628 ยาครอบจักรวาล
“เขาอาจจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเวลา” คุณหวูพูด
“ครับ คุณคงต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน” เจิ้งชื่อฉงพูด
“อืม” คุณหวูพูด
…
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้านั่งอยู่ในแปลงสมุนไพรและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พร้อมทั้งมีซานเซียนคอยนั่งอยู่ข้างๆเขา “ซานเซียน มีสาวสวยตัวน้อยคนหนึ่งมาชอบฉันด้วยล่ะ นายว่า ฉันควรจะทำยังไงดี?”
ความจริง ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ตัวน้อยเลยสักนิด เพราะตอนนี้ เธออายุได้ 20 กว่าปีแล้ว
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นายจะถามว่า ฉันรู้สึกยังไงน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม “ฉันจะอธิบายถึงเธอแบบไหนดีล่ะ? เธอเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ถ้าจะพูดว่า ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย ก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่เราสองคนอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ฉันอยู่ในป่า ส่วนเธอเป็นเหมือนไข่มุกที่ส่องประกายอยู่ในเมืองใหญ่ เราต่างกันมาก”
โฮ่ง!
“อะไรนะ? นายอยากมีคู่งั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม “มีหมาที่ตีนเขาอยู่หลายตัว นายลองลงไปเลือกดูสิ ว่านายชอบตัวไหน”
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นายมองมาแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?” หวังเย้าถาม
ซานเซียนลุกขึ้น มันหันก้นให้กับหวังเย้าและเดินกลับเข้าไปในบ้านสุนัขของมัน โดยไม่หันกลับมามองหวังเย้าอีกเลย เมื่อเข้าไปนั่งอยู่ในบ้านของมันแล้ว มันก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
วันต่อมา ท้องฟ้าสดใส อากาศในหมู่บ้านกลางเขาให้ความรู้สึกสดชื่นและเย็นเล็กน้อย
ซูเสี่ยวซวีตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เฉินหยิงเตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมแล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งสี่ก็พากันเดินออกไปจากบ้าน และมุ่งหน้าไปตามเส้นทางสู่เนินเขาหนานชาน
บนเขาให้ความรู้สึกสงบมากขึ้น
กรู๊ว! กรู๊ว! มีเสียงนกดังมาจากทั่วทุกทิศทาง
“ฮู้ว! อากาศสดชื่นดีจริงๆ!” ซูเสี่ยวซวีเหยียดแขนและสูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด
คนทั้งสี่ใช้เวลาเดินข้ามเขาไปไม่นาน แล้วเนินเขาหนานชานก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน ในเวลานี้ ตัวเนินเขาถูกล้อมไปด้วยก้อนเมฆ และสามารถมองเห็นต้นไม้กับก้อนหินได้รางๆ มันเป็นเหมือนกับเมืองที่ลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ
“มันสวยมากเลย!” ซูเสี่ยวซวีอุทาน
“เขาลูกนี้ดูพิเศษกว่าลูกอื่นจริงๆ” ชูเหลียนถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอไม่สามารถบอกได้ว่ามันพิเศษยังไง แต่มันดูต่างจากที่ควรจะเป็นมาก
“เดินกันต่อเถอะค่ะ” เฉินหยิงพูด
ทั้งหมดพากันเดินมุ่งหน้าไปข้างหน้า ถึงแม้เนินเขาหนานชานจะดูเหมือนอยู่ไม่ไกล แต่การเดินทางก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร ทั้งหมดเดินมาถึงตีนเขาและเงยหน้าขึ้นมองด้านบน พวกเขาสามารถมองเห็นบรรยากาศของเนินเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ได้อย่างชัดเจน
กรู๊ว! กรู๊ว! เสียงนกร้องดูเหมือนจะคึกครื้นเป็นพิเศษ
แม้จะอยู่แค่ตีนเขา แต่การหายใจก็ดูเหมือนจะดีกว่าเดิมมาก
“เราขึ้นไปข้างบนได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เราอย่าขึ้นไปจะดีกว่านะคะ” เฉินหยิงพูด
เธอและน้องชายเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง แต่ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่แค่ตีนเขา และไม่เคยเดินขึ้นไปด้านบนเลย
“หมอหวังไม่ชอบให้คนขึ้นไป ใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ถูกต้องค่ะ” เฉินหยิงพูด
“โอเค งั้นเราก็อย่าขึ้นไปดีกว่า” ซูเสี่ยวซวีพูด
พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ที่ตีนเขาสักพัก ก่อนที่จะหันหลังและเดินกลับ
หวังเย้ายืนมองพวกเขาอยู่บนก้อนหินบนยอดเขา เขาเห็นคนทั้งสี่เดินตรงมาที่เนินเขาหนานชานได้จากที่ไกลๆ เขายังเห็นทั้งหมดยืนนิ่งอยู่ตรงตีนเขาครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครเดินต่ออีก
“วันนี้ คุณหนูมีแผนจะทำอะไรคะ?” เฉินหยิงถาม
“อืม แค่เดินไปรอบๆก็พอค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ในเมืองมีอะไรน่าสนใจให้ทำบ้างไหมคะ?”
“ที่นี่น่าไปของที่นี่…ครั้งที่แล้วคุณหนูก็ไปมาหมดแล้วนี่คะ” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหยิงก็พูดออกมา ช่วงนี้ เธอและน้องชายก็ออกไปเที่ยวมาเหมือนกัน แต่ก็มีไม่กี่ที่ที่น่าไป ที่นี่ไม่มีสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ หรือทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำที่งดงามเลย แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองเก่า หรือปักกิ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วย
“ในเมื่อเราขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานไม่ได้ งั้นเราไปเนินเขาที่อยู่ใกล้ๆกันดีกว่านะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“คุณหนูจะขึ้นไปบนเนินเขาซีชานไม่ได้เหมือนกันค่ะ” เฉินหยิงพูด “หมอหวังพูดไว้ว่า โรคระบาดครั้งก่อนมีต้นกำเนิดมาจากเนินเขาซีชาน ตอนนี้ คนในหมู่บ้านเลยไม่มีใครขึ้นไปบนนั้นกันแล้วล่ะค่ะ”
“งั้นเราไปทางตะวันออกได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ได้ค่ะ เราไปทางนั้นได้” เฉินหยิงพูด
ทั้งสี่จึงมุ่งหน้าไปทางเนินเขาทิศตะวันออก ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเขา แต่ความจริง มันเป็นแค่เนินดินที่มีป่าขนาดเล็กตั้งอยู่เพียงเท่านั้น และพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ถูกใช้เป็นแปลงเกษตร ทั้งหมดเดินมุ่งสู่ทิศใต้ ไม่นาน พวกเขาก็เห็นเนินเขาหนานชานอยู่ตรงหน้า เนินเขาหนานชานนั้นต่างไปจากเนินเขาลูกอื่นๆ ต้นไม้และพืชพรรณส่วนใหญ่นั้เขียวขจีและให้ความรู้สึกพึงพอใจ
หวังเย้าเตรียมจะเดินลงไปจากเขาแล้ว
“เราเดินเข้าไปใกล้อีกนิดได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เอ่อ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เฉินหยิงพูด
“งั้นเราเดินเข้าไปใกล้อีกนิดกันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
พวกเขาเดินไปยั่งจุดเชื่อมระหว่างเนินเขาหนานชานและเนินเขาตงชาน
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นั่นตัวอะไรน่ะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
สุนัขขนาดใหญ่เดินออกมาจากป่าที่อยู่ด้านหลังพวกเขา และจับจ้องมาที่คนทั้งสี่
“มันตัวใหญ่มากเลย!” ซูเสี่ยวซวีอุทานออกมา “มันเป็นหมาของหมอหวังใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด สุนัขตัวนี้ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เธอได้เจอมัน
“มันมีชื่อว่าอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“มันชื่อว่า ซานเซียน ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ซานเซียน เป็นชื่อที่แปลกจัง” ซูเสี่ยวซวีพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงคำรามใส่พวกเธอ เสียงที่มันส่งออกมาทั้งหนักแน่นและเต็มไปด้วยพลัง
“มันอยากให้เราออกไปเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด “เราไปกันดีกว่านะคะ”
เฉินหยิงเดินนำทุกคนกลับไปยังทางที่พวกเธอเดินมาในตอนแรก
ซูเสี่ยวซวีหันไปพูดกับเฉินหยิงว่า “พี่คงจะอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว พี่ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ?”
“โชคดี ที่ฉันชอบที่นี่น่ะค่ะ” เฉินหยิงตอบ
ในระหว่างการกักตัวจากโรคระบาด เธอจึงเหมือนถูกบังคับให้อยู่แต่ในหมู่บ้านไปโดยปริยาย เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้าน เธอได้ออกไปเดินเล่น, อ่านหนังสือ, และฟังเพลง ซึ่งมันทำให้เธอหายจากความเบื่อได้
หลังจากที่หวังเย้าเข้าไปนั่งในคลินิกได้ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงคนรีบร้อนเดินเข้ามาในคลินิก
“หมอหวัง เหว่ยจวินตื่นขึ้นมาแล้วครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด
“โอเค ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยครับ” หวังเย้าพูด
ภายในบ้านของซุนหยุนเชิง คุณซุนยั่งอยู่บนเตียงและกระชิบอะไรบางอย่างกับคนไข้ที่เพิ่งตื่น “คุณชาย รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ลุงหวู ผมบอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าเรียกผมแบบนั้น” เสียงของชายหนุ่มแผ่วเบาราวกับควัน มันดูเหมือนจะถูกลมพัดหายไปในทันที
“ผมชินที่จะเรียกแบบนี้ไปแล้วล่ะ” คุณหวูพูด
“เราอยู่ที่ไหนกันเหรอครับ?” ชายหนุ่มถาม
“เราอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาครับ” คุณหวูพูด “มีหมอที่มีฝีมือมากคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วเขาก็เป็นคนที่รักษาซุนหยุนเชิงให้หายด้วย”
“ผมจำเขาได้ ผมเคยรู้สึกสงสารเขา แต่ตอนนี้ กลับเป็นผมที่ต้องได้รับความสงสารจากคนอื่นแทน” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง
“อย่าพูดเยอะเลยครับ” คุณหวูพูด “คุณต้องเก็บแรงเอาไว้ให้มาก”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบ
หลังจากนั้นสักพัก เจิ้งชื่อฉงก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหวังเย้า ซึ่งเดินตรงเข้าไปหาตัวคนไข้ในทันที ดวงตาของคนไข้หม่นแสงและไม่โฟกัส
หวังเย้ายื่นมือออกไป และส่ายมือตรงหน้าของชายหนุ่ม “คุณเห็นไหมครับ?”
“มันเป็นเงามัวๆครับ” ชายหนุ่มพูด
“กินยาก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
ซุปเป่ยหยวนถูกยกมาให้ชายหนุ่มดื่ม
“ช่วยถอดผ้าของเขาทีนะครับ” หวังเย้าพูด
เจิ้งชื่อฉงดึงผ้าห่มออกและถอดเสื้อเผยให้เห็นร่างกายที่ผอมแห้งของชายหนุ่ม ซึ่งแถบมองไม่เห็นกล้ามเนื้อเลย ผิวหนังของเขามีออกฟ้าเข้มแปลกๆและยังแห้งผากราวกับเปลือกไม้ด้วย
หวังเย้ายื่นมือออกไปกดผิวของเขาเบาๆ ผิวหนังไม่มีความยืดหยุนอยู่เลย “คุณรู้สึกถึงมือของผมไหมครับ?”
“ครับ ผมรู้สึกได้นิดหน่อย” ชายหนุ่มพูด
หวังเย้าหยิบเข็มเงินออกมาและแทงเข็มลงไปบนตัวเขา “คุณรู้สึกอะไรบ้างไหมครับ?”
“ไม่ครับ” ชายหนุ่มพูด
หวังเย้าแทงเข็มลงไปเพิ่มอีกสองจุด
คนไข้ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เขารู้สึกรู้สึกชา, คัน, และเจ็บน้อยมาก เขารู้สึกได้ถึงการสัมผัสเพียงเบาบาง ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขา มีเพียงการได้ยินเท่านั้นที่ยังคงปกติ
ตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายในร่างกาย ทั้งผิวหนัง, กระดูก, อวัยวะ หรือไขกระดูกไม่มีส่วนไหนที่เป็นปกติเลย สภาพของเขาไม่ได้ต่างไปจากครั้งแรกที่หวังเย้าได้เห็นซูเสี่ยวซวีเลยสักนิด
“แล้วเรื่องการขับถ่ายล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ถ่ายทุกๆสองถึงสามวัน และฉี่หนึ่งถึงสองครั้งต่อวัน” คุณหวูพูด
จากสถานการณ์ในปัจจุบันของชายหนุ่มนั้น พิษจำนวนมากที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขานั้นไม่สามารถขับออกได้อย่างราบรื่นหรือทันเวลา มันจึงทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในเริ่มติดพิษไปด้วย
“นี่เป็นยาขับพิษครับ ช่วยป้อนให้เขากินที” หวังเย้าพูด “ให้เขากินพร้อมกับซุปเป้ยหยวนได้เลยนะครับ”
หวังเย้าหยิบยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรแก้พิษออกมาอีกหนึ่งโดส พร้อมกับน้ำแร่โบราณ มันเป็นยาแก้พิษที่สามารถเข้าไปจัดการได้ทั้งพิษภายในและภายนอกร่างกาย
“ได้ ขอบคุณมาก” คุณหวูพูด
หลังจากชายหนุ่มดื่มยาเข้าไปสองอย่าง หวังเย้าก็รอดูอาการเข้าต่อ หวังเย้าจะตรวจดูอาการของเขาเป็นครั้งคราว ในระหว่างนี้ คุณหวูก็ป้อนซุปให้ชายหนุ่มกินไปด้วย กลิ่นของซุปให้ความรู้สึกสดชื่น
จากกลิ่นที่โชยออกมาจากซุป หวังเย้าพอจะเดาได้ว่า ในนั้นมีสมุนไพรล้ำค่าผสมอยู่ด้วย เขาได้กลิ่นของโสม, ตังกุย, โก๋วฉี่, ลู่หรง, หลินจือ ตัวซุปเหมือนเป็นยาบำรุงแบบครอบจักรวาล
คนไข้ดื่มซุปเข้าไปไม่ถึงสองในสามของทั้งหมด
“ซุปนี้ทำขึ้นมาเป็นพิเศษเลยใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ มันมีปลิงทะเล, ปลาชื่อหลินตุ๋นรวมกับโสม, ลู่หรง, หลินจือและสมุนไพรอีกหลายอย่าง” คุณหวูพูด