562 เขาคือเทพเจ้า
เขาทำงานอยู่ที่หอสักการะฟ้าเทียนถันมานานหลายปี และได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มาแล้วหลายเรื่อง เรื่องราวของพระราชวังต้องห้ามคือเรื่องที่ได้รับความสนใจมากที่สุด
บางคนพูดว่า เขาเห็นเงาอยู่บนกำแพงในคืนวันฝนตก อีกคนพูดว่า เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากพระราชวังในตอนกลางคืน มีเรื่องราวมากมายถูกเล่าต่อๆกันมา รวมไปถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหอสักการะแห่งนี้ด้วย
“ฉันต้องตาฝาดไปเองแน่ๆ!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินกลับไปพร้อมกับไฟฉายในมือ ระหว่างที่เดินไป เขาก็เผลอหันกลับไปมองที่ด้านหลังครั้งหนึ่ง
โอ้พระเจ้า! เขาอยู่ในอาการตกตะลึง มีชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนยอดหอสักการะฟ้าเทียนถัน เขาถูกล้อมรอบไปด้วยแสงจันทร์ ทั่วทั้งร่างกายของเขาส่องเป็นประกาย ดูราวกับเทพพระเจ้า
(我的天啊!Wǒ de tiān a คำอุทานของคนจีน ที่คล้ายกับ โอ้มายก๊อด หรือโอ้มายบุดดา)
ตุบ!
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคุกเข่าลงและพูดว่า “อามิตาพุทธ อามิตาพุทธ!”
หวังเย้าที่กำลังยืนอยู่บนยอดหอสักการะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่แสนวิเศษ พลังในบริเวณนี้มีอยู่ทั่วไปหมด เขารู้สึกว่า ตัวเขาสามารถเอื้อมไปถึงท้องฟ้าได้จากจุดนี้ เขามีความสุขอยู่กับการได้อาบแสงจันทร์และแสงดาว เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งของร่างกาย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
อยู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง
น่าเสียดายจริงๆ! หวังเย้าถอนหายใจออกมา
เขามองตามเสียงไปและเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่า พร้อมกับไฟฉ่ายที่หล่นอยู่บนพื้น
“ฉันคงจะทำให้เขากลัวมาแน่ๆ” หวังเย้าพูด
เขากระโดดไปยังอีกฝั่งหนึ่งของหอสักการะ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าหรือลุกขึ้นยืน เมื่อในที่สุดที่เขาตัดสินใจลุกขึ้นและมองไปรอบๆ ร่างที่อยู่บนยอดหอสักการะก็ได้หายไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนมาสูง แต่เขาก็คุ้นเคยกับหอสักการะแห่งนี้ดี เขารู้ความสูงของที่นี่ ซึ่งมีความสูงอยู่ที่ 38 เมตร ไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนนั้นโดยไม่ใช่อุปกรณ์ช่วยเหลือได้ นอกจากว่า คนคนนั้นจะไม่ใช่มนุษย์
เขาเป็นตัวอะไรกันแน่? เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมีเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเพราะความกลัว
หลังออกมาจากหอสักการะฟ้าแล้ว หวังเย้าก็ยังไม่ได้กลับไปที่โรงแรมในทันที แต่เขากลับตรงไปที่หอสักการะดินตี้ถันต่อ เขาต้องการตามหาความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ในตอนนั้นอีกครั้ง แต่เขาก็ล้มเหลว
น่าเสียดาย!
เขารู้ดีว่า ทั้งหมดคือโอกาสในครั้งนี้ ทำให้เขาสามารถเข้าถึงส่วนลึกของโลกได้ ครั้งก่อนที่อยู่บนกำแพงเมืองจีน เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของจักรวาล ในครั้งนี้ เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หรือที่ไหน ที่จะทำให้เขาสามารถเข้าถึงจักรวาลได้อีกครั้ง
ได้เวลาไปแล้ว
เขากลับไปที่โรงแรม มันเป็นค่ำคืนมีสงบสุข
วันต่อมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกะกลางคืนที่หอสักการะฟ้าเทียนถันได้มาลาออกจากงาน
“ทำไมล่ะ?” หัวหน้าของเขาถาม เขาต้องการเก็บลูกน้องที่ซื่อสัตย์แบบเขาเอาไว้
“เมื่อคืนผมเห็น ไม่เทพเจ้าก็ผีนี่แหละครับ” เขาพูด
ไม่ว่าเขาจะเห็นอะไรก็ตาม เขาก็ไม่คิดจะทำงานที่นี่ต่อไปอีกแล้ว เขาไม่อยากจะทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่
หวังเย้าเดินทางไปที่บ้านตระกูลหวูเพื่อให้การรักษาชายชราเหมือนกับทุกครั้ง
“ผมทำเท่าที่ผมจะทำได้แล้ว ผมจะกลับบ่ายวันนี้แล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“ครับ” หวูถงชิ่งไม่ได้พูดอะไรมาก
“หมอจะไม่ไปบอกลาคุณหนูซูสักหน่อยเหรอคะ?” หลังจากที่ได้ยินว่า หวังเย้าจะกลับแล้ว เฉินหยิงจึงถามเขาเรื่องนี้
“ไม่จำเป็นหรอกครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันคิดว่า เธอคงจะเสียใจมากที่ไม่ได้บอกลาคุณนะคะ” เฉินหยิงพูด
เที่ยวบินของหวังเย้าคือตอนบ่าย เฉินหยิงและเฉินโจวเป็นคนไปส่งเขาขึ้นเครื่องกลับ
ทันทีที่เครื่องบินบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็มีใครคนหนึ่งมาที่กระท่อมที่หวังเย้าเคยพัก และเธอก็คือ ซูเสี่ยวซววี
“ไม่มีใครอยู่เหรอ?” เธอรู้สึกผิดหวังที่พบว่าประตูถูกล็อกเอาไว้
“ฉันน่าจะโทรไปถามพี่เฉินหยิงก่อน
“เห็นไหม? ผิดจากที่ฉันพูดเมื่อไหร่ล่ะ?” เฉินหยิงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นเบอร์ของซูเสี่ยวซวีบนหน้าจอมือถือของเธอ
“อะไรนะคะ? หมอหวังกลับไปแล้วเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ?” ตามคาด ซูเสี่ยวซวีรู้สึกผิดหวังอย่างมาก
“เมื่อกี้นี้เองค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ทำไมเขาไม่บอกฉันเลย ว่าเขาจะกลับวันนี้น่ะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“หมอหวังบอกฉันไม่ให้บอกใครค่ะ เขาไม่อยากรบกวนเวลาของคนอื่น ขอโทษด้วยนะคะ” เฉินหยิงพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ” ซูเสี่ยวซวีวางสายไป
“คุณหนูซูอยากจะไปที่ไหนคะ?” เมดวัยประมาณ 40ถาม
“ไม่ไปที่ไหนแล้วค่ะ หนูอยากกลับบ้าน” อยู่ๆเธอก็หมดความสนใจที่จะทำเรื่องต่างๆขึ้นมาดื้อๆ
“ได้ค่ะ” เมดพูด
ระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขาก็บังเอิญเจอกับชายหนุ่มที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว
“เสี่ยวซวี ผมมาเยี่ยมเธอที่บ้านน่ะ” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอไปไหนมาเหรอ?”
“แค่ออกเดินเล่นมาน่ะ” ซูเสี่ยวซวีไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะคุยกับกั๋วเจิ้งเหอ แล้วเธอก็ไม่ได้ชอบเขาด้วย
ทำไมหมอหวังถึงไม่มาบอกลาฉันนะ? หรือจะเป็นเพราะเขารำคาญฉันกัน? เธอหยุดคิดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย
เมื่อเห็นว่า ซูเสี่ยวซวีกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ กั๋วเจิ้งเหอจึงไม่ชวนเธอคุยต่อ และเพียงแค่เดินไปส่งเธอที่บ้านเท่านั้น
“เจิ้งเหอ?” ซงรุ่ยปิงรู้สึกแปลกใจที่เห็นเขา
ชายหนุ่มมีความแน่วแน่อย่างมาก เขามาที่นี่อยู่บ่อยๆ!
กั๋วเจิ้งเหอไม่คิดที่จะปิดบังความสนใจที่เขามีต่อซูเสี่ยวซวีเลยสักนิด
“คุณแม่คะ หนูเหนื่อยแล้ว ขอตัวกลับไปพักที่ห้องก่อนนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ได้จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ดูและตัวเองดีดีล่ะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ซูเสี่ยวซวีไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อคุยกับกั๋วเจิ้งเหอ ที่มักจะมาหาเธออยู่บ่อยๆ เธอกลับไปที่ห้องและนั่งนิ่งๆอยู่ข้างหน้าต่าง
กั๋วเจิ้งเหอไม่ได้อยู่นานนัก
“เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปแล้วสินะ” ซงรุ่ยปิงพูด
หลังจากที่กั๋วเจิ้งเหอกลับไปแล้ว ซงรุ่ยปิงก็ถามคำถามกับเมด “เสี่ยวซวีเป็นอะไรไปเหรอ?”
“หมอหวังกลับไปแล้วค่ะ” เมดพูด
“แล้วเฉินหยิงล่ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เธอเป็นคนไปส่งหมอหวังที่สนามบินค่ะ” เมดพูด
ซงรุ่ยปิงพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
เธอไปหาลูกสาวของเธอที่ห้อง และพบว่า ซูเสี่ยวซวีกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าต่าง
“คุณแม่?” เมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ เธอจึงหันกลับไปมอง
ซงรุ่ยปิงนั่งลงข้างๆลูกสาวของเธอและถามอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกคิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”
“คุณแม่คิดว่า หนูน่ารำคาญไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่แน่นอนจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงรีบตอบทันที “ลูกสาวของแม่ทั้งนิสัยดีและน่ารักเหมือนกับนางฟ้าตัวน้อยๆ ทุกคนต่างก็ชอบลูกกันทั้งนั้น บนโลกใบนี้ ไม่มีทางที่จะมีคนรำคาญลูกได้หรอกจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่หนูไม่คิดแบบนั้นนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ลูกอยากจะออกไปเที่ยวนอกปักกิ่งไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
เธอรู้ว่าลูกสาวของเธออยากออกไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ และเธอก็มีความสุขที่ได้พาลูกสาวของเธอไปในแต่ละที่ เพราะซูเสี่ยวซวีต้องนอนอยู่แต่บนเตียงมานานหลายปี โชคดีมากแค่ไหนแล้ว ที่จิตใจของเธอไม่แตกสลายไปเสียก่อน
ซงรุ่ยปิงได้ปรึกษาเรื่องลูกสาวของเธอกับจิตแพทย์ดูแล้ว จิตแพทย์ได้บอกกับเธอว่า มันเป็นเรื่องปกติที่อารมณ์ของซูเสี่ยวซวีจะขึ้นๆลงๆ หลังจากที่เธอต้องทรมานจากโรคร้ายมานานหลายปี มันถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว ที่ซูเสี่ยวซวีไม่ได้เป็นบ้าไป หลังจากที่เธอต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสในครั้งนั้น แล้วจิตใจของเธอก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง
ซงรุ่ยปิงเชื่อว่า การได้ออกไปท่องเที่ยวและพบปะผู้คนมากมาย คือเรื่องที่ดีสำหรับซูเสี่ยวซวี
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วลูกอยากไปที่ไหนล่ะจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม “แม่จะไปกับลูกเอง”
“หนูอยากจะไปภูเขาซานชิง, ภูเขาหลงหู่, กับทิวเขาอู่ตังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“หา?” ซงรุ่ยปิงรู้สึกประหลาดใจ
ทั้งสามสถานที่ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับลัทธิเต๋า ความจริงแล้ว สถานที่ที่ซูเสี่ยวซวีอยากไปมากที่สุดก็คือ หมู่บ้านที่หวังเย้าอยู่ มันอาจจะเป็นเพราะเธออ่านคัมภัร์เต๋าเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เธอเลือกจุดหมายลำดับที่สองที่เธออยากจะไปมากที่สุดแทน
“ได้จ๊ะ แม่จะไปกับลูกเองนะ” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม
หวังเย้าเดินทางมาถึงห่ายชิวในคืนวันนั้น เขามีสายไม่ได้รับอยู่สองสามสาย และทั้งหมดก็คือสายจากศาสตราจารย์ลู่ หวังเย้าจึงโทรกลับไปหาเขา
ศาสตราจารย์ลู่รู้สึกกังวลมาก เพราะว่าอาการของเวินหวานทรุดลงอย่างรวดเร็ว
“เธอยังดูและแม่ของเธออยู่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เขารู้สึกกังวลอย่างมาก เขาและพี่น้องของเวินหว่านต่างก็พยายามพูดหว่านล้อม เพื่อให้เธอเลิกดูแลแม่ของเธอ แต่เธอก็ไม่ฟังใครเลย เธอดึงดันที่จะดูแลแม่ที่ป่วยหนักของเธอต่อ แม้แต่คนปกติที่ต้องดูแลคนป่วยก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงคนที่กำลังป่วยหนักอย่างเธอเลย
“เธอได้กินเม็ดยาจิ่วเฉาไปรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“เธอกินยาหมดไปแล้ว” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เดิมที เม็ดยาจิ่วเฉาช่วยพยุงอาการของเวินหว่านได้ดีมาก แต่แล้วศาสตราจารย์ลู่ก็พบว่า อาการของเธอแย่ลงในทุกๆวัน เขาทั้งกังวลและโมโหเธอมาก
“เธออยากจะตายก่อนแม่ของเธอใช่ไหม? เธออยากจะให้แม่เห็นเธอตายไปต่อหน้าอย่างนั้นเหรอ?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
พี่น้องของเวินหว่านก็โมโหเธอมากเช่นกัน พวกเขาไม่ต้องการสูญเสียคนในครอบครัวไปพร้อมๆกันถึงสองคน เวินหว่านจึงค่อยๆยอมใจอ่อนและเข้ารับการรักษา แต่ทันทีที่เธอไปถึงโรงพยาบาล อาหารของเธอก็ทรุดลงในทันที