต้องอยู่แต่ที่นี่ตลอดหรอก ออกไปเล่นเถอะ” หวังเย้าลูบศีรษะของซานเซียนด้วยรอยยิ้ม จากนั้น เขาก็เดินลงไปจากเนินเขาหนานชาน
ศาสตราจารย์ลู่และฉีหว่านกำลังรอคอยหวังเย้าอยู่ที่ด้านนอกคลินิกของเขา
“สวัสดีครับ มารอกันนานรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่หรอกครับ เราเพิ่งจะมาถึงเมื่อกี้นี้เอง” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เมื่อเข้าไปด้านในคลินิกแล้ว ฉีหว่านก็เอาหมวกและผ้าพันคอออก เธอดูดีกว่าเมื่อวานมาก
“วันนี้ คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ” ฉีหว่านพูด
ที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง ตั้งแต่ที่เธอป่วยด้วยภาวะไตวาย เธอก็มีอาการอ่อนแรง, เจ็บปวด, ไม่อยากอาหาร, อาเจียน, นอนไม่หลับ,และบวมน้ำ แต่หลังจากที่เธอได้กินยาของหวังเย้าและได้นวดกับเขา อาการทั้งหมดของเธอก็ลดลงไปมาก เธอรู้สึกแข็งแรงขึ้นและรู้สึกคลื่นไส้น้อยลง และเมื่อคืน เธอก็นอนหลับได้ดีขึ้นด้วย
มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างมาก ที่การรักษาแค่ครั้งเดียวกลับสร้างความแตกต่างได้มากมายขนาดนี้ ตอนนี้ เธอเริ่มเชื่อแล้วว่า หวังเย้าเป็นหมอที่มีฝีมือสูงส่งจริงๆ และมันทำให้ความหวังที่จะหายดีของเธอกลับมาอีกครั้ง เธอได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อีกครั้ง
“ดีครับ วันนี้ ผมจะให้การรักษาคุณเหมือนกับครั้งก่อนนะครับ ตอนนี้กินยาเข้าไปก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
เขาเอายาสองตัวเดิมให้ฉีหว่านดื่ม ซึ่งก็คือยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อและยาฟื้นฟูอวัยวะภายใน และยาตัวที่สองก็คือยาที่หวังเย้าเป็นผู้ปรับปรุงสูตรขึ้นมาด้วยตัวเอง มันเป็นยาที่สามารถช่วยปลอบประโลมอวัยวะสำคัญทั้งห้าในร่างกายของมนุษย์ได้
หลังจากที่เธอดื่มยาเข้าไปได้ 20 นาทีแล้ว หวังเย้าก็เริ่มต้นการนวดให้กับฉีหว่าน
สบายจัง! ฉีหว่านคิด เธอเผลอหลับไปอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะเตือนตัวเองไม่ให้เผลอหลับในคลินิกของหวังเย้าแล้วก็ตาม แต่เธอก็เหนื่อยจนเกินไป เธอรู้สึกอ่อนล้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว การนอนหลับสนิทแค่เพียงหนึ่งคืนจึงไม่สามารถเติมเต็มความต้องการทั้งหมดของเธอได้ แล้วเธอก็หลับไปนานถึงสองชั่วโมง
เครื่องทำความร้อนถูกเปิดเอาไว้ ภายในห้องจึงไม่เย็นเหมือนกับด้านนอก
หวังเย้าชงชาให้กับศาสตราจารย์ลู่
“ขอบคุณครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
ดูเหมือนว่า ชาที่ชงในครั้งนี้จะรสชาติดีกว่ามาก ศาสตราจารย์ลู่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของฉีหว่านได้อย่างชัดเจน มันได้สร้างความหวังให้กับเขา ว่าฉีหว่านอาจจะกลับมาหายเป็นปกติได้ เมื่อมีความหวัง ก็จะมีหนทางให้เดินต่อ เขารู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย
“ขอบคุณมากนะครับ หมอหวัง” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด เขาได้รับข้อความจากธนาคารเพื่อแจ้งว่าเขาได้รับเงินค่ารักษาจากศาสตราจารย์ลู่เรียบร้อยแล้ว และศาสตราจารย์ลู่ก็ได้จ่ายค่ายาของวันนี้ด้วย
ความสงสัยและลังเลได้หายไปจนหมด พวกเขาตัดสินใจที่จะรับการรักษาต่อไป
“ขอโทษ ที่ฉันเผลอหลับไปอีกแล้วนะคะ” เมื่อตื่นขึ้นมา ฉีหว่านก็พูดออกมาด้วยความขัดเขิน
“ไม่เป็นไรเลยครับ นอนหลับสบายดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ หลับสบายมากเลย” ฉีหว่านพูด
“พรุ่งนี้ ให้กลับมาอีกรอบนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ค่ะ” ฉีหว่านพูด จากนั้น เธอก็กลับไปพร้อมกับศาสตราจารย์ลู่
…
ภายในบ้านหลังหนึ่งที่ปักกิ่ง เมดคนหนึ่งกำลังรายงานต่อนายจ้างของเธออยู่
“คุณผู้หญิงคะ ดูเหมือนว่าคุณหนูซูจะมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจนะคะ” เมดพูด
“ฉันรู้แล้ว” ซงรุ่ยปิงถอนหายใจออกมา
ซูเสี่ยวซวีมีอาการดีขึ้นมากแล้ว เธอสามารถขยับแขนทั้งสองข้าง และยังสามารถเดินเกาะผนังได้หลายก้าวอีกด้วย เรื่องนี้ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับคนทั้งตระกูล หลังจากที่ได้ยินข่าวดีนี้ พ่อของเธอถึงกับเดินทางกลับมาที่ปักกิ่งในทันที เขาอยู่ในอารมณ์ที่ดีอย่างมาก เขาอยู่ทานอาหารเย็นที่บ้านและดื่มไวน์ไปแก้วหนึ่ง
แต่ซงรุ่ยปิงกลับเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของซูเสี่ยวซวีแทน เธอยิ้มน้อยลงทุกวันๆ และมักจะมองเหม่อออกไปนอนหน้าต่างอยู่บ่อยครั้ง เธอดูราวกับคนที่มีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
ซงรุ่ยปิงรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวของเธอนั้นคิดอะไรอยู่ แล้วฉันจะทำยังไงดี?
“ช่วยเรียกเฉินหยิงมาหาฉันทีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ได้ค่ะ” เมดพูด
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินหยิงก็มาถึงที่บ้านของตระกูลซู
“คุณผู้หญิงมีเรื่องอะไรให้ดิฉันรับใช้เหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ช่วงนี้ เธอได้คุยกับหมอหวังบ้างรึเปล่า?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ไม่ค่ะ คุณผู้หญิงอยากให้ดิฉันติดต่อกับหมอหวังเรื่องคุณหนูซูเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ใช่” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุณผู้หญิงคะ ดิฉันมีเรื่องอยากจะเสนอให้คุณลองพิจารณาดูสักหน่อยน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เรื่องอะไรเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“บางที คุณผู้หญิงน่าจะพาคุณหนูซูกไปพบหมอหวังที่เหลียนชานดูนะคะ คุณหนูซูอยู่แต่ในบ้านมาเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้น เธอน่าจะพอใจที่จะได้ออกไปข้างนอก แล้วเธอยังได้รับการรักษากับหมอหวังอีกด้วย ตอนนี้ อาการของคุณหนูซูก็ดีขึ้นมากแล้ว ขนาดหมอเฉินกฺยังบอกให้เธอออกไปข้างนอกบ้าง” เฉินหยิงพูด
“อืม…” ความจริงแล้ว ซงรุ่ยปิงก็เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่อากาศในช่วงนี้หนาวเย็นจนเกินไป และเธอก็ไม่ต้องการให้ลูกสาวของเธอเป็นหวัด “ฉันจะลองคิดดู”
“มีอะไรที่คุณผู้หญิงต้องการอีกไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ไม่มีแล้วล่ะ” ซงรุ่ยปิงตอบ
“ค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณผู้หญิง” เฉินหยิงพูด
หลังจากที่เฉินหยิงไปแล้ว ซงรุ่ยปิงก็เดินขึ้นไปหาลูกสาวของเธอที่ชั้นบนของตัวบ้าน ซูเสี่ยวซวีกำลังนั่งมองดูท้องฟ้าอยู่บนรถเข็น ท่าทีของเธอดูโดดเดี่ยวอย่างมาก
ซงรุ่ยปิงรู้สึกสงสารลูกสาวของเธอขึ้นมา “เสี่ยวซวี”
“คุณแม่?” ซูเสี่ยวซวีหันหน้ากลับไปยิ้มกว้างให้กับแม่ของเธอ
“เด็กโง่” ซงรุ่ยปิงกระซิบ “คิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”
“ไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อยู่แต่บ้านทั้งวัน ลูกเบื่อรึเปล่า?” ซงรุ่ยปิงจับมือของลูกสาวเอาไว้ และถามออกไป
“ไม่เลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
คำตอบของเธอทำให้ซงรุ่ยปิงรู้สึกเศร้าใจ ฉันคงจะคิดมากเกินไปสินะ ขอแค่เธอมีความสุขก็พอแล้ว
“แม่พาลูกออกไปข้างนอกดีไหม?” ซงรุ่ยปิงเสนอขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้างนอก? ที่ไหนเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ห่ายชิวจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงตอบ
“ห่ายชิวเหรอคะ?” ดวงตาของซูเสี่ยวซวีเป็นประกายขึ้นมาในทันที
“แม่จะพาลูกไปที่หมู่บ้านที่หมอหวังอยู่ เขาก็จะได้ดูอาการของลูกด้วย ลูกคิดว่ายังไงจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เยี่ยมไปเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างยินดี เธอเฝ้ารอคอยการเดินทางในครั้งนี้มานานมากแล้ว
“แม่จะคุยกับคุณพ่อดูก่อนนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูเสี่ยวซวีมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้าของเธอ
“เด็กโง่!” ซงรุ่ยปิงลูบศีรษะของลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“เธอคิดจะพาเสี่ยวซวีไปห่ายชิวอย่างนั้นเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “แล้วเสี่ยวซวีแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้แล้วเหรอ?”
“ฉันลองปรึกษากับหมอเฉินดูแล้วค่ะ เขาบอกว่า เสี่ยวซวีสามารถเดินทางได้ แล้วห่ายชิวก็ไม่ได้ไกลจากปักกิ่งมาก” ซงรุ่ยปิงตอบ
“ก็ได้ ฉันจะจัดการเรื่องการเดินทางให้” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“อย่าให้มันเอิกเกริกมากนะคะ เพราะเราไปเป็นการส่วนตัว” ซงรุ่ยปิงพูด
“เข้าใจแล้ว แต่ฉันจะต้องทำให้มั่นใจว่า พวกเธอทั้งสองจะเดินทางกันอย่างราบรื่นที่สุด” ซูเซี่ยงฮวาพูด
…
ในตอนกลางวัน หวังเย้าได้เดินทางเข้าไปในตัวเมือง เขาต้องการนำตัวอย่างดินที่ได้มาจากหุบเขาทางทิศตะวันตกไปทำการวิเคราะห์ในห้องแล็ป หลังจากที่ได้คุยกับผู้ดูแลแล็ปแล้ว เขาไม่คิดว่า แล็ปของที่นี่จะสามารถวิเคราะห์ผลออกมาตามที่เขาต้องการได้ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้มอบตัวอย่างดินให้กับพวกเขา จากนั้น เขาก็ขับรถกลับไปที่หมู่บ้าน
เมื่อเดินลงมาจากตัวรถ หวังเย้าก็เจอเข้ากับซุนหยุนเชิงที่ออกมาเดินเล่นด้านนอก “หวังเชียนเชิง”
หวังเย้าไม่แน่ใจว่า ซุนหยุนเชิงเริ่มเรียกเขาว่าหวังเชียนเชิงตั้งแต่เมื่อไหร่ “ออกมาเดินเล่นเหรอครับ?”
“ครับ คุณออกไปข้างนอกมาเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ใช่ ผมเพิ่งจะเข้าไปในตัวเมืองมาน่ะ” หวังเย้าพูดในขณะที่มองไปที่ซุนหยุนเชิง บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่า ฉันจะสามารถเอาดินไปวิเคราะห์ได้ที่ไหน “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“บริษัทของพ่อคุณได้ทำงานกับทางมหาวิทยาลัยหรือศูนย์วิจัยที่ไหนบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“มีครับ คุณต้องการจะทำอะไรเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“พอดีผมมีตัวอย่างดินอยู่ แล้วผมก็อยากจะเอามันไปวิเคราะห์ในห้องแล็ปที่มีความพร้อมดูน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เข้าใจแล้วครับ ปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง” ซุนหยุนเชิงพูด
“โอเค ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
“ยินดีครับ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย” ซุนหยุนเชิงพูด
หลังจากที่เขากลับมาถึงที่บ้านแล้ว ซุนหยุนเชิงก็จัดการติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยในเมืองเต๋าทันที เขาได้สั่งให้คนนำตัวอย่างดินไปส่งให้กับทางมหาวิทยาลัยในคืนนั้นเลย
เช้าวันต่อมา อากาศเย็นยะเยือกแต่พระอาทิตย์กลับเจิดจ้า มันเป็นวันที่สดใสวันหนึ่ง
หวังเย้ามีแขกที่คาดไม่ถึงเดินทางมาที่คลินิก เธอเป็นหญิงสาวผมสั้น เธอดูสะอาดและน่ารัก แต่กลับมีร่างกายที่ผอมแห้ง
“ไฮ นึกยังไงถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ที่นี่ไม่ต้อนรับฉันเหรอ?” กั๋วซือหรงถามกลับไปด้วยท่าทีขี้เล่น
“แน่นอนว่าต้องต้อนรับ เชิญนั่งก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด “คุณดูผอมลงไปเยอะเลยนะ เป็นยังไงบ้าง? ทำงานหนักมากเลยเหรอ?” เขามองออกว่าเธอดูไม่ค่อยดีนัก และยังดูเหนื่อยล้าอีกด้วย
“ฉันเพิ่งกลับมาจากแอฟริกาน่ะ” กั๋วซือหรงพูด
“แอฟรกาเหรอ? คุณไปเที่ยวรอบโลกมาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ ฉันแค่อยากจะออกไปเที่ยว พร้อมกับพักผ่อนไปด้วยน่ะ” กั๋วซือหรงตอบ
“อ่อ ดื่มชาก่อนสิ” หวังเย้าชงชาให้เธอ
พวกเขาเป็นเหมือนกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันนานหลายปี พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่หวังเย้าก็ดูรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ
“ดูเหมือนคุณจะมีเรื่องในใจนะ” หวังเย้าพูด
“ใช่แล้วล่ะ” เมื่อจิบชาเข้าไปแล้ว กั๋วซือหรงก็ตอบออกไป
“มีเรื่องอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหม?” หวังเย้าถาม
“ไม่มีหรอก แต่ก็ขอบคุณนะ” กั๋วซือหรงพูดด้วยรอยยิ้ม หวังเย้ารับรู้ถึงความเศร้าได้จากคำพูดของเธอ
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ศาสตราจารย์ลู่ก็ได้พาฉีหว่านมาที่คลินิก
“รอผมครู่หนึ่งได้ไหม?” หวังเย้าถาม
“ได้สิ ตามสบายเลย” กั๋วซือหรงตอบ
หวังเย้าเอายาให้ฉีหว่านดื่มเข้าไปและนวดให้กับเธอ ครั้งนี้ ฉีหว่านไม่ได้เผลอหลับ ถึงแม้ว่าเธอจะอยากนอนมากแค่ไหนก็ตามที
“คุณไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองหรอกนะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม ฉีหว่านแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไว้ค่อยกลับไปงีบทีหลังก็ได้” ฉีหว่านตอบ เธอรู้สึกอับอายที่ตัวเองเผลอหลับที่คลินิกของหวังเย้าไปถึงสองครั้งด้วยกัน แล้ววันนี้ หวังเย้าก็ยังมีแขกอีกด้วย
“โอเคครับ ขากลับก็พยายามทำตัวให้อุ่นเข้าไว้นะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ค่ะ” ฉีหว่านพูด
“เธอป่วยเป็นอะไรเหรอ?” หลังจากที่ฉีหว่านกลับไปแล้ว กั๋วซือหรงก็ถามขึ้นมา
“ไตวาย” เมื่อจิบชาเข้าไปอึกหนึ่งแล้ว หวังเย้าก็ตอบเธอ
“นายรักษาโรคไตวายได้ด้วยเหรอ?” กั๋วซือหรงถามเขาด้วยความประหลาดใจ
“ก็กำลังพยายามอยู่” หวังเย้าพูด
*ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ตอนนี้ชีวิตเข้าที่เข้าทางดีแล้ว เราเลยกลับมาแปลต่อแล้วค่ะ*