578 คนตาย
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
ศีรษะของชายคนนั้นเอียงไปข้างหนึ่ง ศีรษะด้านหลังของเขากระแทกเข้ากับกำแพงของร้าน แล้วเขาก็หมดสติไป เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็มองเห็นเดือนดาวและนกน้อยบินวนอยู่ตรงหน้า รวมทั้งยังได้ยินเสียงแปลกๆที่ข้างหูด้วย
เขาหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกๆ
ดวงตาของเฉินหยิงเป็นประกายขึ้นมา เขาปลดปล่อยพลังฉีที่รุนแรงเหมือนลมพายุออกมา!
นี่มันบ้าอะไรกัน? แค่เพราะฉันไปแตะใส่ตัวเขาเนี่ยนะ?
ไม่มีคนฉลาดที่ไหน พยายามที่จะทำเรื่องโง่ๆต่อหน้าหวังเย้า แล้วทำให้ตัวเองต้องขายหน้าแทน ชายคนนี้เป็นคนโมโหร้ายก็จริง แต่เขาไม่ได้โง่ เขาเดินเลี่ยงหวังเย้าออกไปต่อหน้าคนมากมาย
“พวกแกรอก่อนเถอะ” ชายคนนั้นพูด มันเป็นเหมือนคำพูดคลาสสิคที่มีอยู่ในหนังหลายๆเรื่อง
“รอก่อน คุณต้องจ่ายค่าอาหารด้วย” เจ้าของร้านพูด
ชายคนนั้นโยนเงินจำนวนหนึ่งลงไปบนโต๊ะ ก่อนที่จะจากไป ในตอนที่เดินออกไปนั้น เขายังคงพูดสบถไปตลอดทาง
“ผมขอโทษที่รบกวนคุณลูกค้านะครับ ผมขอรับประกันว่า อาหารแต่ละจานของทางร้านเป็นของคุณภาพดีอย่างแน่นอน สำหรับวันนี้ ผมจะลดราคาค่าอาหารให้ลูกค้า 20% ทกโต๊ะเลยนะครับ” เจ้าของร้านพูด
“เยี่ยม” ลูกค้าคนหนึ่งพูด
“เจ้าของร้านทำธุรกิจได้เก่งจริงๆ” ลูกค้าอีกคนพูด
คนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ต่างก็พอใจกับเรื่องนี้ แล้วกิจการก็ดำเนินไปตามปกติ
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้มากเลยนะครับ” เจ้าของร้านเดินออกไปส่งหวังเย้าที่ด้านนอกตัวร้าน เพื่อขอบคุณหวังเย้า ที่ช่วยไม่ให้ร้านต้องเสียชื่อเสียง
“ยินดีครับ ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย” หวังเย้าพูด
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมอไม่ต้องจ่ายเงินค่าอาหารที่ร้านนี้อีกต่อไป” เจ้าของร้านพูดอย่างใจกว้าง
“ไม่มีทางครับ! ถ้าไม่อย่างนั้น ผมจะไม่มาทานที่นี่อีก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไปกันเถอะครับ” หวังเย้าพูดกับเฉินหยิง
พวกเขากลับไปถึงหมู่บ้านก็เป็นตอนที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แสงไฟข้างทางเปิดส่องสว่างเพื่อให้เห็นทาง ชาวบ้านบางส่วนยืนคุยกันอยู่ตามข้างถนน
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ” เฉินหยิงพูด
“อย่าเกรงใจกันเลยครับ ก็แค่มื้ออาหารธรรมดาๆเท่านั้น ผมไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกคุณทั้งสองแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่จอดรถเสร็จแล้ว หวังเย้าก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน เฉินหยิงและเฉินโจวก็เดินกลับไปที่บ้านเช่าของพวกเขา มันเป็นเวลาเกือบจะสองทุ่มแล้ว
“พี่ ตอนที่อยู่ที่ร้านอาหาร หมอหวังทำอะไรเหรอ?” เฉินโจวถาม เขารู้สึกทึ่งกับการกระทำของหวังเย้ามาก
“หมอหวังเป็นสุดยอดปรมาจารย์กังฟูจ๊ะ แล้วเขาก็ได้ปล่อยพลังฉีออกมาตอนอยู่ที่ร้านอาหาร” เฉินหยิงพูด
“สุดยอดไปเลย!” เฉินโจวเคยได้ยินพี่สาวของเขามาว่า ทักษะกังฟูของหวังเย้านั้นดีพอๆกับทักษะการรักษาของเขา เฉินโจวรู้ดีว่า หวังเย้าเป็นหมอที่เก่งมาก เพราะหวังเย้าสามารถทำให้เขาที่ป่วยมานานหลายปีกลับมาเป็นปกติได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นทักษะกังฟูของหวังเย้าด้วยตาตัวเอง เขารู้สึกอัศจรรย์ใจมาก มันเหมือนกับเขากำลังดูหนังที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่ยังไงยังงั้น
“แล้วปรมาจารย์กังฟูมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆสินะ” เฉินโจวพูด
“เขายังดีกว่าที่เธอเห็นวันนี้ด้วยนะ” เฉินหยิงพูด
เธอได้เห็นความสามารถของหวังเย้าในการควบคุมสายลมและสายฝน ในคืนวันฝนตกที่กำแพงเมืองจีนมาแล้ว ถ้าเธอไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เธอก็คงจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“แล้วหมอหวังมีศิษย์ไหม?” เฉินโจวถาม
“หา?” เฉินหยิงถามด้วยความแปลกใจ
“ผมอยากจะเรียนกังฟู พี่ก็รู้นี่ ว่าผมอยากเรียนกังฟูมาตลอด” เฉินโจวพูด
เธอรู้เรื่องงานอดิเรกของน้องชายเธอดี เขาหลงใหลในกังฟูตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายตัวน้อย เขาชื่นชอบการดูหนังกังฟู อ่านนิยายกังฟู และจมอยู่กับโลกของกังฟู เขาฝันว่าตัวเองจะกลายเป็นฮีโร่เหมือนอย่างในหนังและนิยาย ตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาเคยขอให้เฉินหยิงสอนกังฟูให้กับเขา เฉินโจวเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เขาถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านนี้มาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาการป่วยทางจิตของเขา เขาก็อาจจะกลายเป็นนักต่อสู้ที่เก่งกาจคนหนึ่งไปแล้ว
“ไว้พรุ่งนี้ พี่จะลองถามเขาดูให้นะ” เฉินหยิงพูด “แต่เธอต้องรู้ไว้นะว่า หมอหวังไม่ใช่จะยอมรับลูกศิษย์กันง่ายๆ แล้วพี่ก็สอนให้เธอได้ด้วย”
“เยี่ยมไปเลยครับพี่ ผมยังจำตอนที่พี่สอนผมตอนเป็นเด็กได้อยู่เลย” เฉินโจวพูด
…
เวินหว่านกำลังคุยอยู่กับศาสตราจารย์ลู่และลูกชายของเธอ
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ทั้งสองคนไปนอนเถอะ” เวินหว่านพูดอย่างอ่อนแรง
คืนก่อนหน้านั้น ศาสตราจารย์ลู่และลูกชายของเวินหว่านไม่ได้นอนหลับกันอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจำเป็นต้องเฝ้าดูอาการของเวินหว่านตลอดทั้งคืน ตอนนี้อาการของเธอดีขึ้นแล้วจริงๆ เธอไม่คิดว่า ทั้งสองคนจะยังเฝ้าเธอต่อในคืนนี้อีก แล้วทั้งสองก็ไม่ยอมทำตามที่เธอขอด้วย
“แม่ไม่ต้องห่วงเราหรอกครับ อีกเดี๋ยวลุงลู่กับผมก็จะไปนอนแล้ว” ลูกชายของเธอพูด
“ใช่แล้วล่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ก็ได้จ๊ะ ถ้าอย่างนั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ” เวินหว่านเอาผ้ามาห่มและค่อยๆหลับไป
ศาสตราจารย์ลูและลูกชายของเวินหว่านนั่งอยู่ข้างเตียงเงียบๆ ไม่มีใครเริ่มพูดขึ้นมาก่อน หลังจากมั่นใจแล้วว่า เวินหว่านหลับไปแล้วจริงๆ พวกเขาก็เริ่มพูดกันด้วยเสียงเบาๆ
“ลุงคิดว่า อาการแม่ของเธอดีขึ้นกว่าสองวันที่แล้วมากนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ใช่ครับ เธอดูอาการดีขึ้นมาก เสียงพูดก็ดังกว่าเดิม แล้วยังกินได้เยอะขึ้นด้วย” ลูกชายของเวินหว่านที่มีชื่อว่า ฟ่านโยวเหริน พูด
การที่คนป่วยไม่มีความอยากอาหาร ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี คนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่กินอะไรเลย เมื่อหยุดกิน เขาหรือเธอก็จะหมดแรง เมื่อไม่นานมานี้ เวินหว่านก็เคยอยู่ในสภาพนั้น ตอนนี้ เธอเริ่มกลับมากินได้อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี
“เราพาแม่ของเธอไปหาหมอหวังพรุ่งนี้กันดีไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
“ดีครับ” ฟ่านโยวเหรินพูด
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น
…
เฉินโจวตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น เขากำลังฝึกฝนในท่านั่งกับพี่สาวของเขา
“ทำได้ดีนิ” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม
ตราบใดที่เฉินโจวมีพื้นฐานทักษะที่ดี ต่อไป เขาก็จะสามารถเลือกเรียนทักษะอื่นๆได้ง่ายขึ้น เธอไม่รู้เลยว่า เฉินโจวไม่เคยหยุดฝึกกังฟูเลย แม้แต่ตอนที่เขารักษาอยู่ในโรงพยาบาลก็เช่นกัน แต่แน่นอนว่า เฉินโจวไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตัวเองได้ฝึกกังฟูเป็นครั้งคราว เพราะมันเป็นตอนที่อาการทางจิตของเขากำเริบนั่นเอง
หลังจบการฝึกในช่วงเช้า พวกเขาก็ทานอาหารเช้า ก่อนที่จะไปคลินิกของหวังเย้า ซึ่งมีบางคนมารออยู่ก่อนแล้ว
ทันทีที่ตะวันโผล่พ้นขึ้นมา ฟ่านโยวเหรินก็ออกมาจากบ้าน เขาหันหน้าไปทางเนินเขาหนานชานเพื่อมองหาหวังเย้า เมื่อเห็นหวังเย้าเดินตรงไปที่คลินิก เขาและศาสตราจารย์ลู่ก็พาเวินหว่านมาที่คลินิกของหวังเย้าทันที
หวังเย้าตรวจดูอาการของเวินหว่าน อาการของเธอดีขึ้นมาก ชีพจรของเธอไม่เต้นอ่อนแรงเหมือนตอนนั้นแล้ว และยังเต้นแรงขึ้นด้วย อวัยวะภายในที่ได้รับความเสียหาย ก็เริ่มมีการฟื้นตัวขึ้น
“ยาได้ผล” หวังเย้าพูด ขี้ผึ้งต้วนชื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ให้เธอกินยาต่อได้เลยนะครับ”
เขานำขี้ผึ้งต้วนชื่อหนึ่งช้อนโต๊ะไปเจือจาง และใส่ลงไปในขวดยา
“เอาไว้สำหรับกินนะครับ” หวังเย้าเขียนปริมาณยาที่ต้องกินในแต่ละครั้งและวิธีการกิน
หลังจากเอายาให้เธอกินไปถ้วยหนึ่ง หวังเย้าก็รอต่อไปอีก 30 นาที ก่อนที่จะทำการรักษาต่อ
“ช่วยถอดเสื้อคลุมของเธอด้วยครับ” หวังเย้าพูด
ฟ่านโยวเหรินช่วยถอดเสื้อคลุมตัวหน้าให้แม่ของเขา
“ช่วยนอนลงด้วยครับ” หวังเย้าพูด
เขาเริ่มทำการฝังเข็มลงไป มือของเขานิ่งและเคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ หวังเย้าพยายามหลีกเลี่ยงจุดฝังเข็มที่ค่อนข้างไวต่อสู้กระตุ้น การฝังเข็มเป็นการช่วยให้ร่างกายดูดซึมตัวยาได้ดีขึ้นและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
“เรียบร้อยครับ ช่วยพยุงเธอลุกขึ้นที” หวังเย้าพูด “อีกสองวัน ให้กลับมาอีกทีนะครับ”
“ได้ครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด หลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขาและฟ่านโยวเหรินก็จากไปพร้อมกับเวินหว่าน
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถามเฉินหยิงที่รออยู่
เฉินหยิงจึงได้พูดจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่
“เธออยากจะเรียนกังฟูเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ หมอสอนผมได้ไหม?” เฉินโจวถาม
“เธอยังไม่ทิ้งความฝันที่จะได้เป็นจอมยุทธ์สินะ” หวังเย้าพูด
เขาจำวันแรกที่เขาเจอกับเฉินโจวได้ ซึ่งมันเป็นตอนที่เฉินโจวอาการกำเริบพอดี ในตอนนั้น เฉินโจวได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับดาบและวิถีดาบ 42วิถี
“ไม่ครับ ไม่เคยเลยสักครั้ง” เฉินโจวพูด
“ขอโทษด้วยที่ฉันต้องทำให้เธอผิดหวังซะแล้วล่ะ ตอนนี้ ฉันยังไม่มีแผนการที่จะรับลูกศิษย์หรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินโจวดูผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่แปลกใจกับคำตอบของหวังเย้ามากนัก “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมไม่น่าถามเลย”
“ไม่เป็นไร ความจริง พี่สาวของเธอก็เก่งเรื่องกังฟูมากเลยนะ เธอเรียนจากเธอก็ได้นี่นา” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ” เฉินโจวพูด
“อย่าเสียใจไปเลยนะ” หลังพวกเขาออกมาจากคลินิกแล้ว เฉินหยิงก็พูดออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกพี่” เฉินโจวยิ้ม “ผมเรียนกับพี่เหมือนเมื่อก่อนก็ได้”
“โอเค” เฉินหยิงพูด
มันเป็นเช้าที่สดใสและอบอุ่น และเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินเล่น
มีคนไข้มาอีกคนในตอน 10.30 คนไข้เป็นชาวบ้านที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ ซึ่งมาด้วยอาการปวดศีรษะ หวังเย้าจึงนวดรักษาให้กับเขา
ในตอนที่หวังเย้ากำลังจะหยุดพักและดื่มน้ำอยู่นั้น ก็มีคนผลักเปิดประตูคลินิกและรีบร้อนเข้ามาในคลินิก
“สวัสดีครับ ลุงเฟิงหมิง มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าลุกขึ้นยืน
“เสี่ยวเย้า มีคนตายบนเนินเขาหนานชาน!” หวังเฟิงหมิงพูด
“อะไรนะ?” หวังเย้ารู้สึกตกใจ