643 ชุดดำในคืนที่มืดมิด
ชายหนุ่มในชุดสีดำเงียบไป เขามองหญิงสาวตรงหน้าอยู่เงียบๆ เธอคือหญิงสาวที่สวยที่สุดในหัวใจเขา ในเวลานี้ เขาอยากจะกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน แต่เขาก็ทำไม่ได้
“ฉันขอให้เธอมีชีวิตที่มีความสุขนะ” เขาพูด
“รอเดี๋ยว หน้าของนายไปโดนอะไรมาเหรอ?” เธอเห็นผิวหนังที่ติดกับไรผมของเขาเป็นสีดำอ่อนๆ ซึ่งถือเป็นลางร้าย
“ไม่มีอะไรหรอก” เขารีบถอยหลังออกไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขามีสีเลือดที่แปลกประประหลาด “ดูแลตัวเองดีดีนะ”
เขาหันหน้าและเดินจากไป
“จ้าวหยุนหาว หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เธอตะโกน
ชายหนุ่มหยุดเดิน เขาอยากจะหันหลังกลับไป แต่เขาก็ฝืนตัวเองเอาไว้ เขากัดริมฝีปากและเดินต่อไป
“มันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่?” ดวงตาของเธอคลอไปด้วยน้ำตา
รักครั้งแรกยากที่จะลืม สำหรับบางคน แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานและมีคู่ชีวิตไปแล้ว แต่ลึกในใจของพวกเขาก็ยังความรู้สึกที่ซ่อนเร้นเอาไว้ ซึ่งอาจจะโผล่มาให้นึกถึงเป็นครั้งคราว มันเป็นความทรงจำเมื่อครั้งพวกเขายังเยาว์วัย และเป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือทุกอย่าง มันอาจจะเป็นความคิดของคนเพียงคนเดียว หรือการแยกจากแม้ว่าจะยังรักกันอยู่ และความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้และเป็นความลับของพวกเขา
ถงเวยยืนมองไปที่ทะเล เธอนึกย้อนไปถึงเด็กชายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนเจิดจ้า เขาคือคนที่เป็นเกราะกำบังลมฝนให้กับเธอ เขาคือคนที่ยอมสู้เพื่อเธอ แม้ว่าเขาจะเขียวช้ำไปทั้งตัวก็ตาม
มันลืมไม่ได้ แต่ฝังอยู่ในใจของเธอตลอดไป
หลายคนได้แต่ทอดถอนใจ มันจะดีสักแค่ไหน ถ้าหากเราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน?
ในเมืองเต๋า ลมทะเลเริ่มพัดแรงขึ้น
ตื๊ด! ตื๊ด! มือถือเครื่องหนึ่งสั่นขึ้นมา
มันเป็นข้อความจากเบอร์แปลกเบอร์หนึ่ง [รีบกลับได้แล้ว ลมทะเลมันแรง ยัยโง่!]
สิ่งที่เอื้อมไม่ถึงมักจะวิเศษเสมอ แต่มันก็สายเกินที่จะได้ทันชื่นชมมัน
บนท้องถนนที่คึกคักของเมืองเต๋า ชายสวมฮูดวิ่งไปที่รถคันหนึ่ง “ไปเลย”
“นายเจอเธอแล้วเหรอ?” ชายอีกคนถาม
“ฮืม” ชายสวมฮูดพูด
“แล้วเธอสบายดีไหม?” ชายอีกคนถาม
“เธอสบายดี ดีมากด้วย” ชายสวมฮูดพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มันเป็นเสียงที่เหมือนกับว่า ลำคอของเขาได้รับความเสียหายมา
“นายอยากจะเลิกตอนนี้ก็ยังทันนะ” ชายอีกคนพูด
“มันเลิกไม่ได้แล้วล่ะ” ชายสวมฮูดมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาฉายแววแน่วแน่
“นี่ นายจะแก้แค้นก็ได้ แต่ตัวนายก็จะพังไปด้วยนะ” ชายอีกคนพูด
“อาจารย์คือผู้มีพระคุณและเป็นเหมือนพ่อแม่ของผม ความรักที่อาจารย์มอบให้มันไม่มีอะไรเทียบได้เลย” ชายสวมฮูดพูด
…
บนยอดตึกสูงในเมืองเต๋า ซุนเจิ้งหรงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานกระจกใสและมองออกไปด้านนอก
มันสามารถมองเห็นเมืองเต๋าได้ทั้งหมด ท้องฟ้าราวกับตั้งอยู่ตรงหน้าของเขา มันให้ความรู้สึกชิดใกล้อย่างมาก เขาดูราวกับจักรพรรดิผู้เฝ้ามองเมืองที่อยู่ภายใต้เขา
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” ซุนเจิ้งหรงพูด
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เดินเข้ามาจากด้านนอก เขาสวมชุดสูทและดูเป็นผู้มีความสามารถ “ท่านประธารครับ นี่เป็นข้อมูลที่ท่านต้องการครับ”
“วางไว้บนโต๊ะได้เลย” ซุนเจิ้งหรงพูด
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ออกไป ก็มีชายอีกคนเดินเข้ามาจากด้านนอก เขาดูแข็งแกร่ง, หัวล้าน, และสีหน้าไร้อารมณ์
หลังจากที่ชายหนุ่มคนแรกออกไปจากห้องแล้ว ชายอีกคนก็พูดขึ้นมาว่า “นายท่าน”
“นั่งลงสิ อาหาว” ซุนเจิ้งหรงพูด
“ผมไปสืบมาแล้วครับ” อาหาวพูด
“เป็นยังไงบ้าง?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“มันเกี่ยวข้องกับพวกเขาครับ” อาหาวพูด “คนพวกนั้นตายเพราะยาพิษ ถ้าผมอยู่ที่นั่นด้วย ผมก็คงจะหนีไม่พ้นเหมือนกัน”
“แล้วคนพวกนั้นอยู่ที่ไหน? คนที่หนีไปคือ จ้าวหยิงหาวใช่ไหม?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“เป็นไปได้มากครัย ลุงหลินสั่งให้คนไปสืบดูแล้ว ต่อจากนี้ นายท่านคงจะต้องระวังตัวขึ้นหน่อยนะครับ” อาหาวพูด
“อืม ฉันรู้ดี ปัญหาก็เหมือนกับ หญ้าที่ลงรากแล้ว มันก็ยากจะถอนออก” ซุนเจิ้งหรงพูด “จริงสิ แล้วช่วงนี้ หยุนเชิงเป็นยังไงบ้าง?”
“นายท่าน เขาจัดการธุรกิจที่นายท่านมอบให้ได้เป็นอย่างดีครับ” อาหาวพูด
“เขายังมีทางต้องเดินอีกไกล” ซุนเจิ้งหรงพูด
“เขาทำงานหนักมากครับ” อาหาวพูด
“อืม เขาคงจะเหนื่อยมาก เขาเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน แล้วเขาก็อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนกับฉัน” ซุนเจิ้งหรงพูด “จัดคนไปคุ้มครองเขาด้วย ห้ามให้อะไรเกิดขึ้นกับเขาเด็ดขาด”
“ครับ” อาหาวพูด
ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุม ในโลกใบนี้ มันคือสิ่งที่มีอำนาจ
สายลมโชยมา
“คุณชาย เรากลับกันเถอะครับ” อาหาวพูด
“ผมรู้ครับ” ซุนหยุนเชิงขยับตัว กระดูกของเขาลั่นเปรี๊ยะ เขานั่งอยู่ที่เดิมนานเกินไป “หา นี่สองทุ่มแล้วเหรอเนี่ย?”
“ครับ ผมจะพาคุณชายกลับนะครับ” อาหาวพูด
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับเองได้” ซุนหยุนเชิงพูด
“นี่เป็นคำสั่งจากคุณพ่อของคุณชายครับ ดังนั้น ช่วยทำตามด้วยนะครับ” อาหาวพูด
“ก็ได้ ไปกันเถอะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
รถจอดรออยู่ด้านนอก มันเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ มีบอดี้การ์ดหลายคนยืนอยู่รอบตัวรถ พวกเขาต่างก็ดูมีความสามารถกันทุกคน เพื่อปกป้องลูกชายของเขาจากอันตราย ซุนเจิ้งหรงได้ใช้ความพยายามและเงินไปจำนวนมาก
ในความมืด ดูเหมือนจะปรากฏแสงวูบหนึ่ง
“เสียงอะไรน่ะ?” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ฉันไม่ได้ยินนะ” บอดี้การ์ดอีกคนพูด
“บางทีฉันอาจจะหูฝาดไปก็ได้” บอดี้การ์ดคนแรกพูด
ตุบ! มีคนล้มลงไปที่พื้นเงียบๆ
“ระวัง!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งตะโกน
ตุบ! มีอีกคนที่ล้มลงไป
อยู่ๆก็มีแสงลุกวาบขึ้น ซึ่งได้ดึงดูดคนรอบๆให้มองมาทางพวกเขา
บอดี้การ์ดทั้งหกทรุดลงไปกองกับพื้น เหลือแค่ซุนหยุนเชิงที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
บอดี้การ์ดทั้งหมดถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี พวกเขาส่วนใหญ่เป็นทหารที่เกษียณแล้ว บางคนยังเป็นถึงหน่วยรบพิเศษที่เคยฆ่าคนมาแล้วด้วย แต่พวกเขากลับไม่มีใครเทียบฝีมือกับศัตรูได้เลย
ใครกัน? ซุนหยุนเชิงยืนนิ่งอยู่กับที่ คนมากมายมองมาที่เขา
มีน้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้น “อยู่นี่”
ซุนหยุนเชิงหันไปตามเสียง และเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างถนน “แกเป็นใคร?”
“อีกไม่นานแกก็จะได้รู้เอง” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยออกมา
เพียงพริบตาเดียว ชายคนนั้นก็หายไปจากสายตา มันราวกับว่า เขาไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว บอดี้การ์ดทั้งหกที่นอนอยู่บนพื้นต่างถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล
หลังจากที่ได้ทราบข่าว ซุนเจิ้งหรงก็รีบไปหาลูกชายของเขาพร้อมกับมือดีที่สุดอีกสองคนด้วยความเร็วสูงสุด “เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเขาถูกพิษครับ มีคนต้องการจะทำร้ายผม” ซุนหยุนเชิงพูด
“มันเป็นใคร?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“ผมมองเห็นเขาไม่ชัดครับ มันเหมือนเป็นเงา แล้วเขาก็เร็วมากด้วย” ซุนหยุนเชิงพูด
ต่อหน้าสายตาคนจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครมองเห็นคนคนนั้นเลย มันเป็นความสามารถที่น่าทึ่งมาก
“อาหาว ไปดูกล้องวงจรปิดที่สถานีตำรวจ ฉันต้องการจะรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร” ซุนเจิ้งหรงพูด
“ครับ” อาหาวพูด
พวกเขาลงมืออย่างว่องไว แต่กลับพบเพียงภาพของชายในชุดกีฬาสีดำคนหนึ่งเท่านั้น ศีรษะของเขาถูกคลุมเอาไว้ด้วยฮูด ไม่มีใครเห็นใบหน้าของเขา ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสืยต่อ
“บ้าจริง!” ซุนเจิ้งหรงแค้นใจ
“นายท่านก็ต้องระวังตัวเหมือนกันนะครับ พวกมันจะต้องมาหานายท่านแน่ แล้วมันก็ป้องกันได้ยากด้วย” อาหาวพูด
เขาเคยประมือกับ “พวกมือดีผิดวิสัย” มากก่อนแล้ว ดังนั้น เขาจึงรู้ความต้องการของคนเหล่านี้ดี มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ หากประมาทแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะกลายเป็นเป้าโดยไม่คาดคิด และหมดลมหายใจโดยที่ยังไม่ทันได้รู้ตัว
เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเมื่อครั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะความสามารถที่สุดยอดของหมอหวังล่ะก็ พวกเขาก็อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้
“แล้วอาจารย์กู่ล่ะ?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“อาจารย์กำลังเดินทางมาอยู่ครับ เขาน่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า” อาหาวพูด
“โอเค” ซุนเจิ้งหรงพูด
“นายท่านอยากจะขอความช่วยเหลือจากหมอหวังดูไหมครับ?” อาหาวถาม
“รอก่อน” ซุนเจิ้งหรงพูด เขารู้นิสัยของหวังเย้า มันเป็นเรื่องยากที่จะให้เขามาที่นี่ ที่ทำได้ก็คือการไปหาเขาที่นั่นเท่านั้น
คืนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเต๋าต่างยุ่งกับการสืบคดีกันตลอดทั้งคืน
ซุนเจิ้งหรงตัดสินใจไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปหาเหล่าบอดี้การ์ดที่เขาจ้างมาเพื่อปกป้องลูกชายของเขา
“นายท่าน มันอันตรายนะครับ” อาหาวพูด
“ถ้าพวกเขารู้ตัวก่อน มันก็คงจะไม่แย่ขนาดนี้” ซุนเจิ้งหรงพูด
“พวกเขาถูกพิษ มันป้องกันได้ยากอยู่แล้วล่ะครับ” อาหาวพูด
“ไปเถอะ” ซุนเจิ้งหรงพูด
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินทางไปถึงโรงพยาบาล ชายทั้งหกที่แข็งแรงพอจะสู้กับคน 10 คนได้ในเวลาเดียวกัน กลับต้องมานอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล แต่ละคนอยู่ในอาการโคม่า ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวและไม่กำลัง
“หมอ พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“มันก็ไม่ถึงกับชีวิตหรอกครับ แต่พวกเขาก็อ่อนแอมาก” แพทย์พูด
“พิษตัวนี้มันส่งผลอะไรบ้างเหรอ?” ซุนเจิ้งหรงถาม
“มันจะทำให้คนไร้เรี่ยวแรง เหมือนกับตอนเสพยา แต่ส่วนผสมของพิษตัวนี้มันซับซ้อนมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พรุ่งนี้พวกเขาก็น่าจะฟื้นแล้ว” แพทย์พูด
“ผมฝากด้วยนะ หมอ” ซุนเจิ้งหรงพูด
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” แพทย์พูด
เขารู้ฐานะของคนตรงหน้าดี เขาก็คือชายที่รวยที่สุดในเมืองเต๋า มันจึงยากที่จะไม่สนใจเขา