633 หนึ่งคืน มองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
“เธอเป็นคนดี แต่เราอยู่กันคนละโลก” หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง หวังเย้าก็พูดออกมา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินหยิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“แล้วถ้าเกิดเธอไม่ยอมละคะ?” เฉินหยิงถาม
เธอรู้ว่า ซูเสี่ยวซวีนั้นเป็นคนที่ดูหัวอ่อนและเข้ากับคนได้ง่าย แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งและดื้อรั้นอย่างมาก การที่ซูเสี่ยวซวีสามารถรอดจากความทรมานของโรคร้ายมาได้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงนิสัยที่ดื้อรั้นของเธอได้เป็นอย่างดี มันเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความคิดของเธอ โดยเฉพาะกับหวังเย้าที่ถือเป็นคนพิเศษสำหรับเธอมาก หวังเย้าช่วยเธอเอาไว้และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไป เธอได้รีบโอกาสครั้งที่สอง และเธอก็ไม่เคยลืมมันเลย
“จะจริงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันมั่นใจมากว่า เธอไม่มีทางยอมแพ้แน่นอนค่ะ” เฉินหยิงพูด
ซูเสี่ยวซวีได้เริ่มลงมือไปแล้วด้วย
“หมอหวังคะ เธอมาที่นี่ก็เพราะคุณคนเดียวนะคะ” เฉินหยิงพูด “เธออยากจะเจอคุณและอยากจะใช้เวลากับคุณ น้าเหลียนบอกว่า ตั้งแต่ที่เธอมาถึงที่นี่ เธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย เธอดูกระตือรือร้นมาก น้าเหลียนพูดว่า เธอไม่เคยเห็นคุณหนูมีความสุขแบบนี้ตอนอยู่ที่ปักกิ่งเลย”
ผู้หญิงจะมีความสุขอย่างมาก เมื่อพวกเธอได้เจอกับคนรักที่ไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานาน
หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไรดี เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย ปกติแล้ว ผู้ชายมักจะไม่ค่อยรู้ตัว เมื่อมีหญิงสาวมาแสดงความสนใจในตัวพวกเขา
“ผมไม่เคยคิดเลยว่า ระหว่างเธอกับผมจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” หวังเย้าพูด
“บางที คุณควรเริ่มคิดตอนนี้เลยก็ดีนะคะ คุณชายกั๋วชอบคุณหนูซูมาก เขายังขอให้แม่ของเขามาสู่ขอคุณหนูที่บ้านแล้วด้วย แต่คุณผู้หญิงก็ปฏิเสธพวกเขาไป” เฉินหยิงพูด
“แล้วเสี่ยวซวีไม่ชอบเขาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ค่ะ เพราะเธอชอบคุณ” เฉินหยิงพูด
“แล้วเขาจะยอมเลิกเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“คนแบบเขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆหรอกค่ะ” เฉินหยิงพูด “การที่ได้แต่งงานกับคุณหนูซู จะทำให้เขาสามารถใช้อำนาจของตระกูลซูเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาลุ่มหลงในอำนาจ อำนาจก็เป็นเหมือนเสือ เมื่อขึ้นขี่แล้ว เขาก็ลงไม่ได้”
“พี่กำลังพยายามจะบอกอะไรผมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ถ้าหมอคิดจะสานสัมพันธ์กับคุณหนูซูต่อ หมอก็ต้องระวังกั๋วเจิ้งเหอเอาไว้ด้วย เขาจะต้องพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณทั้งสองแน่นอนค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เขาจะทำยังไงบ้างเหรอครับ?” หวังเย้าถาม เขาเริ่มเข้าใจจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเฉินหยิงแล้ว
“ตอนนี้ มันก็พูดยากนะคะ คุณอยู่ที่จังหวัดฉี แล้วพ่อของกั๋วเจิ้งเหอก็เป็นผู้นำของจังหวัดฉีอยู่ ดังนั้น เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะทำคในจังหวัดนี้” เฉินหยิงพูด
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะระวังตัว ขอบคุณที่มาเตือนผมนะครับ” หวังเย้าพูด
“ยินดีค่ะ ตอนนี้ ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ” เฉินหยิงพูด
“ผมก็ต้องไปเหมือนกัน ว่าจะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานสักหน่อย” หวังเย้าพูด
เขาเดินออกมาส่งเฉินหยิงที่ด้านนอกคลินิก พวกเขาแยกกันเมื่อเดินไปถึงกึ่งกลางหมู่บ้าน แล้วหวังเย้าก็เดินกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพียงลำพัง
เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เฉินหยิงมาบอก มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ
ในขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตเหลียนชาน หนึ่งในคนไข้ของหวังเย้ากำลังเดินอยู่บนถนนของหมู่บ้าน
“อาเฟิง สบายดีไหม?” ชาวบ้านคนหนึ่งทักทายเขา
“ฉันสบายดี ขอบคุณ” อาเฟิงพูด
“นายพูดชัดขึ้นนะ” ชาวบ้านถาม
“การเดินของเขาก็ด้วย” ชาวหนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่ายุ่ง” อาเฟิงจ้องมองลูกชายของเขาด้วยสายตาดุๆ
เขาลุกขึ้นและก้าวเดิน การเดินของเขาเริ่มดีขึ้น ถึงมันจะยังไม่สมบูรณ์ก็ตามที
“พ่อรู้สึกว่า ยามันได้ผลนะ” อาเฟิงพูด
“ดีแล้วล่ะ เราจะไปฝังเข็มที่คลินิกนั่นอีกครั้ง แล้วก็ซื้อยามาอีกเจ็ดเม็ดด้วย” ลูกชายของเขาพูด
หนึ่งวันผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มมืดลง บนเนินเขาหนาชานเงียบสงัด ต้นไม้ที่หวังเย้าเพิ่งปลูกไปได้ไม่นานกำลังเจริญเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ
ฉันน่าจะเริ่มปลูกต้นไม้ที่ทางทิศตะวันออกได้แล้ว
เขาโทรไปหาหลี่ชื่อหยูในเช้าของวันถัดมา เพื่อสั่งต้นไม้แบบเดิม แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้สั่งมามากเหมือนครั้งก่อน
“เห็นไหม ผมบอกแล้ว ว่าเราไม่จำเป็นต้องมาเช้าขนาดนี้ก็ได้” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด
ครอบครัวหนึ่งเดินทางมาที่คลินิกของหวังเย้าแต่เช้า พวกเขารอคอยอยู่ด้านนอกคลินิก พวกเขาก็คือคนไข้ที่เป็นเส้นเลือดอุดตันและครอบครัวของเขา ที่เคยมารักษากับหวังเย้าไปเมื่อวันก่อน
“เลิกบ่นได้แล้ว แม่ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ ว่าอย่าพูดมากเวลาอยู่ต่อหน้าหมอ” แม่ของเขาพูด
“ผมรู้น่า แม่ไม่ต้องห่วงหรอก” ชายหนุ่มพูด
พวกเขารออยู่ประมาณ 20 นาที ก่อนที่จะเห็นหวังเย้าเดินลงมาจากเนินเขา
“เขาอยู่บนเขาเหรอ?” ชายหนุ่มถาม
“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องรอนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ หมอหวัง” ภรรยาคนไข้พูด
“เขากินยาไปแล้วใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เขากินยาทั้งสามเม็ดหมดแล้ว” ภรรยาคนไข้พูด
“คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมรู้สึกว่า ขาของผมเบาขึ้นและมีแรงมากขึ้น ดูหน้าผมสิ! มันดีขึ้นเหมือนกัน” คนไข้พูดด้วยรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีเหลืองของเขา
ใบหน้าที่เป็นอัมพาตของเขาดีขึ้นแล้ว เขาสามารถหัวเราะ, ร้องไห้, และเคี้ยวอาหารได้ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่เขากินได้แค่อาหารเหลวและพูดไม่ชัด เขามีความสุขในทุกๆพัฒนาการที่เกิดขึ้นแม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม ใบหน้าของเขาหายจากอาการอัมพาตในเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น ตอนนี้ เขาจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เช้านี้ เขาทนรอให้ภรรยาและลูกชายพาเขามาหาหวังเย้าแทบไม่ไหว เขาเชื่อว่า หากเขารักษากับหวังเย้าต่อไปเรื่อยๆ เขาก็จะหายกลับมาเป็นปกติได้อย่างแน่นอน
“นั่งลงก่อนนะครับ ขอผมตรวจดูหน่อย” หวังเย้าพูด
หลังจากตรวจคนไข้เสร็จแล้ว หวังเย้าก็เริ่มให้การรักษา เขาเริ่มจากการฝังเข็มเป็นอันดับแรก เขาแทงเข็มไปบนศีรษะ, ลำตัว, และแขนขาของคนไข้ การฝังเข็มดำเนินไปเกือบสองชั่วโมง
หลังจากนั้น หวังเย้าก็เปลี่ยนมาเป็นการนวดรักษา การนวดจบลงเมื่อถึงเวลามื้อเที่ยงพอดี
“โอเค เรียบร้อยแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“ผมรู้สึกสบายมากเลย” คนไข้พูด เขารู้สึกอุ่นไปทั่วร่าง ราวกับเขาเพิ่งไปแช่น้ำร้อนมา “หมอหวัง หมอยังมียาเม็ดที่ให้ผมไปเมื่อวันก่อนอีกไหม?”
“มีครับ” หวังเย้าพูด
“ผมอยากได้อีกครับ” คนไข้พูด “หมอคิดว่า ผมต้องกินอีกกี่เม็ดครับ?”
“ปกติการรักษาหนึ่งคอสจะอยู่ที่ 10 วัน คุณกินไปแล้วสามเม็ด คุณก็แค่ต้องกินอีกเจ็ดเม็ดก็พอแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“โอเค ผมเอาอีกเจ็ดเม็ดครับ” คนไข้พูด
ครั้งนี้ พวกเขาจ่ายเงินให้กับหวังเย้าโดยไม่มีการลังเลเลยสักนิด
“เอ่อ หมอหวัง ขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณจบจากมหาลัยไหนมาน่ะ?” ชายหนุ่มที่เงียบมาตลอดตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในคลินิก ได้เอ่ยถามขึ้นมา
หวังเย้าบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนมา
“คุณเป็นหมอยาจีน ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะว่า ที่มหาลัยนั้นจะสอนแพทย์แผนจีนได้ดีขนาดนี้” ชายหนุ่มพูด
“ความจริง ผมเป็นแพทย์ปรุงยาน่ะ แล้วผมก็ไม่ได้เรียนจากในมหาลัยด้วย ที่มหาลัยผมเรียนชีววิทยามา” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“อย่าไปสนใจเขาเลยค่ะ หมอหวัง เราคงต้องขอตัวก่อน ขอบคุณมากนะคะ” แม่ของชายหนุ่มพูด
“ยินดีครับ แล้วเจอกันใหม่” หวังเย้าพูด
“แม่บอกแล้ว ว่าให้ลูกตั้งใจเรียน แต่ก็ไม่เชื่อกันสักครั้ง แล้วเป็นยังไง ลูกก็เลยหางานดีดีทำไม่ได้เลย ดูหมอหวังสิ เขาจบจากมหาลัยดีดี แล้วกลายมาเป็นหมอเก่งๆแบบนี้ยังไงล่ะ” แม่ของเขาพูด
“แม่ แม่ไม่ได้ยินที่เขาพูดเหรอ?” ลูกชายของเธอถาม “เขาจบชีววิทยาจากมหาลัย ผมไม่คิดว่า เขาจะได้งานดีดีทำหรอก ถ้าเขามีความสามารถจริง เขาก็คงจะไม่มาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้”
“แม่ว่า ลูกก็แค่ไม่อยากจะยอมรับว่าเขาเก่งกว่าลูกมากกว่านะ ลูกชอบหาข้ออ้างอยู่เรื่อย” แม่ของเขาพูด
“เอ่อ แม่ ตอนนี้ผมต้องตั้งใจขับรถนะ อย่ามาทำให้ผมเขวสิ ผมไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุ” ลูกชายของเธอพูด
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” เธอพูด
การรักษานั้นใช้เวลานานมาก เช้านี้ หวังเย้าจึงมีคนไข้แค่คนเดียวเท่านั้น
ในช่วงเช้าของวันนั้น เมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสง เจิ้งเหว่ยจวินก็ตื่นขึ้นมาภายในบ้านของซุนหยุนเชิง เขาลืมตามองดูแสงไฟที่อยู่บนเพดาน
อะไรน่ะ? แสงเหรอ?
เขาตัวสั่นสะท้านและกระพริบตาอยู่หลายครั้ง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น มันเป็นแสงไฟที่งดงามมาก เขาไม่เคยเห็นแสงไฟที่น่าดึงดูดขนาดนี้มาก่อนเลย
เขามองไปรอบๆ ภาพวาดแขวนอยู่ที่กำแพงด้านหนึ่ง เขามองไปที่ผ้าม่านและเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งอยู่ภายในห้องนี้
“ฮะฮา!” เสียงหัวเราะของเขาฟังดูบ้าคลั่งเล็กน้อย
ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออก เจิ้งชื่อฉงและคุณหวูวิ่งเข้ามาในห้องและมองไปที่เจิ้งเหว่ยจวินด้วยความกังวล เจิ้งเหว่ยจวินกำลังหัวเราะและมีน้ำตาไหลพราก
“เหว่ยจวิน เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“คุณลุง ผมมองเห็นแล้วครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“อะไรนะ?” เจิ้งชื่อฉงถามด้วยความไม่เข้าใจ คุณหวูเองก็สับสนเช่นกัน
“ผมมองเห็นทุกอย่างแล้ว” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ผมมองเห็นแล้วจริงๆ!”
“เดี๋ยวนะ เหว่ยจวิน เธอเห็นทั้งหมดกี่นิ้ว?” คุณหวูชูขึ้นมาสองนิ้ว
“สอง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“แล้วนี่ล่ะ?” คุณหวูถาม
“กำปั้นครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ตอนนี้ ผมมองเห็นแล้ว!”
“ดี! นี่มันยอดมาก!” เจิ้งชื่อฉงรู้สึกตื่นเต้นจนนึกคำพูดไม่ออก
“ยาของหมอหวังวิเศษจริงๆ” คุณหวูพูด
ยาเพียงแค่สามหยดในหนึ่งวัน กลับสามารถทำให้เจิ้งเหว่ยจวินกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
“หยอดตาให้เขาอีกรอบเถอะครับ” เจิ้งชื่อฉงเสนอ
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว” คุณหวูพูด
เขาหยอดยาลงไปในตาของเจิ้งเหว่ยจวินอีกสามหยด แล้วทันใด เจิ้งเหว่ยจวินก็รู้สึกเย็นสบายในตาเขา