601 ต้นสน
หมู่บ้านหลายแห่งในเหลียนชาน มีชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ในวัยประมาณ 50 ปีขึ้นไป มีคนหนุ่มสาวไม่มากนักที่ยินดีจะอาศัยอยู่ในเขตชนบทแบบนี้
“พูดตามตรงนะ ฉันก็คิดเรื่องย้ายออกเหมือนกัน” หลังจากที่เงียบไปสักพัก หวังเจียนหลี่ก็พูดขึ้นมา
“ถ้าพี่ย้ายออกไป แล้วหมู่บ้านจะเป็นยังไง?” จางซิวหยิงถาม
หวังเจียนหลี่เป็นผู้ใหญ่บ้านมา 10 กว่าปี เขาได้รับความไว้วางใจจากทั้งชาวบ้านและหัวหน้า
“ฉันคุยเรื่องนี้กับเมียฉันแล้วล่ะ เราตัดสินใจจะอยู่ที่หมู่บ้านนี้ต่อไป จนกว่าจะมีการสั่งการลงมาว่าให้ทุกคนในหมู่บ้านย้ายออก” หวังเจียนหลี่พูด “แล้วพวกนายล่ะ?”
“เราจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน” หวังเฟิงฮวาพูด
เขาได้คุยเรื่องนี้กับจางซิวหยิงแล้ว พวกเขาจะไม่ไปไหน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ตาม
“ดี” หวังเจียนหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
เขาพยายามดึงชาวบ้านให้อยู่ต่อให้มากที่สุดเท่าที่เขาพอจะทำได้ เพราะถึงยังไง หมู่บ้านก็ยังคงอยู่ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานหลายสิบปี และพวกเขาก็ไม่อยากจากไปไหน
หวังเจียนหลี่อยู่คุยกับหวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงเป็นเวลานาน
สองสามวันมานี้ เขาไปเยี่ยมมาแล้วหลายบ้าน และเขาได้เริ่มจากบ้านที่มีอิทธิพลกับชาวบ้านมากที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก
“หลังผ่านเรื่องนี้ไป คงจะมีชาวบ้านไม่กี่คนที่จะอยู่ที่นี่ต่อ” จางซิวหยิงพูด
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น” หวังเฟิงฮวาพูด
หวังเย้าเอาแต่เงียบ ความจริงแล้ว เขาชอบที่จะมีคนอยู่รอบๆน้อยลงมากกว่า เพราะมันหมายถึงปัญหาที่น้อยลงไปด้วย แต่แน่นอนว่า เขาไม่สามารถปล่อยให้พ่อแม่ของเขารู้เรื่องนี้ได้
เขาออกจากบ้านไปตอนสามทุ่ม และเดินกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเห่าของสุนัข ชาวบ้านหลายคนจัดการกับสุนัขที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้ เพราะไม่มีใครอยากติดเชื้อ
เฮ้อ! เมื่อเดินไปถึงใต้สุดของหมู่บ้าน หวังเย้าก็หันกลับไปดูหมู่บ้านที่อยู่เบื้องหลังของเขา
บรรยากาศภายในหมู่บ้านได้เปลี่ยนไป ทั้งหมดให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
เช้าวันต่อมา มีแขกมาที่คลินิกของหวังเย้า เมื่อการกักบริเวณหมู่บ้านผ่อนคลายลง พันจวินก็ตัดสินใจมาเยี่ยมเขา
“สวัสดี อาจารย์” พันจวินพูด
“วันนี้ ไม่ทำงานเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ได้ทำ” พันจวินตอบ “วันนี้ อาจารย์ว่างไหม?”
“ว่างครับ นั่งก่อนสิ” หวังเย้าพูด
“ฉันได้ยินมาว่า อาจารย์คือคนที่คิดค้นยารักษาโรคระบาดขึ้นมา” พันจวินพูด
ทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาลต่างก็พากันพูดถึงเรื่องโรคระบาดที่เกิดขึ้น ตัวหลักของเรื่องนี้ก็คือ ศาสตราจารย์หวูจากปักกิ่ง แต่สิ่งที่คนมุ่งเป้าความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องของการรักษา
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์สุดยอดไปเลย” พันจวินพูดออกมาจากใจจริง
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด
พันจวินบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเหลียนชาน มีหมอสองสามคนที่ติดเชื้อจากโรคระบาดในครั้งนี้ โชคดีที่สามารถรักษาให้หายได้ ถึงแม้พวกเขาจะหายดีแล้ว แต่หมอเหล่านั้นก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่หาย
หวังหมิงเปาเดินทางมาถึง ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่
“ว่าไง ทั้งสองคน! ในที่สุดฉันก็มาที่นี่ได้สักที” หวังหมิงเปาพูด
พักหลังมานี้ เขาโทรหาหวังเย้าเกือบทุกวัน เพราะเขารู้สึกเป็นห่วงหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของเขาเอง
“นายยังโอเคอยู่ไหม?” หวังหมิงเปาถาม
“ฉันสบายดี เราทุกคนสบายดี” หวังเย้าพูด
“ตอนมาที่นี่ ฉันเจอชาวบ้านตั้งหลายคนแน่ะ พวกเขาบอกฉันมาว่า มีชาวบ้านหลายคนที่กำลังจะย้ายออกด้วยล่ะ” หวังหมิงเปาพูด
“ที่พวกเขาบอกเป็นเรื่องจริง” หวังเย้าพูด
“ทำไมพวกเขาจะต้องย้ายออกด้วยล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม “ฉันว่า หมู่บ้านของเราน่าอยู่มากเลยนะ”
หวังเย้าไม่ได้เล่าลงรายละเอียดมากนัก แล้วเขาก็ไม่ได้ชวนพันจวินและหวังหมิงเปาทานอาหารกลางวันด้วยกัน หวังหมิงเปาจึงแวะไปที่บ้านปู่ย่าของเขา
ในตอนกลางวัน หวังเย้าขึ้นไปบนเนินเขาซีชานเพียงลำพัง บรรยากาศโดยรอบหลุมยังคงความกดดันเอาไว้อยู่ ซึ่งมันก็ไม่ได้มากเท่าแต่ก่อนแล้ว แต่ความอันตรายยังคงซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ฉันต้องหาคำตอบของเรื่องนี้ให้ได้
ภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้าน เฉินโจวรู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมา
“โอ๊ย!” เขาเอามือสองข้างกุมศีรษะเอาไว้ อยู่ๆเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “พี่!”
“มีอะไร?” เฉินหยิงถาม
“ผมปวดหัว” เฉินโจวพูด
“ปวดมากไหม?” เฉินหยิงถาม
“ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย” เฉินโจวพูด “พี่บอกให้หมอหวังมาที่นี่หน่อยได้ไหม?”
หวังเย้ากำลังเดินอยู่บนเนินเขาซีชาน เขากำลังคิดวางแผนที่จะทำอะไรบางอย่างกับสถานที่แห่งความตายนี้ เขาคิดหาวิธีการมากมายหลายอย่างเพื่อแก้ไขความผิดปกติของมัน แล้วอยู่ๆมือถือของเขาก็ส่งเสียงดังขึ้นมา
“ฮัลโหล พี่เฉินหยิง” หวังเย้าพูด
“น้องชายของฉันมีอาการปวดหัวค่ะ เขาบอกว่า เขากลัวว่าอาการของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก” เฉินหยิงพูด
“โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” หวังเย้าพูด
เขาลงไปจากเนินเขาซีชานด้วยความรีบร้อน เพียงกระโดดแค่ไม่กี่ครั้ง เขาก็ไปถึงที่ตีนเขาแล้ว และไม่นาน เขาก็มาถึงบ้านที่เฉินหยิงและเฉินโจวเช่าอยู่
“เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ผมปวดหัวครับ” เฉินโจวพูด
“ฉันขอตรวจดูหน่อยนะ” หวังเย้าจับชีพจรของเฉินโจว “หืม?”
หวังเย้าถอนหายใจออกมา
“เขาเป็นอะไรไปเหรอคะ?” เฉินหยิงถามด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วงครับ” หวังเย้าพูด
เส้นเลือดของเฉินโจวเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง เขาค้นพบปัญหานี้ตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถหาสาเหตุของเรื่องนี้พบ แล้วในตอนนี้ ปัญหานี้ก็กลับมาอีกครั้ง
หวังเย้าเฝ้าสังเกตเส้นเลือดในบริเวณศีรษะของเฉินโจว มันยังคงเคลื่อนย้ายตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา
“เจ็บรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ครับ” เฉินโจวพูด
“อดทนหน่อยนะ” หวังเย้าพูด
“โอเคครับ” เฉินโจวพูด เขากัดฟันเอาไว้ และมีเหงื่อไหลซึมออกมา
เวลาเลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เฉินหยิงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดยังคงดำเนินต่อไป มันเป็นเหมือนกันกระดาษที่ถูกตัดด้วยกรรไกร แล้วอยู่ๆการเคลื่อนย้ายก็หยุดลง เหมือนกับคนที่กำลังไถนาแต่ต้องสะดุดเพราะก้อนหินที่ฝังอยู่ในดิน
บางอย่างแปลกๆได้เกิดขึ้น เมื่อการเคลื่อนย้ายไม่ประสบผลสำเร็จ เส้นเลือดเหล่านั้นก็เริ่มมีการเคลื่อนย้ายกลับไปยังจดเดิมของมัน ขั้นตอนนี้ได้สร้างความเจ็บปวดอย่างมาก มันคล้ายกับมีไส้เดือนกำลังชอนไชอยู่ภายในศีรษะของเฉินโจว
เฉินโจวพยายามอดทนกับความเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ เขากัดฟันแน่น
หลังจากเส้นเลือดกลับสู่จุดเดิมแล้ว ความเจ็บปวดก็จางหายไป
“เฮ้อ!” เฉินโจวพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เสื้อผ้าของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“หายเจ็บแล้วใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ใช่ครับ” เฉินโจวพูด
“ตอนนี้ เธอน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว” หวังเย้าพูด
“เมื่อกี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอคะ?” เฉินหยิงถามด้วยความเป็นห่วง
“เส้นเลือดในหัวของเขาพยายามจะย้ายที่ด้วยตัวของมันเองครับ ผมคิดว่า นี่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการน้องชายของพี่” หวังเย้าพูด “พี่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอกนะครับ ตอนนี้ เส้นเลือดได้เคลื่อนกลับไปที่จุดเดิมแล้ว”
“หมอหมายถึง มันเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ใช่แล้วครับ” หวังเย้าพูด เขาก็รู้สึกประหลาดใจกับอาการของเฉินโจวเช่นเดียวกัน
“มันจะเกิดขึ้นกับเสี่ยวโจวอีกไหมคะ?” เฉินหยิงถาม เธอคิดว่า น้องชายของเธอหายดีแล้ว ดังนั้น เธอจึงไม่คิดว่าอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องนี้ก็พูดยากนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมคิดว่า การที่เส้นเลือดสามารถเคลื่อนกลับไปที่จุดเดิมของมันได้ เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งนะครับ”
“พี่อย่าคิดมากเลย” เฉินโจวพยายามปลอบพี่สาวของเขา “ตอนนี้ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“จริงครับ อย่าคิดมากเลย ระยะห่างของเวลาที่อาการของเขากำเริบขึ้นมาก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว” หวังเย้าพูด
“ก็ได้ค่ะ ยังไงเราก็ยังอยู่ที่นี่อีกสักพัก ขอโทษที่รบกวนนะคะ” เฉินหยิงพูด
“ยินดีที่ทั้งสองมาอยู่ที่นี่นะครับ” หวังเย้าพูด
เขาอยู่ที่บ้านเช่าของเฉินหยิงและเฉินโจวต่ออีกหลายชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าเฉินโจวปลอดภัยดีแล้ว ก่อนที่เขาจะกลับไปที่เนินเขาซีชาน เขามองดูสถานที่แห่งนี้อย่างถี่ถ้วน ก่อนที่เขาจะกลับไปที่บ้าน
หลังมื้อเย็น หวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน กว่าเขาจะเข้านอนก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
หวังเย้าตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันถัดไป
“ซานเซียน มากับฉัน” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนมีความสุขที่เจ้านายต้องการตัวมัน
หนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัวเดินไปตามเส้นทางจากทิศตะวันตกไปยังทิศเหนือ หวังเย้าเดินอย่างรวดเร็ว ทางเดินที่ขรุขระไม่ได้ทำให้ความเร็วของเขาลดลงเลย ซานเซียนก็ตามเขาไปติดๆ การกระโดดเพียงครั้งเดียว ซานเซียนและหวังเย้าก็พุ่งไปได้ไกลหลายเมตร ซานเซียนดูมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งดูคล้ายสิงโตเข้าไปทุกที
ไม่นาน ชายหนุ่มและสุนัขของเขาก็เดินทางไปถึงหนึ่งในหลุมที่ปกคลุมไปด้วยปูนขาว
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!
เห็นได้ชัดว่า ซานเซียนไม่คิดว่า เจ้านายของมันจะพามันมาที่นี่อีกครั้ง สถานที่แห่งนี้ทำให้มันรู้สึกไม่ดี
“ไม่ต้องห่วงนะ ซานเซียน” หวังเย้าลูบศีรษะของมันอย่างอ่อนโยน “นายคิดว่า ที่นี่มีปัญหาอยู่ใช่ไหม?”
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนแสดงท่าทีบอกกับหวังเย้าว่า เขาถามมันในสิ่งที่ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว
“เราไปดูอีกหลุมกันดีกว่า” หวังเย้าพูด
สุนัขหนึ่งตัวและชายหนุ่มหนึ่งคนพากันเดินไปตามพื้นที่แห่งความตายทั่วเนินเขาซีชาน แล้วหวังเย้าก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกมาอย่างดุร้าย มันรู้สึกกระวนกระวายและเริ่มเดินวนเป็นวงกลม
“มีบางอย่างผิดปกติเหรอ?” หวังเย้าถาม “หินก้อนนี้ใช่ไหมที่มีปัญหาน่ะ?”
เขาเดินตรงไปที่ก้อนหิน
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าดังขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่า มันกำลังพยายามเตือนไม่ให้หวังเย้าเดินเข้าไปใกล้หินก้อนนั้น ซึ่งอาจจะมีอันตรายพอๆกับระเบิดลูกใหญ่